ช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา “สถานการณ์บ้านเมือง” มีเหตุการณ์ทางการเมืองที่สร้างความวิตกกังวลแก่ประชาชนคนไทยอย่างมาก โดยเฉพาะชาวกรุงเทพมหานครที่ห่วงใยถึง “ความรุนแรง” ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเวลาจาก “กลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดง” และ “แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)” ซึ่งยังคงปักหลักชุมนุมประท้วงที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ และบริเวณใกล้เคียง จนไต่ระดับการระดมประชาชนเพิ่มมากขึ้น แม้กระทั่ง “เปิดตัว” บรรดา “สมาชิกสภาผู้แทนฯ พรรคเพื่อไทย” ขึ้นเวทีอย่างโจ๋งครึ่ม!
มิใช่เฉพาะคนไทยเท่านั้นที่วิพากษ์วิจารณ์ “วิกฤตการเมืองไทย” แต่สังคมโลกยังต้องหันมามองให้ความสนใจกับสภาพการณ์การเมืองที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องช่วง 3 ปีกว่าๆ ที่ผ่านมา พร้อมทั้งสำนักข่าวต่างประเทศได้นำเสนอข่าวไปทั่วโลกทุกวันเช่นเดียวกัน เนื่องด้วย ความจริงที่เราต้องยอมรับว่า สังคมยุคใหม่เป็น “สังคมข้อมูลข่าวสาร” ที่ต่างแย่งชิงและเฝ้าเกาะติดข่าวนำเสนอ 24 ชั่วโมง
ถึงแม้ว่า สถานการณ์ด้านการเมืองยังคงเคลื่อนไหวด้วยหลากหลาย “กิจกรรมการเมือง” เพื่อสร้าง “กระแสข่าว” เกือบทุกวัน ซึ่งเป็นปกติธรรมดาที่ “การเมืองยุคใหม่” ต้องสร้างกิจกรรมเพื่อเรียกร้องความสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ด้าน “การตลาด” ที่นับว่าสัมฤทธิผลอย่างดี เพราะได้ถูกนำเสนอหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ทุกวัน และเป็นประเด็นข่าวเด่นทุกสถานีวิทยุและโทรทัศน์
อย่างไรก็ตาม ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้เริ่มมีการประชุมระดับโลก โดยใช้กรุงเทพฯ ประเทศไทยเราเป็น “เวทีการประชุมระดับโลก” ซึ่งวันนี้ก็ยังมีการประชุมอยู่ และจะจบสิ้นภายในวันพรุ่งนี้
“การประชุมสมัชชาสหภาพรัฐสภา ครั้งที่ 122 (IPU : Inter-Parliamentary Union)” ได้เปิดฉากเริ่มประชุมไปแล้วเมื่อวันเสาร์ที่ 27 มีนาคมที่ผ่านมา โดยประเทศไทยเป็น “เจ้าภาพ” จัดการประชุมในครั้งนี้ และจะจบในวันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน
การประชุมระดับโลกนี้ มีความสำคัญอย่างมาก ซึ่งมิใช่ต่อประเทศไทย แต่ต่อ “สังคมโลก” เนื่องด้วย สมาชิกสมัชชาสหภาพฯ มีจำนวนภาคีสมาชิก 153 ประเทศ เรียกว่า ทั่วโลก ที่จัดปีละ 2 ครั้ง ทั้งนี้ขอย้ำว่า “การประชุมสมัชชาสหภาพรัฐสภา” นี้ ได้เวียนจัดกันทุกประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะกลุ่มประเทศที่มีระบบการเมืองการปกครองประชาธิปไตย จึงมีความสำคัญต่อ “ความรู้สึก-ภาพลักษณ์” ของประเทศไทยในครั้งนี้เป็นอย่างมาก
