วานนี้ ( 15 มี.ค.) นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ กกต. กล่าวว่า กกต.มีมติยกคำร้อง กรณีที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา ขอให้กกต.ตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของ ส.ส.- ส.ว.และรัฐมนตรีประมาณ 70 คน ที่กระทำการอันต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 265 (3) โดยสั่งซื้ออาวุธปืนในโครงการจัดซื้ออาวุธปืนสั้น ของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย จนอาจเป็นเหตุให้สมาชิกภาพ ส.ส. หรือ ส.ว. และรมต. ต้องสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 106 (6) และ มาตรา 119 (5)
เนื่องจาก กกต.เห็นว่า โครงการจัดหาอาวุธปืนสั้น กรมการปกครองฯได้จัดขึ้น เพื่อเป็นสวัสดิการแก่ข้าราชการกรมการปกครอง ในการบรรเทาความเดือดร้อนของข้าราชการสังกัดกระทรวงมหาดไทย และข้าราชการฝ่ายอื่นๆ ซึ่งปฏิบัติหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อย หรือสนับสนุนฝ่ายปกครอง หรือปฏิบัติหน้าที่ป้องกันอาชญากรรม หรือสนับสนุนฝ่ายปกครองในการรักษาความสงบเรียบร้อย ที่ต้องจัดหาอาวุธปืนที่มีราคาแพงตามท้องตลาด โดยโครงการดังกล่าว ได้กำหนดหลักเกณฑ์ให้ผู้เข้าร่วมโครงการมีสิทธิสั่งซื้อได้เพียงคนละหนึ่งกระบอก และต้องไม่เป็นผู้มีอาวุธปืนชนิดนั้นเป็นของตนอยู่แล้ว และผู้ซื้อไม่สามารถจำหน่ายจ่ายโอนได้ภายใน 5 ปี นับแต่วันที่ออกใบอนุญาตให้มี และใช้อาวุธปืน (ป.4)
ต่อมาอธิบดีกรมการปกครองได้มีการอนุญาตให้บุคคล และหน่วยงานอื่น ที่นอกเหนือจากที่ระบุไว้ในโครงการ รวมทั้ง ส.ส.-ส.ว. และรมต. ที่เป็นผู้ถูกร้องสามารถเข้าร่วมโครงการได้ จึงเห็นว่าเมื่ออธิบดีกรมการปกครองได้อนุมัติให้ผู้ถูกร้องเข้าร่วมโครงการได้ ผู้ถูกร้องจึงมีสิทธิโดยชอบธรรมในการสั่งจอง และสั่งซื้ออาวุธปืนในโครงการดังกล่าว และต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขที่กรมการปกครองกำหนดไว้ในโครงการทุกคน โดยไม่ได้รับสิทธิพิเศษแต่อย่างใดที่นอกเหนือไปจากบุคคล หรือหน่วยงานอื่นที่อธิบดีกรมการปกครองอนุมัติให้เข้าร่วมโครงการ
ทั้งนี้ ผู้ถูกร้องก็ไม่ได้รับสิทธิพิเศษนอกเหนือจากประชาชนทั่วไป จึงเห็นว่าผู้ถูกร้องไม่ได้รับประโยชน์ใดๆ จากกรมการปกครองเป็นพิเศษนอกเหนือไปจากที่กรมการปกครองปฏิบัติต่อบุคคลอื่นในธุรกิจการงานตามปกติ จึงถือว่าการกระทำของผู้ถูกร้องไม่เป็นการกระทำที่ต้องห้ามตามมาตรา 265 (3) ของรัฐธรรมนูญ จึงเห็นมีมติยกคำร้องดังกล่าว
เนื่องจาก กกต.เห็นว่า โครงการจัดหาอาวุธปืนสั้น กรมการปกครองฯได้จัดขึ้น เพื่อเป็นสวัสดิการแก่ข้าราชการกรมการปกครอง ในการบรรเทาความเดือดร้อนของข้าราชการสังกัดกระทรวงมหาดไทย และข้าราชการฝ่ายอื่นๆ ซึ่งปฏิบัติหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อย หรือสนับสนุนฝ่ายปกครอง หรือปฏิบัติหน้าที่ป้องกันอาชญากรรม หรือสนับสนุนฝ่ายปกครองในการรักษาความสงบเรียบร้อย ที่ต้องจัดหาอาวุธปืนที่มีราคาแพงตามท้องตลาด โดยโครงการดังกล่าว ได้กำหนดหลักเกณฑ์ให้ผู้เข้าร่วมโครงการมีสิทธิสั่งซื้อได้เพียงคนละหนึ่งกระบอก และต้องไม่เป็นผู้มีอาวุธปืนชนิดนั้นเป็นของตนอยู่แล้ว และผู้ซื้อไม่สามารถจำหน่ายจ่ายโอนได้ภายใน 5 ปี นับแต่วันที่ออกใบอนุญาตให้มี และใช้อาวุธปืน (ป.4)
ต่อมาอธิบดีกรมการปกครองได้มีการอนุญาตให้บุคคล และหน่วยงานอื่น ที่นอกเหนือจากที่ระบุไว้ในโครงการ รวมทั้ง ส.ส.-ส.ว. และรมต. ที่เป็นผู้ถูกร้องสามารถเข้าร่วมโครงการได้ จึงเห็นว่าเมื่ออธิบดีกรมการปกครองได้อนุมัติให้ผู้ถูกร้องเข้าร่วมโครงการได้ ผู้ถูกร้องจึงมีสิทธิโดยชอบธรรมในการสั่งจอง และสั่งซื้ออาวุธปืนในโครงการดังกล่าว และต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขที่กรมการปกครองกำหนดไว้ในโครงการทุกคน โดยไม่ได้รับสิทธิพิเศษแต่อย่างใดที่นอกเหนือไปจากบุคคล หรือหน่วยงานอื่นที่อธิบดีกรมการปกครองอนุมัติให้เข้าร่วมโครงการ
ทั้งนี้ ผู้ถูกร้องก็ไม่ได้รับสิทธิพิเศษนอกเหนือจากประชาชนทั่วไป จึงเห็นว่าผู้ถูกร้องไม่ได้รับประโยชน์ใดๆ จากกรมการปกครองเป็นพิเศษนอกเหนือไปจากที่กรมการปกครองปฏิบัติต่อบุคคลอื่นในธุรกิจการงานตามปกติ จึงถือว่าการกระทำของผู้ถูกร้องไม่เป็นการกระทำที่ต้องห้ามตามมาตรา 265 (3) ของรัฐธรรมนูญ จึงเห็นมีมติยกคำร้องดังกล่าว