ASTVผู้จัดการรายวัน –เอกชน 4 รายตีกลองรบ ชิงดำผลิตข่าวเอ็นบีที นำเสนอรูปแบบเรียบร้อยแล้ววานนี้ กลุ่มโพสต์นำโดย “ศุภกร เวชชาชีวะ” เป็นหัวหน้าทีม ด้านเออาร์ไอพี ดึง “จิระ ห้องสำเริง” มาพรีเซ้นต์ ด้านเอ็นบีทีคาดสิ้นเดือนนี้สรุปผู้เข้าวิน
วานนี้ ที่ สถานีโทรทัศน์วิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์ หรือช่องเอ็นบีที ได้เชิญเอกชนทั้ง 4 รายที่ซื้อซองประกวดการแข่งขันเข้าเป็นผู้ร่วมผลิตข่าวกับเอ็นบีที มาเสนอรายละเอียดเกี่ยวกับการดำเนินงาน โดยเริ่มตั้งแต่ เวลา 14.00 น. โดยกำหนดให้แต่ละรายนำเสนอประมาณ 30 นาทีโดยเฉลี่ย
ทั้งนี้แยกครั้งละบริษัทเรียงลำดับตั้งแต่ 1. บริษัท ไดมอนด์ ไฟว์ เอนเตอร์เทนเมนต์ จำกัด 2. บริษัท เออาร์ไอพี จำกัด ซึ่งมีนายปฐม อินทโรดม ผู้จัดการทั่วไป ควงคู่มากับ นายจิระ ห้องสำเริง 3. บริษัท โพสต์ พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน ) นำทีมโดยนาย ศุภกร เวชชาชีวะ ผู้บริหารระดับสูงและนาย ณ กาฬ เลาหะวิไลย บรรณาธิการ และ 4. บริษัท อินดิเพนเด้นท์ นิวส์ เซ็นเตอร์ จำกัด หรือ ไอเอ็นซี ซึ่งเป็นรายเดิมที่ผลิตอยู่แล้ว นำทีมโดย นายฉัตรชัย ตะวันธรงค์
นางสาวรัตนา เจริญศักดิ์ ผู้อำนวยการสถานีวิทยุโทรทัศน์ แห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์ เปิดเผยว่า การนำเสนอของเอกชนแต่ละรายเมื่อวานนี้ ผ่านไปโดยเรียบร้อย โดยแต่ละรายก็มีจุดเด่น จุดด้อย ที่แตกต่างกันไป รวมทั้งรูปแบบการ่นำเสนอ รวมทั้งเทคโนโลยี ในการทำงาน ที่น่าสนใจ
อย่างไรก็ตาม ยังไม่ได้สรุปว่ารายใดจะเป็นผู้ชนะการคัดเลือก ซึ่งจากนี้ทางเอ็นบีทีจะทำการพิจารณาอีกครั้ง โดยจะตั้งคะแนนเต็ม 100 คะแนน โดยจะพิจารณาจาก 2 เกณฑ์หลักคือ 1.รูปแบบรายการ ทีมงาน เทคโนโลยี รวมทั้งความพร้อมในการผลิตข่าว 2.เรื่องของการเสนอสิทธิประโยชน์ให้กับทางเอ็นบีที ซึ่งทั้ง 2 เกณฑ์ที่จะต้องสอดคล้องและสมดุลย์กัน แม้ว่ารายหนึ่งจะยื่นเสนอค่าตอบแทนสิทธิประโยชน์ให้สูงมาก แต่รูปแบบรายการการทำงานไม่น่าสนใจก็ไม่ผ่านการพิจารณากัน ซึ่งแต่ละบริษัทต้องมีทุนจดทะเบียนไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท สำหรับระยะเวลาร่วมผลิตรายการข่าวนั้น เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. 2553 – 30 เม.ย. 2554 รวม 1 ปี มีเวลาผลิตข่าวรวม 8.30 ชม.ต่อวัน
โดยคาดว่าภายในวันจันทร์ที่ 29 มีนาคม น่าจะสามารถสรุปได้ว่าจะเป็นรายใดที่เข้ามาร่วมผลิตรายการข่าวกับเอ็นบีที
