ASTVผู้จัดการรายวัน - ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ ระบุการเมืองซ้ำเติมตลาดอสังหาฯเมืองท่องเที่ยว ภูเก็ต ชลบุรี สมุย หัวหินซึมยาวไปถึงไตรมาส 2 ขณะที่ยังไม่ฟื้นไข้จากพิษเศรษฐกิจดี เผยสมุยนักลงทุนต่างชาติทิ้งโครงการแล้ว 25 แห่ง เชื่ออนาคตเห็นภาพนักลงทุนนำโครงการเก่าลดขนาดยูนิต ลดราคาขายใหม่
วานนี้ (10 มี.ค.) ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) จัดงานสัมมนาเรื่อง “ สถานการณ์อสังหาริมทรัพย์ ปี 2553 เมืองชายทะเล หัวหิน เกาะสมุย” โดยนายสัมมา คีตสิน ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลฯ กล่าวถึงภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยในเมืองท่องเที่ยวชายทะเลว่า แม้เศรษฐกิจไทยโดยรวมจะเริ่มฟื้นตัวแล้ว แต่ยังมีปัจจัยความไม่สงบทางการเมืองที่จะส่งผลกระทบต่อตลาดอสังหาฯซบเซาต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาส 2 และหากเหตุการณ์ไม่รุนแรงนัก คาดว่าตลาดจะสามารถเดินหน้าต่อได้ในช่วงครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะในพื้นที่พัทยา ภูเก็ต หัวหิน ซึ่งมีลูกค้าคนไทยมากขึ้น
ขณะที่สมุย อสังหาฯเพื่อขายยังคงชะลอตัว รวมไปถึงกลุ่มโรงแรมที่ยังชะลอตัว ส่วนตลาดให้เช่ายังเติบโตได้ดีโดยเฉลี่ยประมาณ 80% อย่างไรก็ดี กลุ่มลูกค้าต่างชาติที่หันมาซื้อที่อยู่อาศัยแทนการเช่ามีสัดส่วนประมาณ 10-15%
จากผลสำรวจโครงการที่อยู่อาศัยในเมืองท่องเที่ยวชายทะเลทั้ง 4 แห่งพบว่าจังหวัดภูเก็ตซึ่ง ได้แก่ อ.เมือง อ.กะทู้ และอ.ถลาง มีโครงการจัดสรรเหลือขายในปี 2552 จำนวน 60 โครงการ 2,470 หน่วยจากทั้งหมด 8,950 หน่วย มูลค่าการขายรวม 31,800 ล้านบาท เฉลี่ยหน่วยละ 3.5 ล้านบาท โดยมีอัตราการดูดซับของตลาดประมาณ 13% ทั้งนี้หากไม่มีอุปทานบ้านใหม่เข้ามา คาดว่าต้องใช้เวลา 2 ปีจึงจะสามารถระบายหน่วยเหลือขายได้หมด
ขณะที่โครงการอาคารชุดที่รอการขายมีเกือบ 90 โครงการ 2,250 หน่วย เฉลี่ยหน่วยละ 8 ล้านบาท โดยมีอัตราการดูดซับฯ 7% ขณะที่อ.เมืองกับมีการดูดซับของตลาดถึง 44% เนื่องจากสินค้าเหลือไม่มาก
ด้านโครงการวิลลา มีหน่วยรอขาย 1,000 หน่วยจากทั้งหมด 1,900 หน่วยมูลค่าการขายรวม 57,200 ล้านบาท เฉลี่ยหน่วยละ 30 ล้านบาท โดยมีอัตราการดูดซับฯ 4% อย่างไรก็ดีจากภาวะเศรษฐกิจซบเซา ทำให้มีโครงการที่ชะลอการขายอย่างน้อย 25 โครงการ นอกจากนั้นยังพบว่า วิลลา มีการปรับราคาขายลดลง 10-20%
ส่วนในจ.ชลบุรี ได้แก่ อ.เมือง บางละมุง ศรีราชา สัตหีบ พานทอง บ้านบึง และพนัสนิคม มีโครงการจัดสรรรอการขาย 220 โครงการ 9,300 หน่วย จากทั้งหมด 20,400 หน่วย มูลค่าการขายรวม 51,500 ล้านบาท เฉลี่ยหน่วยละ 2.5 ล้านบาท โดยมีอัตราการดูดซับฯ 13%
