“สละเลือดทุกหยาดเป็นชาติพลี” เป็นวลีหนึ่งในเพลงชาติไทย อันถือได้ว่าเป็นบทปลุกใจให้คนไทยทุกคนรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือและยึดเหนี่ยวจิตใจของคนไทยทั้งชาติ ทั้งยังเป็นสัญลักษณ์ซึ่งแทนด้วยสีแดง ขาว และน้ำเงิน ประกอบขึ้นเป็นธงประจำชาติไทย หรือที่เรียกว่า ธงไตรรงค์ นั่นเอง
โดยนัยแห่งวลีดังกล่าวข้างต้น คนไทยทุกคนเรียนรู้และเข้าใจตรงกันว่า หมายถึงว่าคนที่เกิดมาเป็นคนไทย หรือแม้กระทั่งที่มิได้เป็นคนไทย แต่มาอาศัยแผ่นดินไทยทำมาหากินจนร่ำรวย และใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบสุข จะต้องพร้อมที่จะเสียสละเลือดเนื้อเพื่อปกป้องแผ่นดินไทยเมื่อภัยมารุกราน ด้วยความเสียสละ กล้าหาญ และอดทน
แต่วันนี้มีผู้คนกลุ่มหนึ่งได้นำนัยแห่งบทปลุกใจมาใช้เพื่อปลุกเร้าให้คนไทยลุกขึ้นมาต่อสู้กับคนไทยด้วยกันเอง และก่อความทุกข์ ความเดือดร้อนให้แก่ประเทศชาติโดยรวม ทั้งในแง่เศรษฐกิจ สังคม และการเมือง
คนไทยกลุ่มที่ว่านี้ก็คือกลุ่มคนเสื้อแดงซึ่งนำโดย นายวีระ มุสิกพงศ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และนายจตุพร พรหมพันธุ์ ที่ออกมาชุมนุมในช่วง 12-14 มีนาคม เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยุบสภาภายในวันที่ 15 มีนาคม แต่เมื่อรัฐบาลไม่ทำตามข้อเรียกร้อง ก็เริ่มกิจกรรมที่พวกเขาอ้างว่าเพื่อกดดันรัฐบาล โดยการประกาศว่าให้คนเสื้อแดงสละเลือดคนละ 10 ซีซี ให้ได้ 1 ล้านซีซี แล้วนำไปเทที่หน้าทำเนียบรัฐบาล ที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ และที่บ้านนายกรัฐมนตรี
ในทันทีที่ข่าวนี้แพร่ออกไปได้มีเสียงคัดค้านท้วงติงไม่เห็นด้วยกับการกระทำในลักษณะนี้จากบุคคลหลายวงการ แต่ที่ดูเหมือนจะมีน้ำหนักที่ควรค่าแก่การรับฟังมากที่สุดก็คือบุคลากรในวงการแพทย์ และสาธารณสุขศาสตร์ โดยการให้เหตุผลในเชิงวิชาการ เป็นต้นว่า การเจาะเลือดจะต้องดำเนินการโดยผู้ที่มีความรู้ความสามารถในทางการแพทย์ และพยาบาลที่มีประสบการณ์จึงจะปลอดภัยแก่ผู้บริจาคเลือด และพร้อมกันนี้ได้ท้วงติงว่าการนำเลือดไปเทในที่สาธารณะนอกจากจะผิดกฎหมายที่ว่าด้วยการรักษาความสะอาดแล้ว ยังเสี่ยงต่อการเกิดโรคจากการแพร่เชื้อจากเลือดของผู้ป่วยในรายที่เป็นพาหะด้วย
นอกจากนี้ การนำเลือดไปสาด และราดรดพื้นหรือกำแพงสถานที่อยู่อาศัยของบุคคล หรือที่ทำการของนิติบุคคลดังที่ได้เกิดขึ้นกับบ้านนายกฯ อภิสิทธิ์ และที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ รวมไปถึงทำเนียบรัฐบาล เป็นตัวอย่างที่บ่งบอกถึงการกระทำผิดกฎหมายอย่างชัดเจน