สำนักข่าวสื่อต่างประเทศได้ประโคมนำเสนอข่าวไปทั่วโลก ถึงการประชุมในครั้งนี้ เนื่องด้วย สังคมโลกช่วง 1-2 ปีนี้ ได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก และไม่สำคัญเท่ากับการ มุ่งเน้นให้ความสำคัญกับ “ประชาธิปไตย” พร้อมทั้งบทบาทของ “นักการเมือง-พรรคการเมือง” จำต้องมีภารกิจและบทบาทสำคัญกับ “การพัฒนาประชาธิปไตย”
“สหภาพรัฐสภา” หรือ “Inter-Parliamentary Union (IPU)” เป็นองค์การความร่วมมือระหว่างองค์กรนิติบัญญัติ หรือรัฐสภานานาประเทศ จัดตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2432 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมสัมพันธภาพระหว่างสมาชิกรัฐสภาทั่วโลก และเพื่อความร่วมมือในการดำเนินงานทางรัฐสภาในการส่งเสริมการปกครองในระบอบประชาธิปไตย การรักษาสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ การเคารพสิทธิมนุษยชน และการพัฒนาที่ยั่งยืน
“รัฐสภาไทยในเวทีสหภาพรัฐสภา” รัฐสภาไทยได้เข้าเป็นภาคีสมาชิกของสหภาพรัฐสภาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2493 มาเป็นเวลายาวนานถึง 60 ปี โดยที่ประชุมคณะมนตรีบริหารสหภาพรัฐสภา ณ กรุงดับลิน ประเทศไอร์แลนด์ เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ.2493 ที่ประชุมได้มีมติเป็นเอกฉันท์รับหน่วยประจำชาติไทยเข้าเป็นภาคีของสหภาพรัฐสภา ทำให้รัฐสภาไทยได้เข้าร่วมประชุมสมัชชาสหภาพรัฐสภามาอย่างสม่ำเสมอ และผู้แทนรัฐสภาไทยที่เข้าร่วมประชุมได้กล่าวถ้อยแถลงในประเด็นต่างๆ ทุกครั้งตลอดมา
“การบริหารสหภาพรัฐสภา” สหภาพรัฐสภา ได้กำหนดธรรมนูญการบริหารสหภาพรัฐสภา (Union ‘s Statutes) โดยกำหนดให้มีกรรมการสำคัญ 2 ชุด และสำนักงานเลขาธิการสหภาพรัฐสภา
1. “คณะกรรมการกำกับนโยบายการบริหาร (Executive Committee)” ทำหน้าที่กำกับนโยบายการบริหารกิจการของสหภาพรัฐสภา และให้คำแนะนำต่อคณะมนตรีบริหาร คณะกรรมการกำกับนโยบายการบริหารนี้มีจำนวน 17 คน ซึ่งประกอบด้วย คณะกรรมการ 15 คน จากการเลือกตั้งโดยคณะมนตรีบริหาร (Governing Council) โดยมีวาระการดำรงตำแหน่ง 4 ปี ส่วนอีก 2 คนนั้น เป็นกรรมการโดยตำแหน่ง คือ ประธานสหภาพรัฐสภา 1 คน และประธานคณะกรรมการประสานงานสหภาพรัฐสภาสตรีอีก 1 คน โดยกรรมการโดยตำแหน่งนี้มีวาระ 2 ปี และสามารถเป็นซ้ำได้อีกเพียงหนึ่งครั้ง
2. “คณะมนตรีบริหาร (Governing Council)” ซึ่งแต่เดิมใช้ชื่อ “คณะมนตรีสหภาพ (Inter-Parliamentary Council)” ทำหน้าที่กำหนดนโยบายทุกด้านของสหภาพรัฐสภา ตั้งแต่การพิจารณารับประเทศสมาชิกใหม่ การถอดถอนประเทศสมาชิก รวมทั้งการวางแผนงบประมาณ และอื่นๆ เพื่อศึกษา ดำเนินการ หรือเสนอนโยบายต่างๆ ต่อคณะมนตรีบริหาร