สำหรับอาคารชุดที่รอการขายมี 80โครงการ 8,000 หน่วยจาก16,000 หน่วย เฉลี่ยหน่วยละ 4.4 ล้านบาท โดยมีอัตราการดูดซับฯ 12% ส่วนวิลลา มีหน่วยรอขาย 100หน่วย จากทั้งหมด 400 หน่วย มูลค่าการขายรวม 6,000 ล้านบาท เฉลี่ยหน่วยละ 12 ล้านบาท โดยมีอัตราการดูดซับฯ 12%
ตลาดในชะอำ-หัวหิน-ปราณบุรี พบว่า มีโครงการบ้านจัดสรรรอขายจำนวน 30 โครงการ 1,000 หน่วย จากทั้งหมด 1,900 หน่วย มูลค่าการขายรวม 7,200 ล้านบาท เฉลี่ยหน่วยละ 4 ล้านบาท โดยมีอัตราการดูดซับฯ 6% ส่วนอาคารชุดรอขายเกือบ 30 โครงการ2,000 หน่วย จากทั้งหมด 3,600 หน่วย มูลค่าการขายรวม 25,000 ล้านบาท เฉลี่ยหน่วยละ 7 ล้านบาท อัตราการดูดซับฯ 3% ด้านตลาดวิลลา มีจำนวนทั้งสิ้น 14 โครงการ รวม 650 หน่วย มูลค่าการขายรวม 8,200 ล้านบาท เฉลี่ยหน่วยละ 13 ล้านบาท ในจำนวนนี้ยังเหลือขาย 350 หน่วย
ในพื้นที่เกาะสมุย พบว่า มีโครงการบ้านจัดสรรรอขายจำนวน 15 โครงการ 200 หน่วย จากทั้งหมด 300 หน่วย มูลค่าการขายรวม 1,400 ล้านบาท เฉลี่ยหน่วยละ 5 ล้านบาท ส่วนอาคารชุดรอขายจำนวน 14 โครงการ 250 หน่วย จากทั้งหมด 500 หน่วย มูลค่าการขายรวม 3,500 ล้านบาท เฉลี่ยหน่วยละ 7.4 ล้านบาท ในส่วนของวิลลา โดยมีจำนวนทั้งสิ้น 50 โครงการ มีหน่วยในผังโครงการรวม 800 หน่วย มูลค่าการขายรวม 22,000 ล้านบาท เฉลี่ยหน่วยละ 29 ล้านบาท ยังเหลือขาย 500 หน่วย
วานนี้ (10 มี.ค.) ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) จัดงานสัมมนาเรื่อง “ สถานการณ์อสังหาริมทรัพย์ ปี 2553 เมืองชายทะเล หัวหิน เกาะสมุย” โดยนายสัมมา คีตสิน ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลฯ กล่าวถึงภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยในเมืองท่องเที่ยวชายทะเลว่า แม้เศรษฐกิจไทยโดยรวมจะเริ่มฟื้นตัวแล้ว แต่ยังมีปัจจัยความไม่สงบทางการเมืองที่จะส่งผลกระทบต่อตลาดอสังหาฯซบเซาต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาส 2 และหากเหตุการณ์ไม่รุนแรงนัก คาดว่าตลาดจะสามารถเดินหน้าต่อได้ในช่วงครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะในพื้นที่พัทยา ภูเก็ต หัวหิน ซึ่งมีลูกค้าคนไทยมากขึ้น
ขณะที่สมุย อสังหาฯเพื่อขายยังคงชะลอตัว รวมไปถึงกลุ่มโรงแรมที่ยังชะลอตัว ส่วนตลาดให้เช่ายังเติบโตได้ดีโดยเฉลี่ยประมาณ 80% อย่างไรก็ดี กลุ่มลูกค้าต่างชาติที่หันมาซื้อที่อยู่อาศัยแทนการเช่ามีสัดส่วนประมาณ 10-15%
