00 จะเรียกว่าเขี้ยว เหลี่ยมจัด หรือว่า “จอมบิดเบือน” อะไรก็แล้วแต่ แต่ความหมายก็คือทุกคำพูดและท่าทีที่ออกมาจากปากของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีเจตนาทำลายฝ่ายตรงข้ามอยู่ตลอดเวลา อย่างเช่น ล่าสุดออกมาบอกว่า หากตัวเองมีผลประโยชน์ตามแนวชายแดน หรือทำให้เสียอธิปไตย ก็ไม่สมควรอยู่ในประเทศนี้ ก็เป็นแค่คำพูดที่แก้ตัว ใช้จิตวิทยาบิดเบือนเป็นตรงกันข้าม เพราะสิ่งที่สังคมกำลังตั้งคำถามก็คือ คุณเป็นผู้นำที่ “อ่อนแอ-ไร้ความสามารถ” และยอมเป็น “หุ่นเชิด” ให้กับกลุ่มผลประโยชน์รอบตัวคุณเท่านั้น
00 ประเด็นก็คือที่ผ่านมา อภิสิทธิ์ ยอมได้ทุกอย่างเพื่อแลกกับการได้รับการสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปเท่านั้น คำยืนยันว่าตัวเองไม่มีผลประโยชน์ ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน ไม่ทุจริต ยังไม่มีใครเถียงตอนนี้ แต่ที่ผ่านมาคุณต้องได้เห็นการทุจริตเกิดขึ้นในรัฐบาลของคุณ ยอมให้รองนายกฯบางคนมีผลประโยชน์จากการ “กักตุน-นำเข้าน้ำมันปาล์ม” หรือยอมให้อดีต “บิ๊กทหาร” มีผลประโยชน์เถื่อนตามแนวชายแดน หรือการซื้อขายเก้าอี้ในการโยกย้ายแต่งตั้งตำรวจและข้าราชการมหาดไทย รวมไปถึงสารพัดโครงการที่ทุจริต และผลสำรวจออกมายืนยันว่าโกงไม่ต่างจาก “ยุค แม้ว” คุณก็ย่อมรู้ อย่างมากก็เพียงแค่ตั้งคณะกรรมการ “ซื้อเวลา” แต่พอเรื่องเรื่องเงียบ หรือมีท่าทีที่แข็งกร้าวของอีกฝ่ายคุณก็ยอมปล่อยให้ผ่านไป โดยใช้วาทศิลป์ที่ถนัดคอยแก้ต่างให้เสียอีก
00 กรณีไทยปะทะเขมร ก็เช่นเดียวกันยัง “ตะแบง” อ้างผลดีของ เอ็มโอยู 43 ว่าทำให้ทั้งสองฝ่ายยังเจรจากันได้ และตรงกันข้ามถ้าไม่มีเอ็มโอยูดังกล่าวจะให้การเกิดการปะทะกันตลอดแนวชายแดน รวมทั้งไม่ทำให้เสียดินแดน ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว จุดที่เขมรตั้งเป็นฐานปืนใหญ่ยิงเข้าใส่นั้นล้วนอยู่ในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรซึ่งเป็นของไทย(ไม่ใช่พื้นที่ทับซ้อน) แทบทั้งสิ้น และการที่เขมรอ้างแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนก็หมายความว่าเป็นการยืนยันว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นของมัน กลายเป็นว่าไทยล้ำแดนมันเสียฉิบ