“ผู้แทนรัฐสภาไทยในคณะมนตรีบริหารสหภาพรัฐสภา” 3 คน คือ 1.รศ.ดร.ทัศนา บุญทอง รองประธานวุฒิสภาคนที่สอง 2.นายอลงกรณ์ พลบุตร สมาชิกรัฐสภา (ผู้แทนฝ่ายรัฐบาล) 3.น.ส.ตรีนุช เทียนทอง สมาชิกรัฐสภา (ผู้แทนฝ่ายค้าน)
ประธานสหภาพรัฐสภา จะทำหน้าที่เป็นประธานกรรมการ กำกับนโยบายการบริหาร และให้คำแนะนำแก่มนตรีบริหารในด้านต่างๆ ที่เกี่ยวกับภารกิจของสหภาพ รวมทั้งการควบคุมการบริหารจัดการของสำนักงานเลขาธิการสหภาพรัฐสภา
ปัจจุบัน ประธานสหภาพรัฐสภา คือ ดร.ธีโอเบน กูริราบ (Dr.Theo-Ban Gurirab) ประธานรัฐสภาจากประเทศนามิเบีย
“ภารกิจหลักของสหภาพรัฐสภา” คือ การส่งเสริมการทำงานร่วมกันของสมาชิกรัฐสภาทั่วโลก เพื่อนำมาซึ่งสันติภาพระหว่างประเทศประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน ความเท่าเทียมกันระหว่างหญิงชาย และการพัฒนาที่ยั่งยืน
“สหภาพรัฐสภา” จัดให้มีการประชุมปีละ 2 ครั้ง โดยการประชุมครั้งแรกของปีจะจัดในฤดูใบไม้ผลิ ประมาณเดือนเมษายน หรือพฤษภาคม โดยจะจัดหมุนเวียนกันไปตามประเทศสมาชิกทั่วทุกภูมิภาคของโลก ส่วนการประชุมครั้งที่สองของปี จะจัดประมาณเดือนตุลาคม หรือพฤศจิกายน ซึ่งจะจัด ณ นครเจนีวา สมาพันธ์รัฐสวิส
การประชุมสมัชชาสหภาพรัฐสภานี้ เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้แทนของสมาชิกแห่งรัฐสภานานาประเทศ มาแสดงความคิดเห็นร่วมอภิปรายในปัญหาระหว่างประเทศ ทั้งด้านการเมือง รัฐสภาสิทธิมนุษยชน เศรษฐกิจ สังคม และอื่นๆ ตามระเบียบวาระการประชุมที่คณะมนตรีบริหารสหภาพรัฐสภาเป็นผู้กำหนดให้ และหลังจากมีการอภิปรายกันแล้ว ที่ประชุมสมัชชาสหภาพรัฐสภาจะมีการลงมติรับรองในร่างมติเรื่องต่างๆ ที่ได้อภิปรายไปแล้ว ประเทศสมาชิกจะต้องนำไปปฏิบัติ หรือแจ้งให้รัฐบาลทราบต่อไป เพื่อให้เป็นไปตามธรรมนูญของสหภาพรัฐสภา และจะต้องรายงานผลการนำข้อมติไปปฏิบัติให้สหภาพรัฐสภาทราบด้วย
รัฐสภาไทยเคยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสมัชชาสหภาพรัฐสภามาแล้ว 2 ครั้ง คือ ครั้งที่ 1 การประชุมสมัชชาสหภาพรัฐสภา ครั้งที่ 45 จัดขึ้น ณ ศาลาสันติธรรม กรุงเทพมหานคร ระหว่างวันที่ 15-22 พฤศจิกายน 2499 และประเทศไทยได้เป็นเจ้าภาพจัดประชุมอีกครั้งหนึ่ง เป็นครั้งที่สอง ระหว่างวันที่ 12-17 ตุลาคม 2530 ณ บางกอกคอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นการประชุมสมัชชาสหภาพรัฐสภา ครั้งที่ 78 ห่างจากการเป็นเจ้าภาพครั้งแรกถึง 30 ปี