แต่อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าคำทักท้วงไม่เกิดผล เพราะกลุ่มคนเสื้อแดงก็ดึงดันกระทำการดังกล่าวให้เกิดขึ้นเป็นผลสำเร็จเรียบร้อย และปรากฏเป็นผลลบแก่กลุ่มคนเสื้อแดงไปเรียบร้อยแล้วเช่นกัน
อะไรเป็นเหตุบ่งชี้ว่ากลุ่มคนเสื้อแดงติดลบจากการกระทำกิจกรรมเลือด
ผลอันเป็นลบจากกิจกรรมเจาะเลือด แล้วนำเลือดไปราดรดสถานที่ดังที่ปรากฏให้เห็นที่บ้านนายกฯ อภิสิทธิ์ พรรคประชาธิปัตย์ รวมไปถึงทำเนียบฯ แบ่งออกได้เป็นส่วนๆ คือ
1. เกิดจากพฤติกรรมของผู้นำกลุ่มคนเสื้อแดงเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพฤติกรรมจากการพูดในลักษณะสัญญาประชาคมในกลุ่มคนเสื้อแดง และผู้นิยมชมชอบกลุ่มคนเสื้อแดงว่าจะมีการบริจาคเลือด 1 ล้านซีซี โดยรับบริจาคจากกลุ่มคนเสื้อแดงคนละ 10 ซีซี ถ้ามีการดำเนินการจริงตามนี้ ก็จะต้องกระทำอย่างเปิดเผย ตรงไปตรงมา ตรวจสอบได้ และทำให้ทุกคนที่ได้ฟังเชื่ออย่างมีเหตุผล
แต่เท่าที่เป็นข่าว และนำมาวิเคราะห์ได้ ยากที่จะให้คนที่มีความคิดอย่างมีเหตุผลในเชิงตรรกะเชื่อได้โดยไม่มีข้อโต้แย้งในประเด็นดังต่อไปนี้
1.1 ถ้ามีการบริจาคเลือดคนละ 10 ซีซี จะต้องมีคนบริจาคถึง 100,000 คน (หนึ่งแสนคน)
แต่ในความเป็นจริงผู้ที่มาชุมนุมไม่น่าจะมีจำนวนถึงแสนคน และต่อให้มี 1 แสนคน ก็ใช่ว่าทุกคนจะบริจาคเลือดได้ทุกคน เพราะมีข้อจำกัดทางกายภาพ เป็นต้นว่าสุขภาพไม่แข็งแรง
2. ถ้ามีการเจาะเลือดคนละ 10 ซีซีจากคนแสนคนต้องใช้ไซริงก์เจาะถึงแสนอัน แล้วจะหามาจากไหนในเวลาอันจำกัด และที่ยิ่งกว่านี้ ถ้ามีการเจาะเลือดในท่ามกลางผู้ชุมนุม หรือแม้ในโรงพยาบาลเอกชนก็จะต้องมีเตียงคนไข้เพื่อรองรับการเจาะจำนวนมาก ซึ่งเป็นไปได้ยากในเวลาจำกัด
3. ด้วยเหตุที่มีเงื่อนไขจำกัดตามข้อ 1 และข้อ 2 ประกอบกับมีข่าวออกมาว่าได้มีการไปขอซื้อเลือดวัว เลือดควายจากโรงฆ่าสัตว์แถวๆ จังหวัดนนทบุรี จึงทำให้อนุมานได้ว่ามีความเป็นไปได้ที่มีการนำเลือดสัตว์มาปนกับเลือดคนแล้วนำไปดำเนินการเทในสถานที่ต่างๆ
ถ้าเหตุผลในเชิงตรรกะทั้ง 3 ประการนี้ถูกต้อง ก็แปลความได้ว่าคำพูดของแกนนำเสื้อแดงเป็นเท็จ และเป็นคำพูดเพ้อเจ้อไม่น่าเชื่อถือแต่อย่างใด
อีกประการหนึ่ง เลือดไม่ว่าของคนหรือของสัตว์เป็นสัญลักษณ์แห่งการฆ่า หรือสัญลักษณ์แห่งปาณาติบาตเมื่อเป็นเช่นนี้จะเป็นสัญลักษณ์แห่งการชุมนุมด้วยสันติได้อย่างไร
ด้วยดังกล่าวมาแล้วนี้เอง จึงน่าจะทำให้การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงมีผลในทางลบในสายตาของคนทั่วไป และถ้าข้อสันนิษฐานนี้ถูกต้อง เชื่อได้ว่าการชุมนุมครั้งต่อไปภายใต้การนำของ 3 เกลอหัวขวดคงเกิดขึ้นได้ยากท่ามกลางแห่งความหวังว่าจะมีผู้มาชุมนุมเป็นจำนวนมาก และนี่เองน่าจะเป็นเหตุให้ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล เสนอให้มีการเปลี่ยนแกนนำ ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต้องการจะชนะ
