ASTVผู้จัดการรายวัน - ซิตี้แบงก์ประเมินเศรษฐกิจไทยโต 4.3%ชะลอตัวจากปีก่อน ปัจจัยหลักส่งออกหด ขณะที่ค่าเงินบาท-ตลาดหุ้นยังผันผวนจากเงินทุนไหลเข้า คาดสิ้นปีแตะ 28.5 บาท เป้าหมายดัชนีตลาดฯ 1,060 จุด ชี้ปัจจัยที่ต้องจับตา เศรษฐกิจสหรัฐฯ แรงกดดันเงินเฟ้อ
นายฮาเรน ชาห์ ผู้อำนวยการและนักกลยุทธ์การลงทุนอาวุโส บริการบริหารความมั่งคั่ง ซิตี้เอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า ซิตี้คาดการณ์เศรษฐกิจไทยในปีนี้จะเติบโตในระดับ 4.3% ชะลอตัวลงจากปี 53 ที่คาดว่าจะเติบโตได้ถึง 7.8% จากการส่งออกที่ลดลง และจะกลับมาขยายตัวได้เพิ่มขึ้นใน 2555 ที่ระดับ 5.2% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อน่าจะอยู่ที่ 2.7% จากปีก่อนที่คาดว่าจะอยู่ในระดับ 3.2% โดยในช่วงครึ่งปีแรกอัตราเงินเฟ้อของไทยจะยังทรงตัวค่อนข้างต่ำแต่จะเร่งตัวขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง
"ในปีนี้เรื่องเงินเฟ้อยังเป็นปัญหาของประเทศเกิดใหม่และประเทศไทย ก็ยังต้องจับตาดูในเรื่องนี้ เนื่องจากราคาสินค้าที่ปรับขึ้นสูงเป็นปัจจัยเร่งทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้น การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยเมื่อวันที่ 12 ม.ค.ก็เพื่อคุมเงินเฟ้อ และยังมีทิศทางที่ปรับขึ้นได้อีก โดยคาดปลายปีนี้ดอกเบี้ยนโยบายน่าจะแตะที่ระดับ 3%"
ด้านค่าเงินบาทและตลาดหุ้นจะยังคงมีความผันผวนตามกระแสเงินทุนไหลเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งก็จะขึ้นอยู่กับความชัดเจนของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ปัญหาหนี้สาธารณะของยุโรปเป็นหลัก แต่คาดว่าจะยังคงมีเงินทุนไหลเข้าในภูมิภาคเอเชียอยู่อย่างต่อเนื่องเพื่อหาผลตอบแทนที่ดี ทั้งนี้ คาดว่าปลายปีนี้ค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นไปแตะ 28.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และดัชนีตลาดหุ้นมีเป้าหมายที่ 1060 จุด
นายฮาเรน ชาห์กล่าวอีกว่า ปัจจัยด้านการเมืองของไทยนั้น เป็นเรื่องที่ประเมินได้ยาก อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเมื่อปีก่อนจะเกิดเหตุการณ์ขัดแย้งทางการเมืองที่รุนแรง แต่เศรษฐกิจไทยยังสามารถเติบโตได้เป็นอย่างดี
**ยังจับตาเศรษฐกิจสหรัฐฯ**
ส่วนเศรษฐกิจโลกในปีนี้ ก็จะเติบโตในอัตราที่ชะลอตัวลงเช่นกัน แต่ไม่น่าจะเกิดภาวะถดถอยอีก โดยคาดว่าจะโตที่ 3.4% จากปีก่อนที่โต 3.9% ปัจจัยที่ยังต้องจับตามองคือเศรษฐกิจสหรัฐฯว่าฟื้นตัวอย่างชัดเจนหรือไม่ โดยเฉพาะตัวเลขการว่างงานที่ยังสูง ปัญหาภาคการธนาคาร ปัญหาหนี้สาธารณะของประเทศแถบยุโรป รวมถึงแรงกดดันด้านเงินเฟ้อในประเทศเกิดใหม่ และปัญหาการเมืองในสหรัฐฯที่จะมีการเลือกตั้งกลางเทอมในปีนี้
"ปัญหาใหญ่ทางเศรษฐกิจในปีที่ผ่านมายังจะมีผลต่อเนื่องเข้าสู่ใหม่ อัตราการเจริญเติบโตที่ไม่เท่ากันในเศรษฐกิจโลก ภาวะเงินฝืดหรือเงินเฟ้อ และความกลัวต่อสงครามค่าเงินและสงครามการค้าจะถูกขัดจังหวะด้วยปัญหาทางการเมือง ตลาดหุ้นทั่วโลกยังคงมีความผันผวนจากสภาพคล่องที่ไหลจากประเทศพัฒนาแล้วสู่ประเทศเกิดใหม่ ครึ่งปีแรกของปี 2554 น่าจะอยู่ภายใต้อิทธิพลของ QE2 ปัญหาทางการเมืองในสหรัฐฯ และความพยายามของประเทศเกิดใหม่ในการจำกัดเงินเฟ้อ"
