ASTVผู้จัดการรายวัน -กรุงศรี เฟิร์ส ช้อยเดินหน้ารุกสินเชื่อบุคคลหลังรีแบรนดิ้งรวมกลุ่มแบงก์กรุงศรี ตั้งเป้าปี 53 ฐานลูกค้าใหม่เพิ่ม 40% คิดเป็น 2 แสนบัญชี ผ่านเครือข่ายสาขาแบงก์ทั่วประเทศกว่า 570 แห่ง ยันปัญหาเศรษฐกิจและการเมืองไม่กระทบนโยบายปล่อยสินเชื่อ
นางสาวณญาณี เผือกขำ ผู้อำนวยการอาวุโสสายธุรกิจ กรุงศรี เฟิร์สช้อย บริษัทอยุธยา แคปปิตอล เซอร์วิสเซส จำกัด เปิดเผยว่า ในปี 2553 นี้บริษัทตั้งเป้าหมายเติบโตฐานลูกค้าบัตรกรุงศรี เฟิร์สช้อย ใหม่เพิ่มขึ้นจากปี 2552 ไว้ที่ 40% หรือคิดเป็นการเติบโตจำนวนบัญชีอีก 2 แสนบัญชี จากปัจจุบันบริษัทมีฐานบัญชีลูกค้าอยู่ที่ 2 ล้านบัญชี โดยคาดว่าในสิ้นปีนี้ฐานบัญชีดังกล่าวจะเพิ่มเป็น 2.2 ล้านบัญชี จากในช่วงที่ผ่านมาที่ฐานบัญชีใหม่มีการเติบโตเพียงปีละ 1 แสนบัญชีเท่านั้น
ทั้งนี้ การที่ในปีนี้บริษัทตั้งเป้าหมายเติบโตฐานลูกค้าและฐานบัญชีใหม่เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวนั้น เนื่องจากบริษัทได้มีการรีแบรนด์ บัตรเฟิร์สช้อย เป็น "กรุงศรี เฟิร์สช้อยคาร์ด" และ "กรุงศรี เฟิร์สช้อย วีซ่า คาร์ด" ซึ่งจะทำให้สามารถให้บริการและเพิ่มสิทธิประโยชน์ที่ครอบคลุมความต้องการของผู้บริโภคมากขึ้น โดยผ่านเครือข่ายสาขาของธนาคารกรุงศรีฯทั่วประเทศกว่า 570 แห่ง และยังคงรักษความเป็นผู้นำในตลาดสินเชื่อบุคคลและการผ่อนชำระสินค้าที่สามารถตอบสนองทุกความต้องการ ดังนั้น บริษัทจึงมั่นใจว่าจะสามารถทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้อย่างแน่นอน
ส่วนกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของบริษัทยังคงเน้นที่ฐานเดิมที่มีรายได้ขั้นต่ำต่อเดือน 1 หมื่นบาทสำหรับลูกค้าที่อาศัยอยู่ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล ขณะที่ลูกค้าในต่างจังหวัดกำหนดรายได้ขั้นต่ำไว้ที่ 8 พันบาท ไว้เช่นเดิมและจะอนุมัติวงเงินให้ลูกค้าต่อรายอยู่ที่ 2-3 เท่าของรายได้ ทั้งนี้ ยังไม่ได้มีการปรับเกณฑ์ดังกล่าวแต่อย่างใด ซึ่งบริษัทก็จะมุ่งเน้นเติบโตไปยังต่างจังหวัดเป็นหลัก เนื่องจากสัดส่วนลูกค้าในปัจจุบันอยู่ในพื้นที่ต่างจังหวัดมากถึง 53% และในเขตกรุงเทพฯอีก 47%
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่บริษัทได้เป็นส่วนหนึ่งของธนาคารกรุงศรีอยุธยา บริษัทได้มีการลดค่าธรรมเนียมการชำระเงินผ่านช่องทางธนาคารกรุงศรีฯสำหรับลูกค้าในกรุงเทพฯจาก 12 บาทต่อรายการเหลือ 5 บาทต่อรายการ และในส่วนของลูกค้าต่างจังหวัดลดจาก 17 บาทต่อรายการเหลือ 10บาทต่อรายการ โดยบริษัทเริ่มให้บริการดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2553
"สำหรับฐานสินเชื่อคงค้างในปัจจุบันอยู่ที่ 2.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งตั้งเป้าเติบโตปีนี้ไว้ที่ 10% และมียอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเพื่อผ่อนชำระสินค้าสม่ำเสมอ (แอคทีฟ) อยู่ที่ 70% ส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ของบัตรกรุงศรี เฟิร์สช้อย ขณะนี้มีประมาณ 3%" นางสาวณญาณี กล่าว
นางสาวณญาณี ยังกล่าวในกรณีที่ปัจจุบันสถานการณ์ทางการเมืองมีปัญหาและมีการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ก็ยอมรับว่าได้ส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายของลูกค้าบ้าง ซึ่งลูกค้าทุกคนก็มีการระมัดระวังในการใชจ่ายพอสมควร โดยจะมีการคำนึงถึงความเหมาะสมของการใช้บริการของตนเองเป็นหลัก ในขณะที่ทางบริษัทเองก็มีนโยบายในการปล่อยสินเชื่อที่รัดกุมอย่างต่อเนื่องเป็นปกติไม่ว่าสภาพเศรษฐกิจและการเมืองของประเทศจะเป็นอย่างไร เพราะจะดูถึงความสามารถในการผ่อนชำระของลูกค้าเป็นหลัก