โดยนัยแห่งวลีดังกล่าวข้างต้น คนไทยทุกคนเรียนรู้และเข้าใจตรงกันว่า หมายถึงว่าคนที่เกิดมาเป็นคนไทย หรือแม้กระทั่งที่มิได้เป็นคนไทย แต่มาอาศัยแผ่นดินไทยทำมาหากินจนร่ำรวย และใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบสุข จะต้องพร้อมที่จะเสียสละเลือดเนื้อเพื่อปกป้องแผ่นดินไทยเมื่อภัยมารุกราน ด้วยความเสียสละ กล้าหาญ และอดทน
แต่วันนี้มีผู้คนกลุ่มหนึ่งได้นำนัยแห่งบทปลุกใจมาใช้เพื่อปลุกเร้าให้คนไทยลุกขึ้นมาต่อสู้กับคนไทยด้วยกันเอง และก่อความทุกข์ ความเดือดร้อนให้แก่ประเทศชาติโดยรวม ทั้งในแง่เศรษฐกิจ สังคม และการเมือง
คนไทยกลุ่มที่ว่านี้ก็คือกลุ่มคนเสื้อแดงซึ่งนำโดย นายวีระ มุสิกพงศ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และนายจตุพร พรหมพันธุ์ ที่ออกมาชุมนุมในช่วง 12-14 มีนาคม เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยุบสภาภายในวันที่ 15 มีนาคม แต่เมื่อรัฐบาลไม่ทำตามข้อเรียกร้อง ก็เริ่มกิจกรรมที่พวกเขาอ้างว่าเพื่อกดดันรัฐบาล โดยการประกาศว่าให้คนเสื้อแดงสละเลือดคนละ 10 ซีซี ให้ได้ 1 ล้านซีซี แล้วนำไปเทที่หน้าทำเนียบรัฐบาล ที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ และที่บ้านนายกรัฐมนตรี
ในทันทีที่ข่าวนี้แพร่ออกไปได้มีเสียงคัดค้านท้วงติงไม่เห็นด้วยกับการกระทำในลักษณะนี้จากบุคคลหลายวงการ แต่ที่ดูเหมือนจะมีน้ำหนักที่ควรค่าแก่การรับฟังมากที่สุดก็คือบุคลากรในวงการแพทย์ และสาธารณสุขศาสตร์ โดยการให้เหตุผลในเชิงวิชาการ เป็นต้นว่า การเจาะเลือดจะต้องดำเนินการโดยผู้ที่มีความรู้ความสามารถในทางการแพทย์ และพยาบาลที่มีประสบการณ์จึงจะปลอดภัยแก่ผู้บริจาคเลือด และพร้อมกันนี้ได้ท้วงติงว่าการนำเลือดไปเทในที่สาธารณะนอกจากจะผิดกฎหมายที่ว่าด้วยการรักษาความสะอาดแล้ว ยังเสี่ยงต่อการเกิดโรคจากการแพร่เชื้อจากเลือดของผู้ป่วยในรายที่เป็นพาหะด้วย
นอกจากนี้ การนำเลือดไปสาด และราดรดพื้นหรือกำแพงสถานที่อยู่อาศัยของบุคคล หรือที่ทำการของนิติบุคคลดังที่ได้เกิดขึ้นกับบ้านนายกฯ อภิสิทธิ์ และที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ รวมไปถึงทำเนียบรัฐบาล เป็นตัวอย่างที่บ่งบอกถึงการกระทำผิดกฎหมายอย่างชัดเจน
แต่อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าคำทักท้วงไม่เกิดผล เพราะกลุ่มคนเสื้อแดงก็ดึงดันกระทำการดังกล่าวให้เกิดขึ้นเป็นผลสำเร็จเรียบร้อย และปรากฏเป็นผลลบแก่กลุ่มคนเสื้อแดงไปเรียบร้อยแล้วเช่นกัน