สำหรับกลยุทธ์ในการลงทุนในปีนี้ ซิตี้ยังคงมีมุมมองในแง่ดีต่อภาวะการบริโภคในตลาดเกิดใหม่และต่อกองทุนป้องกันความเสี่ยง เศรษฐกิจของประเทศเกิดใหม่ยังคงเติบโตได้ดีโดยเฉพาะกลุ่ม BRIC (บราซิล รัสเซีย อินเดีย และจีน) ส่วนกลยุทธ์ระยะสั้น เชื่อว่าประเทศจีนยังคงมีอัตราการเจริญเติบโตที่น่าสนใจ โดยเลือกลงทุนผ่านตลดาหุ้นฮ่องกงในปี 2554 หลังรับประโยชน์จากความแข็งแกร่งของจีน นอกจากนี้นั้น ตลาดหุ้นประเทศผู้ผลิตสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น บราซิล และรัสเซีย น่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่สูง
**รุกขยายสาขา Wealth Management **
ด้านนายปวิณ รอดลอยทุกข์ ผู้อานวยการฝ่ายบุคคลธนกิจ ธนาคารซิตี้แบงก์ กล่าวเสริมว่า ทางซิตี้แบงก์ มีแผนการขยาย 2 สาขาพร้อมบริการเวลท์ แมเนชจเมนท์ เซนเตอร์ในปี 2554 เพื่อรองรับความต้องการในธุรกิจ Wealth Management โดยเริ่มจากงานสัมมนาแนวโน้มการลงทุนประจาปี และ ต่อด้วยงาน Golden Perspective Wealth Management Event ซึ่งจะจัดขึ้นที่ Hall of Fame สยามพารากอน ในระหว่างวันที่ 27 – 30 มกราคม 2554 เวลา 11.00 – 21.00 น. ภายในงานลูกค้าจะได้สัมผัสบริการ Citigold World Class Wealth Management บริษัทจัดการที่มาร่วมงาน อันถือเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับซิตี้โกลด์นั้น จะร่วมนาเสนอความรู้ด้านการลงทุนและข้อเสนอพิเศษ ด้านการลงทุน บริษัทจัดการการลงทุนดังกล่าวได้แก่ บลจ. อเบอร์ดีน จากัด, บลจ. อยุธยา จากัด
บลจ. ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จากัด, บลจ. กสิกรไทย และ บลจ. กรุงไทย จำกัด
นายฮาเรน ชาห์ ผู้อำนวยการและนักกลยุทธ์การลงทุนอาวุโส บริการบริหารความมั่งคั่ง ซิตี้เอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า ซิตี้คาดการณ์เศรษฐกิจไทยในปีนี้จะเติบโตในระดับ 4.3% ชะลอตัวลงจากปี 53 ที่คาดว่าจะเติบโตได้ถึง 7.8% จากการส่งออกที่ลดลง และจะกลับมาขยายตัวได้เพิ่มขึ้นใน 2555 ที่ระดับ 5.2% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อน่าจะอยู่ที่ 2.7% จากปีก่อนที่คาดว่าจะอยู่ในระดับ 3.2% โดยในช่วงครึ่งปีแรกอัตราเงินเฟ้อของไทยจะยังทรงตัวค่อนข้างต่ำแต่จะเร่งตัวขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง
"ในปีนี้เรื่องเงินเฟ้อยังเป็นปัญหาของประเทศเกิดใหม่และประเทศไทย ก็ยังต้องจับตาดูในเรื่องนี้ เนื่องจากราคาสินค้าที่ปรับขึ้นสูงเป็นปัจจัยเร่งทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้น การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยเมื่อวันที่ 12 ม.ค.ก็เพื่อคุมเงินเฟ้อ และยังมีทิศทางที่ปรับขึ้นได้อีก โดยคาดปลายปีนี้ดอกเบี้ยนโยบายน่าจะแตะที่ระดับ 3%"
ด้านค่าเงินบาทและตลาดหุ้นจะยังคงมีความผันผวนตามกระแสเงินทุนไหลเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งก็จะขึ้นอยู่กับความชัดเจนของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ปัญหาหนี้สาธารณะของยุโรปเป็นหลัก แต่คาดว่าจะยังคงมีเงินทุนไหลเข้าในภูมิภาคเอเชียอยู่อย่างต่อเนื่องเพื่อหาผลตอบแทนที่ดี ทั้งนี้ คาดว่าปลายปีนี้ค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นไปแตะ 28.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และดัชนีตลาดหุ้นมีเป้าหมายที่ 1060 จุด