นางสาวณญาณี เผือกขำ ผู้อำนวยการอาวุโสสายธุรกิจ กรุงศรี เฟิร์สช้อย บริษัทอยุธยา แคปปิตอล เซอร์วิสเซส จำกัด เปิดเผยว่า ในปี 2553 นี้บริษัทตั้งเป้าหมายเติบโตฐานลูกค้าบัตรกรุงศรี เฟิร์สช้อย ใหม่เพิ่มขึ้นจากปี 2552 ไว้ที่ 40% หรือคิดเป็นการเติบโตจำนวนบัญชีอีก 2 แสนบัญชี จากปัจจุบันบริษัทมีฐานบัญชีลูกค้าอยู่ที่ 2 ล้านบัญชี โดยคาดว่าในสิ้นปีนี้ฐานบัญชีดังกล่าวจะเพิ่มเป็น 2.2 ล้านบัญชี จากในช่วงที่ผ่านมาที่ฐานบัญชีใหม่มีการเติบโตเพียงปีละ 1 แสนบัญชีเท่านั้น
ทั้งนี้ การที่ในปีนี้บริษัทตั้งเป้าหมายเติบโตฐานลูกค้าและฐานบัญชีใหม่เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวนั้น เนื่องจากบริษัทได้มีการรีแบรนด์ บัตรเฟิร์สช้อย เป็น "กรุงศรี เฟิร์สช้อยคาร์ด" และ "กรุงศรี เฟิร์สช้อย วีซ่า คาร์ด" ซึ่งจะทำให้สามารถให้บริการและเพิ่มสิทธิประโยชน์ที่ครอบคลุมความต้องการของผู้บริโภคมากขึ้น โดยผ่านเครือข่ายสาขาของธนาคารกรุงศรีฯทั่วประเทศกว่า 570 แห่ง และยังคงรักษความเป็นผู้นำในตลาดสินเชื่อบุคคลและการผ่อนชำระสินค้าที่สามารถตอบสนองทุกความต้องการ ดังนั้น บริษัทจึงมั่นใจว่าจะสามารถทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้อย่างแน่นอน
ส่วนกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของบริษัทยังคงเน้นที่ฐานเดิมที่มีรายได้ขั้นต่ำต่อเดือน 1 หมื่นบาทสำหรับลูกค้าที่อาศัยอยู่ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล ขณะที่ลูกค้าในต่างจังหวัดกำหนดรายได้ขั้นต่ำไว้ที่ 8 พันบาท ไว้เช่นเดิมและจะอนุมัติวงเงินให้ลูกค้าต่อรายอยู่ที่ 2-3 เท่าของรายได้ ทั้งนี้ ยังไม่ได้มีการปรับเกณฑ์ดังกล่าวแต่อย่างใด ซึ่งบริษัทก็จะมุ่งเน้นเติบโตไปยังต่างจังหวัดเป็นหลัก เนื่องจากสัดส่วนลูกค้าในปัจจุบันอยู่ในพื้นที่ต่างจังหวัดมากถึง 53% และในเขตกรุงเทพฯอีก 47%
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่บริษัทได้เป็นส่วนหนึ่งของธนาคารกรุงศรีอยุธยา บริษัทได้มีการลดค่าธรรมเนียมการชำระเงินผ่านช่องทางธนาคารกรุงศรีฯสำหรับลูกค้าในกรุงเทพฯจาก 12 บาทต่อรายการเหลือ 5 บาทต่อรายการ และในส่วนของลูกค้าต่างจังหวัดลดจาก 17 บาทต่อรายการเหลือ 10บาทต่อรายการ โดยบริษัทเริ่มให้บริการดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2553
"สำหรับฐานสินเชื่อคงค้างในปัจจุบันอยู่ที่ 2.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งตั้งเป้าเติบโตปีนี้ไว้ที่ 10% และมียอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเพื่อผ่อนชำระสินค้าสม่ำเสมอ (แอคทีฟ) อยู่ที่ 70% ส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ของบัตรกรุงศรี เฟิร์สช้อย ขณะนี้มีประมาณ 3%" นางสาวณญาณี กล่าว
นางสาวณญาณี ยังกล่าวในกรณีที่ปัจจุบันสถานการณ์ทางการเมืองมีปัญหาและมีการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ก็ยอมรับว่าได้ส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายของลูกค้าบ้าง ซึ่งลูกค้าทุกคนก็มีการระมัดระวังในการใชจ่ายพอสมควร โดยจะมีการคำนึงถึงความเหมาะสมของการใช้บริการของตนเองเป็นหลัก ในขณะที่ทางบริษัทเองก็มีนโยบายในการปล่อยสินเชื่อที่รัดกุมอย่างต่อเนื่องเป็นปกติไม่ว่าสภาพเศรษฐกิจและการเมืองของประเทศจะเป็นอย่างไร เพราะจะดูถึงความสามารถในการผ่อนชำระของลูกค้าเป็นหลัก
