ASTVผู้จัดการรายวัน - ททท. ดึงเอกชนร่วมทำแผนการตลาดปี 55 ชูกลยุทธ์ ดิจิตอลมาร์เก็ตติ้ง เผยตั้งของบปีหน้า 8.3 พันล้านบาท ด้านตลาดจีน ตื๊อขอยกเลิกค่าวีซ่า คาดโกยนักท่องเที่ยวจียได้ 1.5 ล้านคน เงินสะพัด 4 หมื่นล้านบาท
วานนี้(7 ก.พ.54) การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) จัดประชุมเพื่อระดมความคิดกับภาคเอกชนเรื่องแผนการตลาดท่องเที่ยวประจำปีงบประมาณ 2555 นายสุรพล เศวตเศรนี ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) ในฐานะประธานเปิดการประชุม กล่าวว่า เป็นครั้งแรก ที่ ททท.เชิญภาคเอกชนมาร่วมให้ข้อมูล ก่อนการทำโฟกัสกรุ๊ป เพื่อนำไปสู่การจัดทำแผนการทำงาน และประกาศอย่างเป็นทางการราวเดือน ก.ค.ศกนี้
เบื้องต้น ททท.ได้ประเมินตลาดว่ามีแนวโน้มการแข่งขันสูง ทุกประเทศรอบด้านต่างมุ่งให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการท่องเที่ยวให้เป็นอุตสาหกรรมที่สร้างรายได้เข้าประเทศ ด้วยกลยุทธ์การนำเสนอสินค้าใหม่ออกสู่ตลาดตลอดเวลา รวมทั้งการเร่งสร้างแบรนด์ให้เป็นที่จดจำ ได้แก่ มาเลเซีย สิงคโปร์ ขณะที่จีนก็มุ่งเปิดประเทศด้วยการเป็นเจ้าภาพจัดงานอีเวนต์ระดับโลก อาทิ เวิลด์เอ็กซ์โป เอเชียนเกม โอลิมปิก นอกจากนั้นยังมีกลุ่มประเทศคู่แข่งใหม่ที่เกิดขึ้นในพื้นที่เอเชีย ได้แก่ ภูฐาน เนปาล ศรีลังกา มองโกเลีย สำหรับคู่แข่งขัน นอกพื้นที่ ได้แก่ ดูไบ อาบูดาบี โอมานน์ และอิรัก
อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ คือการเตรียมความพร้อมรับการแข่งขันภายหลังเปิดเสรีอาเซียในกลุ่มสินค้าบริการ ซึ่งเป็นจุดที่ประเทศไทย ต้องเร่งพัฒนาขีดความสามารถขอบุคคลากร เร่งศึกษาใช้ประโยชน์จากเส้นทางคมนาคมทางบกที่เชื่อมโยงประเทศต่างๆโดยมีไทยเป็นศูนย์กลาง
กลยุทธ์ของ ททท. จะเน้นทำเทคโนโลยีสารสนเทศ เข้ามาใช้ในเรื่องการตลาดเพิ่มขึ้น ให้ความสำคัญกับช่องทางการตลาดแบบออนไลน์ โชเซียลมีเดีย
สำหรับปีงบประมาณ 2555 ททท. เสนอของบต่อสำนักงบประมาณไปทั้งสิ้น 8.3 พันล้านบาท เพิ่มจากปี 2554 ที่ได้รับจัดสรรมาทั้งสิ้น 5.3 พันล้านบาท โดยมีเป้าหมายจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ปีนี้ 15.5 ล้านคน ส่วนปีหน้า เพิ่มตามสัดส่วนการเติบโตของ จีดีพีประเทศ สำหรับปี 55 จะเพิ่มงบดิจิตอลมาร์เก็ตติ้งเป็น 35% จากงบรวมที่จะใช้เพื่อการตลาด เพิ่มจากปีนี้ที่ใช้ในสัดส่วน 30% ซึ่งเพิ่มจากปี 2552 ที่มีสัดส่วน 20%
ทางด้านนายอภิชาติ สังฆอารี ที่ปรึกษากิติมศักดิ์สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว(แอตต้า) กล่าวว่า การเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นของ ททท. ในครั้งนี้ เป็นนิมิตหมายที่ดี หลังจากที่เอกชนได้ผลักดันรูปแบบการทำงานแบบนี้มา 4-5 ปีแล้ว โดยเฉพาะเรื่องการจัดตั้งคณะทำงานร่วมภาครัฐและเอกชน
สำหรับประเด็นที่เอกชนเสนอแนะ ในการประชุมครั้งนี้ คือเรื่องของ สร้างจริยธรรม และสร้างการรับรู้ให้คนไทยรู้วิธีการดูแลนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามา และการดูแลแหล่งท่องเที่ยว
นายวิชิต ประกอบโกศล นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวสัมพันธ์ไทย-จีน กล่าวว่า ได้เสนอ 3 ประเด็นหลัก ให้ ททท. นำไปช่วยผลักดัน เพื่อส่งเสริมนักท่องเที่ยวจากตลาดจีน ได้แก่ 1. ผลักดันให้รัฐบาลยกเลิกค่าธรรมเนียมการขอตรวจลงตรา(วีซ่า) เข้าไทย กับคนจีนโดยให้ปฎิบัติเหมือนตลาด ญี่ปุ่น และเกาหลี ซึ่งไม่ต้องขอวีซ่าหากมาประเทศไทย 2.
