ASTVผู้จัดการรายวัน – เอคโค่ วางหมากไทยศูนย์กลางลอจิสติกส์-ผลิตหนังดิบในภูมิภาคเอเชีย ขานรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ทุ่มงบ 250 ล้านบาท เร่งเพิ่มกำลังผลิตรองเท้า-ชิ้นส่วน ลุยขยายคลังสินค้านิคมไทคอน 1 หมื่นตร.ม. ควงนวัตกรรมล่อใจลูกค้าไทย เปิดตัวรองเท้า 8 รุ่นรับหน้าร้อน สิ้นปีรายได้รวมโต 9% กวาด 6,346 ล้านบาท
นายกิตติ ชัยวัฒนาธร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอคโค่ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายรองเท้าเอคโค่ เปิดเผยว่า จากเมื่อปลายปีที่ผ่านมา บริษัทได้รับการแต่งตั้งให้เอคโค่ประเทศไทย เป็นศูนย์กลางกระจายสินค้าและเป็นศูนย์กลางผลิตหนังดิบในภูมิภาคเอเชีย ดังนั้นปีนี้บริษัทได้ทุ่มงบลงทุน 250 ล้านบาท
เพื่อขยายกำลังการผลิตชิ้นส่วนรองเท้าด้านบนที่โรงงาน จ.พิจิตร จาก 1.3 ล้านคู่ เพิ่มเป็น 2 ล้านคู่ และเพิ่มกำลังผลิตรองเท้า ที่ โรงงาน จ.พระนครศรีอยุธยา จาก 7 ล้านคู่เป็น 8 ล้านคู่ เพื่อรองรับการขยายตลาดส่งออกปีนี้ซึ่งคาดว่าเติบโต 9%
ทั้งนี้ปัจจัยที่ไทยได้แต่งตั้งเป็นศูนย์กลางกระจายสินค้า เพราะมีการบริหารจัดการต้นทุนที่ดีที่สุด และมีโลเคชั่นเหมาะกับการส่งออกไปยังประเทศต่างๆ และประการสำคัญ คือ เพื่อรองรับกับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 ซึ่งจะมีผลทำให้การตลาดต่างประเทศง่ายขึ้น โดยโรงงานของเอคโค่ซึ่งมีทั้งหมด 4 แห่งทั่วโลก ได้แก่ ประเทศจีน อินโดนีเซีย สโลวาเกีย ต้องนำเข้าสินค้ามาที่ประเทศไทย เพื่อให้เป็นผู้กระจายสินค้าที่นิคมอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ไทคอน ซึ่งบริษัทต้องขยายพื้นที่เพิ่มจาก 2,000 ตร.ม.เป็น 1 หมื่นตร.ม. คาดว่าแล้วเสร็จปีนี้
นายกิตติ กล่าวว่า ในฐานะผู้ประกอบการต้องการให้รัฐบาลช่วยสนับสนุนด้านการส่งออกตลาดรองเท้าให้เติบโตมากขึ้น จากปีนี้คาดว่าโต 3.5% เนื่องจากขณะนี้ประเทศไทย กำลังประสบกับปัญหาการขาดแรงงาน โดยพบว่า มีอัตราการว่างงานเพียง 0.9% แทบจะน้อยที่สุดในโลก ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการขยายตลาดส่งออกให้เติบโต ทั้งนี้ต้องการให้ภาครัฐออกมาตรการเพื่อผ่อนผันให้มีแรงงานต่างด้าวเพิ่มขึ้นนั้น เพื่อรองรับการขยายตลาดรองเท้าและสินค้ากลุ่มอื่นๆ
แผนการตลาดในไทยปีนี้ บริษัททุ่มงบ 40 ล้านบาท เปิดร้านเอคโคชอปเพิ่ม 2 สาขา จากเดิมมี 2 สาขา ที่ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล ปิ่นเกล้า และบางนา และวางแผนขยายตลาดต่างจังหวัด จากปัจจุบันมีเอาท์เลท 60 สาขาทั่วประเทศ ส่วนกลยุทธ์การตลาดมุ่งเน้นนวัตกรรมใหม่ๆ และกิจกรรมตลาด ภายใต้การใช้งบ 10% ของยอดขาย ล่าสุดเปิดตัว”เอคโค่ สปริง แอนด์ ซัมเมอร์ คอลเลกชัน2011” ทั้งหมด 8 รุ่น ที่ได้รับการออกแบบนุ่มและสบายเท้า และเตรียมรุกตลาดรองเท้ากีฬา ซึ่งจะเปิดตัวเทคโนโลยี BIOM project Natural Motion เพื่อต้อนรับในช่วงหน้าร้อนปีนี้
สภาพตลาดรองเท้าคัทชูลำลองระดับพรีเมียมมูลค่า 2,000 ล้านบาท ปัจจุบันคลากส์เป็นผู้นำตลาด จีอ็อกซ์ และเอคโค่ ตามลำดับ จากการดำเนินการตลาดปีนี้ บริษัทตั้งเป้าผลประกอบการโต 9% หรือมียอดขาย 6,346 ล้านบาท จากเมื่อปีที่ผ่านมา 5,835 ล้านบาท โต 28% โดยปีนี้แบ่งรายได้ในประเทศ โต 10% หรือเพิ่มจาก 216 ล้านบาทเป็น 237 ล้านบาท ส่วนเอคโค่ทั่วโลกตั้งเป้าโต 18% หรือมีรายได้ 942 ล้านยูโร จากปีที่ผ่านมาโต 18% หรือ 801 ล้านยูโร หรือมียอดขาย 18.6 ล้านคู่ โดยอเมริกาเป็นตลาดหลัก 2.6 ล้านคู่ รัสเซีย 2.5 ล้านคู่ เยอรมัน 2.4 ล้านคู่ และจีน 1.2 ล้านคู่ เป็นต้น