นายปฐม อินทโรดม ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เออาร์ไอพี จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯมั่นใจในการนำเสนอของบริษัทฯ ทางรูปแบบรายการข่าว ทีมงาน เทคโนโลยี เนื่องจากมีพื้นฐานเดิมในเรื่องของการทำข่าวมาอยู่แล้ว แม้ว่าจะเป็นข่าวแมกกาซีนและสิ่งพิมพ์เป็นหลัก แต่ก็มีประสบการณ์ทำข่าวทีวีรูปแบบอินเทอร์เน็ตทีวีชื่อรายการ BUZZ IDEA . TV มาแล้ว 2 ปี และยังทำอยู่ โดยคอนเซ็ปท์ของการทำข่าวให้กับช่องเอ็นบีทีจะเป็น ไฮบริดมีเดีย คือ การผสมผสานสื่อแบบเก่าและสื่อแบบใหม่เข้าด้วยกัน
ส่วนทีมงานนั้นมีไว้ประมาณ 30 คนที่เป็นทีมเดิม และยังมีการเตรียมทีมงานใหม่อีกส่วนหนึ่งที่เชี่ยวชาญทีวีเป็นหลักด้วย ซึ่งล่าสุด ได้ฟอร์มทีมงานไว้แล้ว โดยมี นายอนุพงศ์ ชัยฤทธิ์ บรรณาธิการบริหารฝ่ายเนื้อหาข่าว สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส เป็นหัวหน้าทีม รวมทั้งยังมี นายจิระ ห้องสำเริง เข้ามาเป็นบรรณาธิการบริหารข่าวด้วย
“อย่างไรก็ตามบริษัทฯมั่นใจว่ามีจุดเด่นที่ไม่แพ้ใคร โดยเฉพาะเรื่องข้อมูลและฐานข้อมูลต่างๆที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการทำข่าวได้อย่างดี เช่น ธุรกิจบิสซิเนสออนไลน์หรือบีโอแอล ฐานข้อมูลที่เป็นที่นิยมและได้รับความน่าเชื่อถืออย่างดี หรือ ธุรกิจ ไทยเมล์ดอทคอม ที่เป็นธุรกิจฐานข้อมูล มีสมาชิกแล้วมากกว่า 4-5 ล้านราย”
“เราสนใจธุรกิจนี้มานาน เพื่อที่ต้องการจะขยายฐานธุรกิจออกไปให้มีความหลากหลาย แต่หากจะมองในแง่ของการเข้ามากอบโกยรายได้แล้ว บอกได้เลยว่า เป็นเรื่องยาก เพราะช่องเอ็นบีที ไม่ใช่เป็นช่องที่จะทำรายได้อะไรมากนัก แต่เพื่อสร้างฐานธุรกิจมากกว่า โดยครั้งนี้เราต้องลงทุนไปไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท” นายปฐมกล่าว
วานนี้ ที่ สถานีโทรทัศน์วิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์ หรือช่องเอ็นบีที ได้เชิญเอกชนทั้ง 4 รายที่ซื้อซองประกวดการแข่งขันเข้าเป็นผู้ร่วมผลิตข่าวกับเอ็นบีที มาเสนอรายละเอียดเกี่ยวกับการดำเนินงาน โดยเริ่มตั้งแต่ เวลา 14.00 น. โดยกำหนดให้แต่ละรายนำเสนอประมาณ 30 นาทีโดยเฉลี่ย
ทั้งนี้แยกครั้งละบริษัทเรียงลำดับตั้งแต่ 1. บริษัท ไดมอนด์ ไฟว์ เอนเตอร์เทนเมนต์ จำกัด 2. บริษัท เออาร์ไอพี จำกัด ซึ่งมีนายปฐม อินทโรดม ผู้จัดการทั่วไป ควงคู่มากับ นายจิระ ห้องสำเริง 3. บริษัท โพสต์ พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน ) นำทีมโดยนาย ศุภกร เวชชาชีวะ ผู้บริหารระดับสูงและนาย ณ กาฬ เลาหะวิไลย บรรณาธิการ และ 4. บริษัท อินดิเพนเด้นท์ นิวส์ เซ็นเตอร์ จำกัด หรือ ไอเอ็นซี ซึ่งเป็นรายเดิมที่ผลิตอยู่แล้ว นำทีมโดย นายฉัตรชัย ตะวันธรงค์
นางสาวรัตนา เจริญศักดิ์ ผู้อำนวยการสถานีวิทยุโทรทัศน์ แห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์ เปิดเผยว่า การนำเสนอของเอกชนแต่ละรายเมื่อวานนี้ ผ่านไปโดยเรียบร้อย โดยแต่ละรายก็มีจุดเด่น จุดด้อย ที่แตกต่างกันไป รวมทั้งรูปแบบการ่นำเสนอ รวมทั้งเทคโนโลยี ในการทำงาน ที่น่าสนใจ