สนับสนุนงบการตลาดสำหรับตลาดจีนเพิ่มจากปกติอีก 200 ล้านบาท ใช้สนับสนุนโฆษณาและการตลาดให้บริษัทนำเที่ยวในจีน และเครื่องบินเช่าเหมาลำ(ชาร์เตอร์ไฟล์ท) จากเมืองที่ยังไม่มีเส้นทางบินมาไทย หรือมีเส้นทางอยู่แล้ว แต่เพิ่มเส้นทางใหม่ๆ และ 3. นำเสนอเดสติเนชั่นใหม่ๆ ให้ตลาดจีน เช่น กระบี่ เชียงราย เชียงใหม่ หัวหิน และเกาะเสม็ด ด้วยการทำฮาร์ดเซลล์ นำเสนอแหล่งท่องเที่ยว สร้างการรับรู้ หากทำได้ทั้ง 3 ข้อดังกล่าว เชื่อมั่นปีนี้นักท่องเที่ยวจีนจะเดินทางมาไทยได้ถึง 1.5 ล้านคนเกิดรายได้ กว่า 4 หมื่นล้านบาท เพิ่มจากแผนเดิมที่ว่าจะได้ 1.3 ล้านคน
อย่างไรก็ตาม ต้องการให้ภาครัฐในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งจัดระเบียบผู้ประกอบการท่องเที่ยวในแต่ละแขนงธุรกิจ เช่น ธุรกิจโรงแรม อย่าปล่อยสร้าง จนเกิดโอเวอร์ซัพพลาย ส่งผลเกิดสงครามราคา
วานนี้(7 ก.พ.54) การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) จัดประชุมเพื่อระดมความคิดกับภาคเอกชนเรื่องแผนการตลาดท่องเที่ยวประจำปีงบประมาณ 2555 นายสุรพล เศวตเศรนี ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) ในฐานะประธานเปิดการประชุม กล่าวว่า เป็นครั้งแรก ที่ ททท.เชิญภาคเอกชนมาร่วมให้ข้อมูล ก่อนการทำโฟกัสกรุ๊ป เพื่อนำไปสู่การจัดทำแผนการทำงาน และประกาศอย่างเป็นทางการราวเดือน ก.ค.ศกนี้
เบื้องต้น ททท.ได้ประเมินตลาดว่ามีแนวโน้มการแข่งขันสูง ทุกประเทศรอบด้านต่างมุ่งให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการท่องเที่ยวให้เป็นอุตสาหกรรมที่สร้างรายได้เข้าประเทศ ด้วยกลยุทธ์การนำเสนอสินค้าใหม่ออกสู่ตลาดตลอดเวลา รวมทั้งการเร่งสร้างแบรนด์ให้เป็นที่จดจำ ได้แก่ มาเลเซีย สิงคโปร์ ขณะที่จีนก็มุ่งเปิดประเทศด้วยการเป็นเจ้าภาพจัดงานอีเวนต์ระดับโลก อาทิ เวิลด์เอ็กซ์โป เอเชียนเกม โอลิมปิก นอกจากนั้นยังมีกลุ่มประเทศคู่แข่งใหม่ที่เกิดขึ้นในพื้นที่เอเชีย ได้แก่ ภูฐาน เนปาล ศรีลังกา มองโกเลีย สำหรับคู่แข่งขัน นอกพื้นที่ ได้แก่ ดูไบ อาบูดาบี โอมานน์ และอิรัก
อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ คือการเตรียมความพร้อมรับการแข่งขันภายหลังเปิดเสรีอาเซียในกลุ่มสินค้าบริการ ซึ่งเป็นจุดที่ประเทศไทย ต้องเร่งพัฒนาขีดความสามารถขอบุคคลากร เร่งศึกษาใช้ประโยชน์จากเส้นทางคมนาคมทางบกที่เชื่อมโยงประเทศต่างๆโดยมีไทยเป็นศูนย์กลาง
กลยุทธ์ของ ททท. จะเน้นทำเทคโนโลยีสารสนเทศ เข้ามาใช้ในเรื่องการตลาดเพิ่มขึ้น ให้ความสำคัญกับช่องทางการตลาดแบบออนไลน์ โชเซียลมีเดีย
