ASTVผู้จัดการ- “ร้านนายอินทร์” ในเครือบริษัทอมรินทร์ บุ๊ค เซ็นเตอร์ จำกัด ปิดหูปิดตาปกป้อง “นช.แม้ว” อ้างเหตุผลพิลึกไม่ยอมวางจำหน่ายหนังสือ “ขบวนการล้มเจ้า” ที่กระชากหน้ากากกลุ่มบุคคลที่มีทัศนคติเป็นอันตรายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และกลุ่มบุคคลที่มีพฤติกรรมจาบจ้วงพระมหากษัตริย์อย่างชัดเจน โดยระบุเพียงแค่ได้รับการร้องเรียนว่ามีเนื้อหาจะก่อเกิดความแตกแยกในสังคม ทั้งที่บริษัทดังกล่าวกำหนดเอาไว้ เป็นนโยบายหลักคือปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ รวมไปถึงการการส่งเสริมการเรียนรู้และรักการอ่าน
ทั้งนี้จากหนังสือเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2553 ลงชื่อ นายทองนาค เพ็งชนะ ผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ บริษัท อมรินทร์ บุ๊ค เซ็นเตอร์ จำกัด ยังได้ระบุว่า ร้าน “นายอินทร์” ได้รับพระราชทานนามพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลเดช จากหนังสือนายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะเป็นแหล่งกระจายการศึกษาสู่ชุมชนด้วยการขยายร้านหนังสือเข้าสู่ชุมชนทุกพื้นที่ทั่วประเทศ และร้านนายอินทร์มีนโยบายส่งเสริมการอ่านของเยาวชนไทยให้เกิดนิสัยรักการอ่าน
ที่น่าสังเกตก็คือในนโยบายข้อ 4 จากจำนวน 4 ข้อ ระบุว่า จะปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยกำหนดเป็นนโยบายของบริษัทดังกล่าวและเป็นข้ออ้างในหนังสือที่ลงนามโดยผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อในครั้งนี้ด้วย
อย่างไรก็ดี ข้อความในหนังสือที่ส่งมาถึงเพื่ออ้างเหตุผลในการของดจำหน่ายหนังสือ “ขบวนการล้มเจ้า” ยังได้ระบุถึงสถานการณ์ทางการเมืองมีความรุนแรง และทางร้านได้รับการร้องเรียนจากลูกค้าจำนวนมากในหลายรูปแบบ ซึ่งเกรงว่าจะทำให้เกิดความแตกแยกในสังคม ทางคณะกรรมการพิจารณาหนังสือของร้านนายอินทร์จึงพิจารณางดการขายหนังสือดังกล่าวชั่วคราว
สำหรับหนังสือ “ขบวนการล้มเจ้า” นั้น ดำเนินการจัดทำโดยกองบรรณาธิการ “เอเอสทีวีผู้จัดการ” ได้เปิดโปงตีแผ่ บุคคลและกลุ่มบุคคลที่มีทัศนคติที่เป็นอันตรายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่นำโดย ทักษิณ ชินวัตร กับพวก และบุคคลอื่นๆที่มีเจตนาจาบจ้วงดูหมิ่นพระมหากษัตริย์อย่างรุนแรงและตรงไปตรงมา หลายคนถูกดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ บางคนเคยติดคุกในคดีดังกล่าว ขณะที่บางคนยังหลบหนีคดี
ทั้งนี้เนื้อหาในหนังสือ ขบวนการล้มเจ้า ยังได้รวบรวมหลักฐานและข้อมูลที่มาที่ไปของขบวนการดังกล่าวตั้งแต่เริ่มต้นมาจนถึงปัจจุบัน และชี้ให้เห็นถึงเป้าหมายในอนาคตเพื่อสถาปนารัฐไทยใหม่ไปเป็นระบอบประชาธิปไตยที่พระมหากษัตริย์เป็นเพียงสัญลักษณ์ หรือระบอบสาธารณรัฐ ว่ามีขั้นตอนในการดำเนินการอย่างไร