สำหรับปี พ.ศ.2553 นี้ รัฐสภาไทยได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมอีกครั้งหนึ่ง ในระหว่างวันที่ 27 มีนาคม – 1 เมษายน พ.ศ.2553 ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นการประชุมสมัชชาสหภาพรัฐสภา ครั้งที่ 122 ห่างจากการเป็นเจ้าภาพครั้งที่ 2 อยู่ 23 ปี
พฤษภาคม พ.ศ.2551 รศ.ดร.ทัศนา บุญทอง รองประธานวุฒิสภา คนที่สอง ได้รับมอบหมายจากรัฐสภา เป็นหัวหน้าคณะนำผู้แทนรัฐสภาไทยไปประชุมองค์การการค้าโลก ณ นครเจนีวา สมาพันธ์รัฐสวิส ได้รับการทาบทามจากเลขาธิการสหภาพรัฐสภา มร.แอนเดอร์ส บี จอห์นสัน หากรัฐสภาไทยพร้อมเป็นเจ้าภาพจัดประชุมสมัชชาสหภาพรัฐสภาตามที่เสนอไว้เดิม ซึ่ง รศ.ดร.ทัศนา บุญทอง ได้รับที่จะนำข้อมูลมาเสนอท่านประธานรัฐสภา และท่านประธานวุฒิสภา เพื่อพิจารณา ซึ่งได้นำเข้าหารือต่อที่ประชุม 10 ตุลาคม พ.ศ. 2551 กรรมการบริหารหน่วยประจำชาติไทยในสหภาพรัฐสภา ครั้งที่ 3/2551 มีมติรับเป็นเจ้าภาพจัดประชุมสมัชชาสหภาพรัฐสภา
การจัดการประชุมสมัชชาสหภาพรัฐสภาครั้งนี้ มีประเทศสมาชิกเข้าร่วมประชุมจำนวน 132 ประเทศ และมีประเทศที่เข้าร่วมสังเกตการณ์ 34 ประเทศ ประธานรัฐสภาเข้าร่วม 49 คน รองประธานสภาฯ 52 คน สมาชิกสภาสตรี 191 คน รวมทั้งสมาชิกรัฐสภา เลขาธิการรัฐสภาจากกลุ่มประเทศสมาชิกภาคีจำนวนเกือบ 2,000 คน
ประเด็นหารือ 3 ประเด็นสำคัญ คือ การต่อต้านการก่อการร้าย ยาเสพติดและการค้ามนุษย์ หนึ่ง ล่ะ สอง การพัฒนาอย่างยั่งยืนด้านเศรษฐกิจ และ สาม การส่งเสริมเรื่องสิทธิมนุษยชน และส่งเสริมการปกครองระบอบประชาธิปไตย
เราคนไทยทุกคนต้องร่วมเป็น “เจ้าภาพ-เจ้าบ้าน” ที่ดี เพราะเป็น “หน้าตา-ภาพลักษณ์” ของประเทศชาติ!
มิใช่เฉพาะคนไทยเท่านั้นที่วิพากษ์วิจารณ์ “วิกฤตการเมืองไทย” แต่สังคมโลกยังต้องหันมามองให้ความสนใจกับสภาพการณ์การเมืองที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องช่วง 3 ปีกว่าๆ ที่ผ่านมา พร้อมทั้งสำนักข่าวต่างประเทศได้นำเสนอข่าวไปทั่วโลกทุกวันเช่นเดียวกัน เนื่องด้วย ความจริงที่เราต้องยอมรับว่า สังคมยุคใหม่เป็น “สังคมข้อมูลข่าวสาร” ที่ต่างแย่งชิงและเฝ้าเกาะติดข่าวนำเสนอ 24 ชั่วโมง
ถึงแม้ว่า สถานการณ์ด้านการเมืองยังคงเคลื่อนไหวด้วยหลากหลาย “กิจกรรมการเมือง” เพื่อสร้าง “กระแสข่าว” เกือบทุกวัน ซึ่งเป็นปกติธรรมดาที่ “การเมืองยุคใหม่” ต้องสร้างกิจกรรมเพื่อเรียกร้องความสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ด้าน “การตลาด” ที่นับว่าสัมฤทธิผลอย่างดี เพราะได้ถูกนำเสนอหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ทุกวัน และเป็นประเด็นข่าวเด่นทุกสถานีวิทยุและโทรทัศน์