อะไรเป็นเหตุบ่งชี้ว่ากลุ่มคนเสื้อแดงติดลบจากการกระทำกิจกรรมเลือด
ผลอันเป็นลบจากกิจกรรมเจาะเลือด แล้วนำเลือดไปราดรดสถานที่ดังที่ปรากฏให้เห็นที่บ้านนายกฯ อภิสิทธิ์ พรรคประชาธิปัตย์ รวมไปถึงทำเนียบฯ แบ่งออกได้เป็นส่วนๆ คือ
1. เกิดจากพฤติกรรมของผู้นำกลุ่มคนเสื้อแดงเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพฤติกรรมจากการพูดในลักษณะสัญญาประชาคมในกลุ่มคนเสื้อแดง และผู้นิยมชมชอบกลุ่มคนเสื้อแดงว่าจะมีการบริจาคเลือด 1 ล้านซีซี โดยรับบริจาคจากกลุ่มคนเสื้อแดงคนละ 10 ซีซี ถ้ามีการดำเนินการจริงตามนี้ ก็จะต้องกระทำอย่างเปิดเผย ตรงไปตรงมา ตรวจสอบได้ และทำให้ทุกคนที่ได้ฟังเชื่ออย่างมีเหตุผล
แต่เท่าที่เป็นข่าว และนำมาวิเคราะห์ได้ ยากที่จะให้คนที่มีความคิดอย่างมีเหตุผลในเชิงตรรกะเชื่อได้โดยไม่มีข้อโต้แย้งในประเด็นดังต่อไปนี้
1.1 ถ้ามีการบริจาคเลือดคนละ 10 ซีซี จะต้องมีคนบริจาคถึง 100,000 คน (หนึ่งแสนคน)
แต่ในความเป็นจริงผู้ที่มาชุมนุมไม่น่าจะมีจำนวนถึงแสนคน และต่อให้มี 1 แสนคน ก็ใช่ว่าทุกคนจะบริจาคเลือดได้ทุกคน เพราะมีข้อจำกัดทางกายภาพ เป็นต้นว่าสุขภาพไม่แข็งแรง
2. ถ้ามีการเจาะเลือดคนละ 10 ซีซีจากคนแสนคนต้องใช้ไซริงก์เจาะถึงแสนอัน แล้วจะหามาจากไหนในเวลาอันจำกัด และที่ยิ่งกว่านี้ ถ้ามีการเจาะเลือดในท่ามกลางผู้ชุมนุม หรือแม้ในโรงพยาบาลเอกชนก็จะต้องมีเตียงคนไข้เพื่อรองรับการเจาะจำนวนมาก ซึ่งเป็นไปได้ยากในเวลาจำกัด
3. ด้วยเหตุที่มีเงื่อนไขจำกัดตามข้อ 1 และข้อ 2 ประกอบกับมีข่าวออกมาว่าได้มีการไปขอซื้อเลือดวัว เลือดควายจากโรงฆ่าสัตว์แถวๆ จังหวัดนนทบุรี จึงทำให้อนุมานได้ว่ามีความเป็นไปได้ที่มีการนำเลือดสัตว์มาปนกับเลือดคนแล้วนำไปดำเนินการเทในสถานที่ต่างๆ
ถ้าเหตุผลในเชิงตรรกะทั้ง 3 ประการนี้ถูกต้อง ก็แปลความได้ว่าคำพูดของแกนนำเสื้อแดงเป็นเท็จ และเป็นคำพูดเพ้อเจ้อไม่น่าเชื่อถือแต่อย่างใด
อีกประการหนึ่ง เลือดไม่ว่าของคนหรือของสัตว์เป็นสัญลักษณ์แห่งการฆ่า หรือสัญลักษณ์แห่งปาณาติบาตเมื่อเป็นเช่นนี้จะเป็นสัญลักษณ์แห่งการชุมนุมด้วยสันติได้อย่างไร
ด้วยดังกล่าวมาแล้วนี้เอง จึงน่าจะทำให้การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงมีผลในทางลบในสายตาของคนทั่วไป และถ้าข้อสันนิษฐานนี้ถูกต้อง เชื่อได้ว่าการชุมนุมครั้งต่อไปภายใต้การนำของ 3 เกลอหัวขวดคงเกิดขึ้นได้ยากท่ามกลางแห่งความหวังว่าจะมีผู้มาชุมนุมเป็นจำนวนมาก และนี่เองน่าจะเป็นเหตุให้ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล เสนอให้มีการเปลี่ยนแกนนำ ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต้องการจะชนะ