นอกจากนี้ยังได้รวบรวมหลักฐานที่เป็นเอกสารอ้างอิง ทั้งที่เป็นคำพิพากษาของศาลที่ชี้ให้เห็นว่า ทักษิณ “อยากเป็นประธานาธิบดี” อย่างไร พร้องเปิดเผยให้เห็นภาพที่ไม่เหมาะสมที่ส่อเจตนาเหิมเกริม เช่น ภาพการนั่งบนพรมแดงเป็นประธานในวัดพระแก้ว การให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศทั้ง “ไทม์ออนไลน์” และ “ไฟแนลเชียลไทม์” ที่วิพากษ์วิจารณ์ และกล่าวร้ายต่อพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์อย่างชัดเจนที่สุด
ขณะเดียวกันยังมีการสัมภาษณ์บุคคลที่สังคมให้ความเคารพนับถือ และมีความซื่อสัตย์ จงรักภักดี ไม่ว่าจะเป็นพล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร อดีตนายตำรวจราชสำนักประจำ พล.อ.พิจิตร กุลละวณิชย์ องคมนตรี ศ.ดร.ระพี สาคริก รวมไปถึง “หลวงตามหาบัว” เป็นต้น มายืนยัน และชี้ให้เห็นว่า ทักษิณ กับคนบางกลุ่มที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ในขณะนี้มีเจตนาอย่างไร
ดังนั้นเป็นที่น่าสังเกตว่า หากร้าน และบริษัทอมรินทร์ บุ๊ค เซ็นเตอร์ จำกัด มีเจตนาปกป้องสถาบันพระมหกษัตริย์และส่งเสริมการให้ข้อมูลข่าวสารกับประชาชนอย่างแพร่หลายจริง ก็ไม่น่าจะมีเหตุผลในการงดขายหนังสือที่เปิดโปงขบวนการทำร้ายสถาบัน ที่มีการเปิดเผยหลักฐานและข้อเท็จจริงมายืนยัน ในทางตรงกันข้ามการงดจำหน่ายกับเป็นการจงใจปิดบังข้อเท็จจริงไม่ให้ประชาชนทั่วไปได้รับรู้ อีกทั้งเนื้อหาทั้งหมดมีแหล่งอ้างอิงทางวิชาการ ไม่ใช่เป็นการปรุงแต่งหรือเป็นการใส่ร้ายป้ายสีแต่อย่างใด ตรงกันข้ามเป็นการรายงานข้อเท็จจริงอย่างมีหลักฐานหรือใบเสร็จจนดิ้นไม่หลุด
สำหรับหนังสือ ขบวนการล้มเจ้า ได้พิมพ์ครั้งที่ 5 ภายในเวลาแค่ 2 เดือนเท่านั้น และเป็นหนังสือขายดีจนเกลี้ยงแผงอย่างรวดเร็วทุกครั้งที่มีการจัดพิมพ์
ทั้งนี้จากหนังสือเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2553 ลงชื่อ นายทองนาค เพ็งชนะ ผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ บริษัท อมรินทร์ บุ๊ค เซ็นเตอร์ จำกัด ยังได้ระบุว่า ร้าน “นายอินทร์” ได้รับพระราชทานนามพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลเดช จากหนังสือนายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะเป็นแหล่งกระจายการศึกษาสู่ชุมชนด้วยการขยายร้านหนังสือเข้าสู่ชุมชนทุกพื้นที่ทั่วประเทศ และร้านนายอินทร์มีนโยบายส่งเสริมการอ่านของเยาวชนไทยให้เกิดนิสัยรักการอ่าน
ที่น่าสังเกตก็คือในนโยบายข้อ 4 จากจำนวน 4 ข้อ ระบุว่า จะปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยกำหนดเป็นนโยบายของบริษัทดังกล่าวและเป็นข้ออ้างในหนังสือที่ลงนามโดยผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อในครั้งนี้ด้วย