นายฮาเรน ชาห์กล่าวอีกว่า ปัจจัยด้านการเมืองของไทยนั้น เป็นเรื่องที่ประเมินได้ยาก อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเมื่อปีก่อนจะเกิดเหตุการณ์ขัดแย้งทางการเมืองที่รุนแรง แต่เศรษฐกิจไทยยังสามารถเติบโตได้เป็นอย่างดี
**ยังจับตาเศรษฐกิจสหรัฐฯ**
ส่วนเศรษฐกิจโลกในปีนี้ ก็จะเติบโตในอัตราที่ชะลอตัวลงเช่นกัน แต่ไม่น่าจะเกิดภาวะถดถอยอีก โดยคาดว่าจะโตที่ 3.4% จากปีก่อนที่โต 3.9% ปัจจัยที่ยังต้องจับตามองคือเศรษฐกิจสหรัฐฯว่าฟื้นตัวอย่างชัดเจนหรือไม่ โดยเฉพาะตัวเลขการว่างงานที่ยังสูง ปัญหาภาคการธนาคาร ปัญหาหนี้สาธารณะของประเทศแถบยุโรป รวมถึงแรงกดดันด้านเงินเฟ้อในประเทศเกิดใหม่ และปัญหาการเมืองในสหรัฐฯที่จะมีการเลือกตั้งกลางเทอมในปีนี้
"ปัญหาใหญ่ทางเศรษฐกิจในปีที่ผ่านมายังจะมีผลต่อเนื่องเข้าสู่ใหม่ อัตราการเจริญเติบโตที่ไม่เท่ากันในเศรษฐกิจโลก ภาวะเงินฝืดหรือเงินเฟ้อ และความกลัวต่อสงครามค่าเงินและสงครามการค้าจะถูกขัดจังหวะด้วยปัญหาทางการเมือง ตลาดหุ้นทั่วโลกยังคงมีความผันผวนจากสภาพคล่องที่ไหลจากประเทศพัฒนาแล้วสู่ประเทศเกิดใหม่ ครึ่งปีแรกของปี 2554 น่าจะอยู่ภายใต้อิทธิพลของ QE2 ปัญหาทางการเมืองในสหรัฐฯ และความพยายามของประเทศเกิดใหม่ในการจำกัดเงินเฟ้อ"
สำหรับกลยุทธ์ในการลงทุนในปีนี้ ซิตี้ยังคงมีมุมมองในแง่ดีต่อภาวะการบริโภคในตลาดเกิดใหม่และต่อกองทุนป้องกันความเสี่ยง เศรษฐกิจของประเทศเกิดใหม่ยังคงเติบโตได้ดีโดยเฉพาะกลุ่ม BRIC (บราซิล รัสเซีย อินเดีย และจีน) ส่วนกลยุทธ์ระยะสั้น เชื่อว่าประเทศจีนยังคงมีอัตราการเจริญเติบโตที่น่าสนใจ โดยเลือกลงทุนผ่านตลดาหุ้นฮ่องกงในปี 2554 หลังรับประโยชน์จากความแข็งแกร่งของจีน นอกจากนี้นั้น ตลาดหุ้นประเทศผู้ผลิตสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น บราซิล และรัสเซีย น่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่สูง
**รุกขยายสาขา Wealth Management **
ด้านนายปวิณ รอดลอยทุกข์ ผู้อานวยการฝ่ายบุคคลธนกิจ ธนาคารซิตี้แบงก์ กล่าวเสริมว่า ทางซิตี้แบงก์ มีแผนการขยาย 2 สาขาพร้อมบริการเวลท์ แมเนชจเมนท์ เซนเตอร์ในปี 2554 เพื่อรองรับความต้องการในธุรกิจ Wealth Management โดยเริ่มจากงานสัมมนาแนวโน้มการลงทุนประจาปี และ ต่อด้วยงาน Golden Perspective Wealth Management Event ซึ่งจะจัดขึ้นที่ Hall of Fame สยามพารากอน ในระหว่างวันที่ 27 – 30 มกราคม 2554 เวลา 11.00 – 21.00 น. ภายในงานลูกค้าจะได้สัมผัสบริการ Citigold World Class Wealth Management บริษัทจัดการที่มาร่วมงาน อันถือเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับซิตี้โกลด์นั้น จะร่วมนาเสนอความรู้ด้านการลงทุนและข้อเสนอพิเศษ ด้านการลงทุน บริษัทจัดการการลงทุนดังกล่าวได้แก่ บลจ. อเบอร์ดีน จากัด, บลจ. อยุธยา จากัด
บลจ. ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จากัด, บลจ. กสิกรไทย และ บลจ. กรุงไทย จำกัด