นายกิตติ ชัยวัฒนาธร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอคโค่ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายรองเท้าเอคโค่ เปิดเผยว่า จากเมื่อปลายปีที่ผ่านมา บริษัทได้รับการแต่งตั้งให้เอคโค่ประเทศไทย เป็นศูนย์กลางกระจายสินค้าและเป็นศูนย์กลางผลิตหนังดิบในภูมิภาคเอเชีย ดังนั้นปีนี้บริษัทได้ทุ่มงบลงทุน 250 ล้านบาท
เพื่อขยายกำลังการผลิตชิ้นส่วนรองเท้าด้านบนที่โรงงาน จ.พิจิตร จาก 1.3 ล้านคู่ เพิ่มเป็น 2 ล้านคู่ และเพิ่มกำลังผลิตรองเท้า ที่ โรงงาน จ.พระนครศรีอยุธยา จาก 7 ล้านคู่เป็น 8 ล้านคู่ เพื่อรองรับการขยายตลาดส่งออกปีนี้ซึ่งคาดว่าเติบโต 9%
ทั้งนี้ปัจจัยที่ไทยได้แต่งตั้งเป็นศูนย์กลางกระจายสินค้า เพราะมีการบริหารจัดการต้นทุนที่ดีที่สุด และมีโลเคชั่นเหมาะกับการส่งออกไปยังประเทศต่างๆ และประการสำคัญ คือ เพื่อรองรับกับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 ซึ่งจะมีผลทำให้การตลาดต่างประเทศง่ายขึ้น โดยโรงงานของเอคโค่ซึ่งมีทั้งหมด 4 แห่งทั่วโลก ได้แก่ ประเทศจีน อินโดนีเซีย สโลวาเกีย ต้องนำเข้าสินค้ามาที่ประเทศไทย เพื่อให้เป็นผู้กระจายสินค้าที่นิคมอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ไทคอน ซึ่งบริษัทต้องขยายพื้นที่เพิ่มจาก 2,000 ตร.ม.เป็น 1 หมื่นตร.ม. คาดว่าแล้วเสร็จปีนี้
นายกิตติ กล่าวว่า ในฐานะผู้ประกอบการต้องการให้รัฐบาลช่วยสนับสนุนด้านการส่งออกตลาดรองเท้าให้เติบโตมากขึ้น จากปีนี้คาดว่าโต 3.5% เนื่องจากขณะนี้ประเทศไทย กำลังประสบกับปัญหาการขาดแรงงาน โดยพบว่า มีอัตราการว่างงานเพียง 0.9% แทบจะน้อยที่สุดในโลก ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการขยายตลาดส่งออกให้เติบโต ทั้งนี้ต้องการให้ภาครัฐออกมาตรการเพื่อผ่อนผันให้มีแรงงานต่างด้าวเพิ่มขึ้นนั้น เพื่อรองรับการขยายตลาดรองเท้าและสินค้ากลุ่มอื่นๆ
แผนการตลาดในไทยปีนี้ บริษัททุ่มงบ 40 ล้านบาท เปิดร้านเอคโคชอปเพิ่ม 2 สาขา จากเดิมมี 2 สาขา ที่ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล ปิ่นเกล้า และบางนา และวางแผนขยายตลาดต่างจังหวัด จากปัจจุบันมีเอาท์เลท 60 สาขาทั่วประเทศ ส่วนกลยุทธ์การตลาดมุ่งเน้นนวัตกรรมใหม่ๆ และกิจกรรมตลาด ภายใต้การใช้งบ 10% ของยอดขาย ล่าสุดเปิดตัว”เอคโค่ สปริง แอนด์ ซัมเมอร์ คอลเลกชัน2011” ทั้งหมด 8 รุ่น ที่ได้รับการออกแบบนุ่มและสบายเท้า และเตรียมรุกตลาดรองเท้ากีฬา ซึ่งจะเปิดตัวเทคโนโลยี BIOM project Natural Motion เพื่อต้อนรับในช่วงหน้าร้อนปีนี้
สภาพตลาดรองเท้าคัทชูลำลองระดับพรีเมียมมูลค่า 2,000 ล้านบาท ปัจจุบันคลากส์เป็นผู้นำตลาด จีอ็อกซ์ และเอคโค่ ตามลำดับ จากการดำเนินการตลาดปีนี้ บริษัทตั้งเป้าผลประกอบการโต 9% หรือมียอดขาย 6,346 ล้านบาท จากเมื่อปีที่ผ่านมา 5,835 ล้านบาท โต 28% โดยปีนี้แบ่งรายได้ในประเทศ โต 10% หรือเพิ่มจาก 216 ล้านบาทเป็น 237 ล้านบาท ส่วนเอคโค่ทั่วโลกตั้งเป้าโต 18% หรือมีรายได้ 942 ล้านยูโร จากปีที่ผ่านมาโต 18% หรือ 801 ล้านยูโร หรือมียอดขาย 18.6 ล้านคู่ โดยอเมริกาเป็นตลาดหลัก 2.6 ล้านคู่ รัสเซีย 2.5 ล้านคู่ เยอรมัน 2.4 ล้านคู่ และจีน 1.2 ล้านคู่ เป็นต้น