อย่างไรก็ตาม ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้เริ่มมีการประชุมระดับโลก โดยใช้กรุงเทพฯ ประเทศไทยเราเป็น “เวทีการประชุมระดับโลก” ซึ่งวันนี้ก็ยังมีการประชุมอยู่ และจะจบสิ้นภายในวันพรุ่งนี้
“การประชุมสมัชชาสหภาพรัฐสภา ครั้งที่ 122 (IPU : Inter-Parliamentary Union)” ได้เปิดฉากเริ่มประชุมไปแล้วเมื่อวันเสาร์ที่ 27 มีนาคมที่ผ่านมา โดยประเทศไทยเป็น “เจ้าภาพ” จัดการประชุมในครั้งนี้ และจะจบในวันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน
การประชุมระดับโลกนี้ มีความสำคัญอย่างมาก ซึ่งมิใช่ต่อประเทศไทย แต่ต่อ “สังคมโลก” เนื่องด้วย สมาชิกสมัชชาสหภาพฯ มีจำนวนภาคีสมาชิก 153 ประเทศ เรียกว่า ทั่วโลก ที่จัดปีละ 2 ครั้ง ทั้งนี้ขอย้ำว่า “การประชุมสมัชชาสหภาพรัฐสภา” นี้ ได้เวียนจัดกันทุกประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะกลุ่มประเทศที่มีระบบการเมืองการปกครองประชาธิปไตย จึงมีความสำคัญต่อ “ความรู้สึก-ภาพลักษณ์” ของประเทศไทยในครั้งนี้เป็นอย่างมาก
สำนักข่าวสื่อต่างประเทศได้ประโคมนำเสนอข่าวไปทั่วโลก ถึงการประชุมในครั้งนี้ เนื่องด้วย สังคมโลกช่วง 1-2 ปีนี้ ได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก และไม่สำคัญเท่ากับการ มุ่งเน้นให้ความสำคัญกับ “ประชาธิปไตย” พร้อมทั้งบทบาทของ “นักการเมือง-พรรคการเมือง” จำต้องมีภารกิจและบทบาทสำคัญกับ “การพัฒนาประชาธิปไตย”
“สหภาพรัฐสภา” หรือ “Inter-Parliamentary Union (IPU)” เป็นองค์การความร่วมมือระหว่างองค์กรนิติบัญญัติ หรือรัฐสภานานาประเทศ จัดตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2432 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมสัมพันธภาพระหว่างสมาชิกรัฐสภาทั่วโลก และเพื่อความร่วมมือในการดำเนินงานทางรัฐสภาในการส่งเสริมการปกครองในระบอบประชาธิปไตย การรักษาสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ การเคารพสิทธิมนุษยชน และการพัฒนาที่ยั่งยืน
“รัฐสภาไทยในเวทีสหภาพรัฐสภา” รัฐสภาไทยได้เข้าเป็นภาคีสมาชิกของสหภาพรัฐสภาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2493 มาเป็นเวลายาวนานถึง 60 ปี โดยที่ประชุมคณะมนตรีบริหารสหภาพรัฐสภา ณ กรุงดับลิน ประเทศไอร์แลนด์ เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ.2493 ที่ประชุมได้มีมติเป็นเอกฉันท์รับหน่วยประจำชาติไทยเข้าเป็นภาคีของสหภาพรัฐสภา ทำให้รัฐสภาไทยได้เข้าร่วมประชุมสมัชชาสหภาพรัฐสภามาอย่างสม่ำเสมอ และผู้แทนรัฐสภาไทยที่เข้าร่วมประชุมได้กล่าวถ้อยแถลงในประเด็นต่างๆ ทุกครั้งตลอดมา