00 หลักการของเอ็มโอยูคือ ยึดสันติ และเจรจา ห้ามละเมิด แต่ที่ผ่านมาเขมร ฮุนเซน มันฟังเราหรือเปล่า แถมมีการเตรียมการมาอย่างดีนั่นรีบฟ้องยูเอ็นก่อน หาว่าไทยรุกราน เพื่อล่อให้นานาชาติเข้ามา “แทรกแซง” ซึ่งถ้าทำสำเร็จไทยก็ย่อมเสียเปรียบวันยังค่ำ แต่ประเด็นก็คือ ที่ผ่านมาเราเฉยเมย ไม่ยอมรักษาพื้นที่ของเราไว้ให้มั่นคง ปล่อยให้เขารุกล้ำเข้ามาสร้างชุมชน สร้างวัดอยู่ตลอดเวลา ถามว่าถ้าเราเข้าใจตรงกันว่า ศาลโลกยกให้เฉพาะ “ปราสาทพระวิหาร” เท่านั้น ส่วน “พื้นที่โดยรอบ” ในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรไม่ได้ยกให้ ยังเป็นของไทย
00 นอกจากนี้ในข้อตกลง 4 ข้อระหว่างแม่ทัพภาค 2 พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร กับแม่ทัพเขมร ที่เพิ่งทำขึ้นหลังการปะทะ และหนึ่งในนั้นให้ใช้วิธีเจรจา สันติ แต่ไม่กี่ชั่วโมงให้หลัง เขมรก็ถล่มเข้ามาอีกเป็นรอบที่ 3 รอบที่ 4 หนักหน่วงกว่าเดิม นี่ก็แสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้ยึดมั่นตามข้อตกลง มีเป้าหมายใช้กำลัง โดยแสร้งทำให้ภายนอกเข้าใจว่าไทยรุกล้ำ โดยอ้างเอ็มโอยู 43 ของ อภิสิทธิ์ นั่นแหละ เนื่องจากไปยอมรับแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อสองแสน
00 ขณะที่กับฝ่ายเขมรใช้วิธีเจรจาอ่อนข้อให้ตลอด แต่กับคนไทยด้วยกันกลับเตรียม “ใช้กำลัง” ขับไล่ อ้างกฎหมายความมั่นคงเข้มงวด เพียงเพราะคนไทยเหล่านี้ “รู้ทัน” และไม่ยอมให้โอกาสกับผู้นำที่อ่อนแอ ไร้ความสามารถ ทำตัวเป็นหุ่นเชิดอีกต่อไป เพราะรังแต่ทำให้ประเทศเสียโอกาส เสียอธิปไตย ล่าสุด ข่าวว่า รองนายกฯฝ่าย (ทำลาย)ความมั่นคง สุเทพ เทือกสุบรรณ กำลังสุมหัว กับ ผบ.ตร.พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี หาทางจัดการ “ขับไล่” พันธมิตรฯพ้นจากพื้นที่โดยรอบให้ได้ก่อนวันที่ 11 ก.พ.ที่เป็นวันดีเดย์ไล่มาร์ค ทุด !!
00 ประเด็นก็คือที่ผ่านมา อภิสิทธิ์ ยอมได้ทุกอย่างเพื่อแลกกับการได้รับการสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปเท่านั้น คำยืนยันว่าตัวเองไม่มีผลประโยชน์ ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน ไม่ทุจริต ยังไม่มีใครเถียงตอนนี้ แต่ที่ผ่านมาคุณต้องได้เห็นการทุจริตเกิดขึ้นในรัฐบาลของคุณ ยอมให้รองนายกฯบางคนมีผลประโยชน์จากการ “กักตุน-นำเข้าน้ำมันปาล์ม” หรือยอมให้อดีต “บิ๊กทหาร” มีผลประโยชน์เถื่อนตามแนวชายแดน หรือการซื้อขายเก้าอี้ในการโยกย้ายแต่งตั้งตำรวจและข้าราชการมหาดไทย รวมไปถึงสารพัดโครงการที่ทุจริต และผลสำรวจออกมายืนยันว่าโกงไม่ต่างจาก “ยุค แม้ว” คุณก็ย่อมรู้ อย่างมากก็เพียงแค่ตั้งคณะกรรมการ “ซื้อเวลา” แต่พอเรื่องเรื่องเงียบ หรือมีท่าทีที่แข็งกร้าวของอีกฝ่ายคุณก็ยอมปล่อยให้ผ่านไป โดยใช้วาทศิลป์ที่ถนัดคอยแก้ต่างให้เสียอีก