อย่างไรก็ตาม ยังไม่ได้สรุปว่ารายใดจะเป็นผู้ชนะการคัดเลือก ซึ่งจากนี้ทางเอ็นบีทีจะทำการพิจารณาอีกครั้ง โดยจะตั้งคะแนนเต็ม 100 คะแนน โดยจะพิจารณาจาก 2 เกณฑ์หลักคือ 1.รูปแบบรายการ ทีมงาน เทคโนโลยี รวมทั้งความพร้อมในการผลิตข่าว 2.เรื่องของการเสนอสิทธิประโยชน์ให้กับทางเอ็นบีที ซึ่งทั้ง 2 เกณฑ์ที่จะต้องสอดคล้องและสมดุลย์กัน แม้ว่ารายหนึ่งจะยื่นเสนอค่าตอบแทนสิทธิประโยชน์ให้สูงมาก แต่รูปแบบรายการการทำงานไม่น่าสนใจก็ไม่ผ่านการพิจารณากัน ซึ่งแต่ละบริษัทต้องมีทุนจดทะเบียนไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท สำหรับระยะเวลาร่วมผลิตรายการข่าวนั้น เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. 2553 – 30 เม.ย. 2554 รวม 1 ปี มีเวลาผลิตข่าวรวม 8.30 ชม.ต่อวัน
โดยคาดว่าภายในวันจันทร์ที่ 29 มีนาคม น่าจะสามารถสรุปได้ว่าจะเป็นรายใดที่เข้ามาร่วมผลิตรายการข่าวกับเอ็นบีที
นายปฐม อินทโรดม ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เออาร์ไอพี จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯมั่นใจในการนำเสนอของบริษัทฯ ทางรูปแบบรายการข่าว ทีมงาน เทคโนโลยี เนื่องจากมีพื้นฐานเดิมในเรื่องของการทำข่าวมาอยู่แล้ว แม้ว่าจะเป็นข่าวแมกกาซีนและสิ่งพิมพ์เป็นหลัก แต่ก็มีประสบการณ์ทำข่าวทีวีรูปแบบอินเทอร์เน็ตทีวีชื่อรายการ BUZZ IDEA . TV มาแล้ว 2 ปี และยังทำอยู่ โดยคอนเซ็ปท์ของการทำข่าวให้กับช่องเอ็นบีทีจะเป็น ไฮบริดมีเดีย คือ การผสมผสานสื่อแบบเก่าและสื่อแบบใหม่เข้าด้วยกัน
ส่วนทีมงานนั้นมีไว้ประมาณ 30 คนที่เป็นทีมเดิม และยังมีการเตรียมทีมงานใหม่อีกส่วนหนึ่งที่เชี่ยวชาญทีวีเป็นหลักด้วย ซึ่งล่าสุด ได้ฟอร์มทีมงานไว้แล้ว โดยมี นายอนุพงศ์ ชัยฤทธิ์ บรรณาธิการบริหารฝ่ายเนื้อหาข่าว สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส เป็นหัวหน้าทีม รวมทั้งยังมี นายจิระ ห้องสำเริง เข้ามาเป็นบรรณาธิการบริหารข่าวด้วย
“อย่างไรก็ตามบริษัทฯมั่นใจว่ามีจุดเด่นที่ไม่แพ้ใคร โดยเฉพาะเรื่องข้อมูลและฐานข้อมูลต่างๆที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการทำข่าวได้อย่างดี เช่น ธุรกิจบิสซิเนสออนไลน์หรือบีโอแอล ฐานข้อมูลที่เป็นที่นิยมและได้รับความน่าเชื่อถืออย่างดี หรือ ธุรกิจ ไทยเมล์ดอทคอม ที่เป็นธุรกิจฐานข้อมูล มีสมาชิกแล้วมากกว่า 4-5 ล้านราย”
“เราสนใจธุรกิจนี้มานาน เพื่อที่ต้องการจะขยายฐานธุรกิจออกไปให้มีความหลากหลาย แต่หากจะมองในแง่ของการเข้ามากอบโกยรายได้แล้ว บอกได้เลยว่า เป็นเรื่องยาก เพราะช่องเอ็นบีที ไม่ใช่เป็นช่องที่จะทำรายได้อะไรมากนัก แต่เพื่อสร้างฐานธุรกิจมากกว่า โดยครั้งนี้เราต้องลงทุนไปไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท” นายปฐมกล่าว