“การบริหารสหภาพรัฐสภา” สหภาพรัฐสภา ได้กำหนดธรรมนูญการบริหารสหภาพรัฐสภา (Union ‘s Statutes) โดยกำหนดให้มีกรรมการสำคัญ 2 ชุด และสำนักงานเลขาธิการสหภาพรัฐสภา
1. “คณะกรรมการกำกับนโยบายการบริหาร (Executive Committee)” ทำหน้าที่กำกับนโยบายการบริหารกิจการของสหภาพรัฐสภา และให้คำแนะนำต่อคณะมนตรีบริหาร คณะกรรมการกำกับนโยบายการบริหารนี้มีจำนวน 17 คน ซึ่งประกอบด้วย คณะกรรมการ 15 คน จากการเลือกตั้งโดยคณะมนตรีบริหาร (Governing Council) โดยมีวาระการดำรงตำแหน่ง 4 ปี ส่วนอีก 2 คนนั้น เป็นกรรมการโดยตำแหน่ง คือ ประธานสหภาพรัฐสภา 1 คน และประธานคณะกรรมการประสานงานสหภาพรัฐสภาสตรีอีก 1 คน โดยกรรมการโดยตำแหน่งนี้มีวาระ 2 ปี และสามารถเป็นซ้ำได้อีกเพียงหนึ่งครั้ง
2. “คณะมนตรีบริหาร (Governing Council)” ซึ่งแต่เดิมใช้ชื่อ “คณะมนตรีสหภาพ (Inter-Parliamentary Council)” ทำหน้าที่กำหนดนโยบายทุกด้านของสหภาพรัฐสภา ตั้งแต่การพิจารณารับประเทศสมาชิกใหม่ การถอดถอนประเทศสมาชิก รวมทั้งการวางแผนงบประมาณ และอื่นๆ เพื่อศึกษา ดำเนินการ หรือเสนอนโยบายต่างๆ ต่อคณะมนตรีบริหาร
“ผู้แทนรัฐสภาไทยในคณะมนตรีบริหารสหภาพรัฐสภา” 3 คน คือ 1.รศ.ดร.ทัศนา บุญทอง รองประธานวุฒิสภาคนที่สอง 2.นายอลงกรณ์ พลบุตร สมาชิกรัฐสภา (ผู้แทนฝ่ายรัฐบาล) 3.น.ส.ตรีนุช เทียนทอง สมาชิกรัฐสภา (ผู้แทนฝ่ายค้าน)
ประธานสหภาพรัฐสภา จะทำหน้าที่เป็นประธานกรรมการ กำกับนโยบายการบริหาร และให้คำแนะนำแก่มนตรีบริหารในด้านต่างๆ ที่เกี่ยวกับภารกิจของสหภาพ รวมทั้งการควบคุมการบริหารจัดการของสำนักงานเลขาธิการสหภาพรัฐสภา
ปัจจุบัน ประธานสหภาพรัฐสภา คือ ดร.ธีโอเบน กูริราบ (Dr.Theo-Ban Gurirab) ประธานรัฐสภาจากประเทศนามิเบีย
“ภารกิจหลักของสหภาพรัฐสภา” คือ การส่งเสริมการทำงานร่วมกันของสมาชิกรัฐสภาทั่วโลก เพื่อนำมาซึ่งสันติภาพระหว่างประเทศประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน ความเท่าเทียมกันระหว่างหญิงชาย และการพัฒนาที่ยั่งยืน
“สหภาพรัฐสภา” จัดให้มีการประชุมปีละ 2 ครั้ง โดยการประชุมครั้งแรกของปีจะจัดในฤดูใบไม้ผลิ ประมาณเดือนเมษายน หรือพฤษภาคม โดยจะจัดหมุนเวียนกันไปตามประเทศสมาชิกทั่วทุกภูมิภาคของโลก ส่วนการประชุมครั้งที่สองของปี จะจัดประมาณเดือนตุลาคม หรือพฤศจิกายน ซึ่งจะจัด ณ นครเจนีวา สมาพันธ์รัฐสวิส