สำหรับปีงบประมาณ 2555 ททท. เสนอของบต่อสำนักงบประมาณไปทั้งสิ้น 8.3 พันล้านบาท เพิ่มจากปี 2554 ที่ได้รับจัดสรรมาทั้งสิ้น 5.3 พันล้านบาท โดยมีเป้าหมายจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ปีนี้ 15.5 ล้านคน ส่วนปีหน้า เพิ่มตามสัดส่วนการเติบโตของ จีดีพีประเทศ สำหรับปี 55 จะเพิ่มงบดิจิตอลมาร์เก็ตติ้งเป็น 35% จากงบรวมที่จะใช้เพื่อการตลาด เพิ่มจากปีนี้ที่ใช้ในสัดส่วน 30% ซึ่งเพิ่มจากปี 2552 ที่มีสัดส่วน 20%
ทางด้านนายอภิชาติ สังฆอารี ที่ปรึกษากิติมศักดิ์สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว(แอตต้า) กล่าวว่า การเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นของ ททท. ในครั้งนี้ เป็นนิมิตหมายที่ดี หลังจากที่เอกชนได้ผลักดันรูปแบบการทำงานแบบนี้มา 4-5 ปีแล้ว โดยเฉพาะเรื่องการจัดตั้งคณะทำงานร่วมภาครัฐและเอกชน
สำหรับประเด็นที่เอกชนเสนอแนะ ในการประชุมครั้งนี้ คือเรื่องของ สร้างจริยธรรม และสร้างการรับรู้ให้คนไทยรู้วิธีการดูแลนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามา และการดูแลแหล่งท่องเที่ยว
นายวิชิต ประกอบโกศล นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวสัมพันธ์ไทย-จีน กล่าวว่า ได้เสนอ 3 ประเด็นหลัก ให้ ททท. นำไปช่วยผลักดัน เพื่อส่งเสริมนักท่องเที่ยวจากตลาดจีน ได้แก่ 1. ผลักดันให้รัฐบาลยกเลิกค่าธรรมเนียมการขอตรวจลงตรา(วีซ่า) เข้าไทย กับคนจีนโดยให้ปฎิบัติเหมือนตลาด ญี่ปุ่น และเกาหลี ซึ่งไม่ต้องขอวีซ่าหากมาประเทศไทย 2.
สนับสนุนงบการตลาดสำหรับตลาดจีนเพิ่มจากปกติอีก 200 ล้านบาท ใช้สนับสนุนโฆษณาและการตลาดให้บริษัทนำเที่ยวในจีน และเครื่องบินเช่าเหมาลำ(ชาร์เตอร์ไฟล์ท) จากเมืองที่ยังไม่มีเส้นทางบินมาไทย หรือมีเส้นทางอยู่แล้ว แต่เพิ่มเส้นทางใหม่ๆ และ 3. นำเสนอเดสติเนชั่นใหม่ๆ ให้ตลาดจีน เช่น กระบี่ เชียงราย เชียงใหม่ หัวหิน และเกาะเสม็ด ด้วยการทำฮาร์ดเซลล์ นำเสนอแหล่งท่องเที่ยว สร้างการรับรู้ หากทำได้ทั้ง 3 ข้อดังกล่าว เชื่อมั่นปีนี้นักท่องเที่ยวจีนจะเดินทางมาไทยได้ถึง 1.5 ล้านคนเกิดรายได้ กว่า 4 หมื่นล้านบาท เพิ่มจากแผนเดิมที่ว่าจะได้ 1.3 ล้านคน
อย่างไรก็ตาม ต้องการให้ภาครัฐในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งจัดระเบียบผู้ประกอบการท่องเที่ยวในแต่ละแขนงธุรกิจ เช่น ธุรกิจโรงแรม อย่าปล่อยสร้าง จนเกิดโอเวอร์ซัพพลาย ส่งผลเกิดสงครามราคา