จากผลสำรวจโครงการที่อยู่อาศัยในเมืองท่องเที่ยวชายทะเลทั้ง 4 แห่งพบว่าจังหวัดภูเก็ตซึ่ง ได้แก่ อ.เมือง อ.กะทู้ และอ.ถลาง มีโครงการจัดสรรเหลือขายในปี 2552 จำนวน 60 โครงการ 2,470 หน่วยจากทั้งหมด 8,950 หน่วย มูลค่าการขายรวม 31,800 ล้านบาท เฉลี่ยหน่วยละ 3.5 ล้านบาท โดยมีอัตราการดูดซับของตลาดประมาณ 13% ทั้งนี้หากไม่มีอุปทานบ้านใหม่เข้ามา คาดว่าต้องใช้เวลา 2 ปีจึงจะสามารถระบายหน่วยเหลือขายได้หมด
ขณะที่โครงการอาคารชุดที่รอการขายมีเกือบ 90 โครงการ 2,250 หน่วย เฉลี่ยหน่วยละ 8 ล้านบาท โดยมีอัตราการดูดซับฯ 7% ขณะที่อ.เมืองกับมีการดูดซับของตลาดถึง 44% เนื่องจากสินค้าเหลือไม่มาก
ด้านโครงการวิลลา มีหน่วยรอขาย 1,000 หน่วยจากทั้งหมด 1,900 หน่วยมูลค่าการขายรวม 57,200 ล้านบาท เฉลี่ยหน่วยละ 30 ล้านบาท โดยมีอัตราการดูดซับฯ 4% อย่างไรก็ดีจากภาวะเศรษฐกิจซบเซา ทำให้มีโครงการที่ชะลอการขายอย่างน้อย 25 โครงการ นอกจากนั้นยังพบว่า วิลลา มีการปรับราคาขายลดลง 10-20%
ส่วนในจ.ชลบุรี ได้แก่ อ.เมือง บางละมุง ศรีราชา สัตหีบ พานทอง บ้านบึง และพนัสนิคม มีโครงการจัดสรรรอการขาย 220 โครงการ 9,300 หน่วย จากทั้งหมด 20,400 หน่วย มูลค่าการขายรวม 51,500 ล้านบาท เฉลี่ยหน่วยละ 2.5 ล้านบาท โดยมีอัตราการดูดซับฯ 13%
สำหรับอาคารชุดที่รอการขายมี 80โครงการ 8,000 หน่วยจาก16,000 หน่วย เฉลี่ยหน่วยละ 4.4 ล้านบาท โดยมีอัตราการดูดซับฯ 12% ส่วนวิลลา มีหน่วยรอขาย 100หน่วย จากทั้งหมด 400 หน่วย มูลค่าการขายรวม 6,000 ล้านบาท เฉลี่ยหน่วยละ 12 ล้านบาท โดยมีอัตราการดูดซับฯ 12%
ตลาดในชะอำ-หัวหิน-ปราณบุรี พบว่า มีโครงการบ้านจัดสรรรอขายจำนวน 30 โครงการ 1,000 หน่วย จากทั้งหมด 1,900 หน่วย มูลค่าการขายรวม 7,200 ล้านบาท เฉลี่ยหน่วยละ 4 ล้านบาท โดยมีอัตราการดูดซับฯ 6% ส่วนอาคารชุดรอขายเกือบ 30 โครงการ2,000 หน่วย จากทั้งหมด 3,600 หน่วย มูลค่าการขายรวม 25,000 ล้านบาท เฉลี่ยหน่วยละ 7 ล้านบาท อัตราการดูดซับฯ 3% ด้านตลาดวิลลา มีจำนวนทั้งสิ้น 14 โครงการ รวม 650 หน่วย มูลค่าการขายรวม 8,200 ล้านบาท เฉลี่ยหน่วยละ 13 ล้านบาท ในจำนวนนี้ยังเหลือขาย 350 หน่วย
ในพื้นที่เกาะสมุย พบว่า มีโครงการบ้านจัดสรรรอขายจำนวน 15 โครงการ 200 หน่วย จากทั้งหมด 300 หน่วย มูลค่าการขายรวม 1,400 ล้านบาท เฉลี่ยหน่วยละ 5 ล้านบาท ส่วนอาคารชุดรอขายจำนวน 14 โครงการ 250 หน่วย จากทั้งหมด 500 หน่วย มูลค่าการขายรวม 3,500 ล้านบาท เฉลี่ยหน่วยละ 7.4 ล้านบาท ในส่วนของวิลลา โดยมีจำนวนทั้งสิ้น 50 โครงการ มีหน่วยในผังโครงการรวม 800 หน่วย มูลค่าการขายรวม 22,000 ล้านบาท เฉลี่ยหน่วยละ 29 ล้านบาท ยังเหลือขาย 500 หน่วย