00 กรณีไทยปะทะเขมร ก็เช่นเดียวกันยัง “ตะแบง” อ้างผลดีของ เอ็มโอยู 43 ว่าทำให้ทั้งสองฝ่ายยังเจรจากันได้ และตรงกันข้ามถ้าไม่มีเอ็มโอยูดังกล่าวจะให้การเกิดการปะทะกันตลอดแนวชายแดน รวมทั้งไม่ทำให้เสียดินแดน ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว จุดที่เขมรตั้งเป็นฐานปืนใหญ่ยิงเข้าใส่นั้นล้วนอยู่ในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรซึ่งเป็นของไทย(ไม่ใช่พื้นที่ทับซ้อน) แทบทั้งสิ้น และการที่เขมรอ้างแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนก็หมายความว่าเป็นการยืนยันว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นของมัน กลายเป็นว่าไทยล้ำแดนมันเสียฉิบ
00 หลักการของเอ็มโอยูคือ ยึดสันติ และเจรจา ห้ามละเมิด แต่ที่ผ่านมาเขมร ฮุนเซน มันฟังเราหรือเปล่า แถมมีการเตรียมการมาอย่างดีนั่นรีบฟ้องยูเอ็นก่อน หาว่าไทยรุกราน เพื่อล่อให้นานาชาติเข้ามา “แทรกแซง” ซึ่งถ้าทำสำเร็จไทยก็ย่อมเสียเปรียบวันยังค่ำ แต่ประเด็นก็คือ ที่ผ่านมาเราเฉยเมย ไม่ยอมรักษาพื้นที่ของเราไว้ให้มั่นคง ปล่อยให้เขารุกล้ำเข้ามาสร้างชุมชน สร้างวัดอยู่ตลอดเวลา ถามว่าถ้าเราเข้าใจตรงกันว่า ศาลโลกยกให้เฉพาะ “ปราสาทพระวิหาร” เท่านั้น ส่วน “พื้นที่โดยรอบ” ในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรไม่ได้ยกให้ ยังเป็นของไทย
00 นอกจากนี้ในข้อตกลง 4 ข้อระหว่างแม่ทัพภาค 2 พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร กับแม่ทัพเขมร ที่เพิ่งทำขึ้นหลังการปะทะ และหนึ่งในนั้นให้ใช้วิธีเจรจา สันติ แต่ไม่กี่ชั่วโมงให้หลัง เขมรก็ถล่มเข้ามาอีกเป็นรอบที่ 3 รอบที่ 4 หนักหน่วงกว่าเดิม นี่ก็แสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้ยึดมั่นตามข้อตกลง มีเป้าหมายใช้กำลัง โดยแสร้งทำให้ภายนอกเข้าใจว่าไทยรุกล้ำ โดยอ้างเอ็มโอยู 43 ของ อภิสิทธิ์ นั่นแหละ เนื่องจากไปยอมรับแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อสองแสน
00 ขณะที่กับฝ่ายเขมรใช้วิธีเจรจาอ่อนข้อให้ตลอด แต่กับคนไทยด้วยกันกลับเตรียม “ใช้กำลัง” ขับไล่ อ้างกฎหมายความมั่นคงเข้มงวด เพียงเพราะคนไทยเหล่านี้ “รู้ทัน” และไม่ยอมให้โอกาสกับผู้นำที่อ่อนแอ ไร้ความสามารถ ทำตัวเป็นหุ่นเชิดอีกต่อไป เพราะรังแต่ทำให้ประเทศเสียโอกาส เสียอธิปไตย ล่าสุด ข่าวว่า รองนายกฯฝ่าย (ทำลาย)ความมั่นคง สุเทพ เทือกสุบรรณ กำลังสุมหัว กับ ผบ.ตร.พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี หาทางจัดการ “ขับไล่” พันธมิตรฯพ้นจากพื้นที่โดยรอบให้ได้ก่อนวันที่ 11 ก.พ.ที่เป็นวันดีเดย์ไล่มาร์ค ทุด !!