การประชุมสมัชชาสหภาพรัฐสภานี้ เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้แทนของสมาชิกแห่งรัฐสภานานาประเทศ มาแสดงความคิดเห็นร่วมอภิปรายในปัญหาระหว่างประเทศ ทั้งด้านการเมือง รัฐสภาสิทธิมนุษยชน เศรษฐกิจ สังคม และอื่นๆ ตามระเบียบวาระการประชุมที่คณะมนตรีบริหารสหภาพรัฐสภาเป็นผู้กำหนดให้ และหลังจากมีการอภิปรายกันแล้ว ที่ประชุมสมัชชาสหภาพรัฐสภาจะมีการลงมติรับรองในร่างมติเรื่องต่างๆ ที่ได้อภิปรายไปแล้ว ประเทศสมาชิกจะต้องนำไปปฏิบัติ หรือแจ้งให้รัฐบาลทราบต่อไป เพื่อให้เป็นไปตามธรรมนูญของสหภาพรัฐสภา และจะต้องรายงานผลการนำข้อมติไปปฏิบัติให้สหภาพรัฐสภาทราบด้วย
รัฐสภาไทยเคยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสมัชชาสหภาพรัฐสภามาแล้ว 2 ครั้ง คือ ครั้งที่ 1 การประชุมสมัชชาสหภาพรัฐสภา ครั้งที่ 45 จัดขึ้น ณ ศาลาสันติธรรม กรุงเทพมหานคร ระหว่างวันที่ 15-22 พฤศจิกายน 2499 และประเทศไทยได้เป็นเจ้าภาพจัดประชุมอีกครั้งหนึ่ง เป็นครั้งที่สอง ระหว่างวันที่ 12-17 ตุลาคม 2530 ณ บางกอกคอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นการประชุมสมัชชาสหภาพรัฐสภา ครั้งที่ 78 ห่างจากการเป็นเจ้าภาพครั้งแรกถึง 30 ปี
สำหรับปี พ.ศ.2553 นี้ รัฐสภาไทยได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมอีกครั้งหนึ่ง ในระหว่างวันที่ 27 มีนาคม – 1 เมษายน พ.ศ.2553 ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นการประชุมสมัชชาสหภาพรัฐสภา ครั้งที่ 122 ห่างจากการเป็นเจ้าภาพครั้งที่ 2 อยู่ 23 ปี
พฤษภาคม พ.ศ.2551 รศ.ดร.ทัศนา บุญทอง รองประธานวุฒิสภา คนที่สอง ได้รับมอบหมายจากรัฐสภา เป็นหัวหน้าคณะนำผู้แทนรัฐสภาไทยไปประชุมองค์การการค้าโลก ณ นครเจนีวา สมาพันธ์รัฐสวิส ได้รับการทาบทามจากเลขาธิการสหภาพรัฐสภา มร.แอนเดอร์ส บี จอห์นสัน หากรัฐสภาไทยพร้อมเป็นเจ้าภาพจัดประชุมสมัชชาสหภาพรัฐสภาตามที่เสนอไว้เดิม ซึ่ง รศ.ดร.ทัศนา บุญทอง ได้รับที่จะนำข้อมูลมาเสนอท่านประธานรัฐสภา และท่านประธานวุฒิสภา เพื่อพิจารณา ซึ่งได้นำเข้าหารือต่อที่ประชุม 10 ตุลาคม พ.ศ. 2551 กรรมการบริหารหน่วยประจำชาติไทยในสหภาพรัฐสภา ครั้งที่ 3/2551 มีมติรับเป็นเจ้าภาพจัดประชุมสมัชชาสหภาพรัฐสภา
การจัดการประชุมสมัชชาสหภาพรัฐสภาครั้งนี้ มีประเทศสมาชิกเข้าร่วมประชุมจำนวน 132 ประเทศ และมีประเทศที่เข้าร่วมสังเกตการณ์ 34 ประเทศ ประธานรัฐสภาเข้าร่วม 49 คน รองประธานสภาฯ 52 คน สมาชิกสภาสตรี 191 คน รวมทั้งสมาชิกรัฐสภา เลขาธิการรัฐสภาจากกลุ่มประเทศสมาชิกภาคีจำนวนเกือบ 2,000 คน
ประเด็นหารือ 3 ประเด็นสำคัญ คือ การต่อต้านการก่อการร้าย ยาเสพติดและการค้ามนุษย์ หนึ่ง ล่ะ สอง การพัฒนาอย่างยั่งยืนด้านเศรษฐกิจ และ สาม การส่งเสริมเรื่องสิทธิมนุษยชน และส่งเสริมการปกครองระบอบประชาธิปไตย
เราคนไทยทุกคนต้องร่วมเป็น “เจ้าภาพ-เจ้าบ้าน” ที่ดี เพราะเป็น “หน้าตา-ภาพลักษณ์” ของประเทศชาติ!