อย่างไรก็ดี ข้อความในหนังสือที่ส่งมาถึงเพื่ออ้างเหตุผลในการของดจำหน่ายหนังสือ “ขบวนการล้มเจ้า” ยังได้ระบุถึงสถานการณ์ทางการเมืองมีความรุนแรง และทางร้านได้รับการร้องเรียนจากลูกค้าจำนวนมากในหลายรูปแบบ ซึ่งเกรงว่าจะทำให้เกิดความแตกแยกในสังคม ทางคณะกรรมการพิจารณาหนังสือของร้านนายอินทร์จึงพิจารณางดการขายหนังสือดังกล่าวชั่วคราว
สำหรับหนังสือ “ขบวนการล้มเจ้า” นั้น ดำเนินการจัดทำโดยกองบรรณาธิการ “เอเอสทีวีผู้จัดการ” ได้เปิดโปงตีแผ่ บุคคลและกลุ่มบุคคลที่มีทัศนคติที่เป็นอันตรายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่นำโดย ทักษิณ ชินวัตร กับพวก และบุคคลอื่นๆที่มีเจตนาจาบจ้วงดูหมิ่นพระมหากษัตริย์อย่างรุนแรงและตรงไปตรงมา หลายคนถูกดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ บางคนเคยติดคุกในคดีดังกล่าว ขณะที่บางคนยังหลบหนีคดี
ทั้งนี้เนื้อหาในหนังสือ ขบวนการล้มเจ้า ยังได้รวบรวมหลักฐานและข้อมูลที่มาที่ไปของขบวนการดังกล่าวตั้งแต่เริ่มต้นมาจนถึงปัจจุบัน และชี้ให้เห็นถึงเป้าหมายในอนาคตเพื่อสถาปนารัฐไทยใหม่ไปเป็นระบอบประชาธิปไตยที่พระมหากษัตริย์เป็นเพียงสัญลักษณ์ หรือระบอบสาธารณรัฐ ว่ามีขั้นตอนในการดำเนินการอย่างไร
นอกจากนี้ยังได้รวบรวมหลักฐานที่เป็นเอกสารอ้างอิง ทั้งที่เป็นคำพิพากษาของศาลที่ชี้ให้เห็นว่า ทักษิณ “อยากเป็นประธานาธิบดี” อย่างไร พร้องเปิดเผยให้เห็นภาพที่ไม่เหมาะสมที่ส่อเจตนาเหิมเกริม เช่น ภาพการนั่งบนพรมแดงเป็นประธานในวัดพระแก้ว การให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศทั้ง “ไทม์ออนไลน์” และ “ไฟแนลเชียลไทม์” ที่วิพากษ์วิจารณ์ และกล่าวร้ายต่อพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์อย่างชัดเจนที่สุด
ขณะเดียวกันยังมีการสัมภาษณ์บุคคลที่สังคมให้ความเคารพนับถือ และมีความซื่อสัตย์ จงรักภักดี ไม่ว่าจะเป็นพล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร อดีตนายตำรวจราชสำนักประจำ พล.อ.พิจิตร กุลละวณิชย์ องคมนตรี ศ.ดร.ระพี สาคริก รวมไปถึง “หลวงตามหาบัว” เป็นต้น มายืนยัน และชี้ให้เห็นว่า ทักษิณ กับคนบางกลุ่มที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ในขณะนี้มีเจตนาอย่างไร
ดังนั้นเป็นที่น่าสังเกตว่า หากร้าน และบริษัทอมรินทร์ บุ๊ค เซ็นเตอร์ จำกัด มีเจตนาปกป้องสถาบันพระมหกษัตริย์และส่งเสริมการให้ข้อมูลข่าวสารกับประชาชนอย่างแพร่หลายจริง ก็ไม่น่าจะมีเหตุผลในการงดขายหนังสือที่เปิดโปงขบวนการทำร้ายสถาบัน ที่มีการเปิดเผยหลักฐานและข้อเท็จจริงมายืนยัน ในทางตรงกันข้ามการงดจำหน่ายกับเป็นการจงใจปิดบังข้อเท็จจริงไม่ให้ประชาชนทั่วไปได้รับรู้ อีกทั้งเนื้อหาทั้งหมดมีแหล่งอ้างอิงทางวิชาการ ไม่ใช่เป็นการปรุงแต่งหรือเป็นการใส่ร้ายป้ายสีแต่อย่างใด ตรงกันข้ามเป็นการรายงานข้อเท็จจริงอย่างมีหลักฐานหรือใบเสร็จจนดิ้นไม่หลุด
สำหรับหนังสือ ขบวนการล้มเจ้า ได้พิมพ์ครั้งที่ 5 ภายในเวลาแค่ 2 เดือนเท่านั้น และเป็นหนังสือขายดีจนเกลี้ยงแผงอย่างรวดเร็วทุกครั้งที่มีการจัดพิมพ์