ASTVผู้จัดการรายวัน - ไทย แคปปิตอล ฯ ลดทุนจดทะเบียนและชำระแล้วด้วยการลดพาร์จาก 1 บาทเหลือ 50 สตางค์ เพื่อล้างขาดทุนสะสมกว่า380 ล้านบาท พร้อมปรับสิทธิวอร์แรนต์เพื่อใช้ซื้อหุ้นสามัญจากหุ้นละ 1 บาทเหลือ 50 สตางค์ อวดงบงวดสิ้นปี 52 ขาดทุนลดลงเหลือ 59 ล้านบาทจากปีก่อนที่ขาดทุน 122 ล้านบาท ผลจากการควบคุมค่าใช้จ่ายและหยุดธุรกิจที่ไม่เกิดกำไร
นายธีระวัฒน์ เนืองนอง กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทย แคปปิตอล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TCC แจ้งมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 53 ว่าบอร์ดอนุมัติให้ลดทุนจดทะเบียนและทุนชำระแล้วของบริษัทฯ โดยวิธีลดมูลค่าที่ตราไว้ (พาร์ ) 1 บาทต่อหุ้น เป็น 0.50 บาทต่อหุ้น เพื่อล้างขาดทุนสะสมของบริษัท ซึ่ง ณวันที่ 31 ธันวาคม 2552 บริษัทมีขาดทุนสะสมทั้งหมด 380,295,907.37 บาทและเมื่อลดทุนโดยวิธีการลดมูลค่าที่ตราไว้ 0.50 บาทต่อหุ้นจากทุนจดทะเบียนและชำระ แล้วของบริษัทฯ ซึ่งมีทั้งหมด 732,833,196 หุ้น คิดเป็นมูลค่าการลดทุนทั้งหมด 366,416,598.00 บาท
พร้อมกันนี้ บอร์ดยัง อนุมัติให้ปรับสิทธิของผู้ถือใบสำคัญแสดงสิทธิ(วอร์แรนต์ )ที่จะซื้อหุ้นสามัญ (TCC-W1) และ (TCC-WA) เนื่องจากการเปลี่ยนพาร์ตามเกณฑ์ในหนังสือชี้ชวนเสนอขายวอร์แรนต์ ส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงในราคาการใช้สิทธิ จากเดิม 1 บาทต่อหุ้น เป็น 0.5 บาทต่อหุ้น โดยให้คงอัตราการใช้สิทธิเช่นเดิม คือวอร์แรนต์ 1 หน่วย มีสิทธิซื้อหุ้นสามัญ 1 หุ้น ดังนั้นราคาการใช้สิทธิของวอร์แรนต์ที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัทหลังการเปลี่ยนแปลง คือ 0.5 บาทต่อหน่วย
นอกจากนี้ TCC แจ้งผลงานงวดสิ้นปี 52 พบว่าบริษัทมีผลขาดสุทธิ 593.04 ล้านบาท ขณะที่งวดเดียวกันของปีก่อนขาดทุนสุทธิ 121.95 ล้านบาท หรือ ขาดทุนลดลง 148.41% ซึ่งผลงานดีขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนเนื่องจากผลขาดทุนสุทธิจากธุรกิจถ่านหินที่นำเข้าเพิ่มขึ้น ส่วนยอดขายลดลงและระหว่างครึ่งปีแรกบริษัทอยู่ระหว่างก่อสร้างโรงจัดเก็บและคัดแยกถ่านหินที่เพชรบุรีซึ่งแล้วเสร็จไตรมาส 3 ปี 52 ส่งผลให้การขายถ่านหินครึ่งแรกปี 52 ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ อีกทั้งขาดทุนจากส่วนงานที่ยกเลิกการดำเนินธุรกิจไปแล้วในระหว่างปี ขณะค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลง และหยุดดำเนินธุรกิจที่ไม่ก่อให้เกิดกำไรลงทั้งหมด
ขณะที่คดี กรณีสต๊อกสินค้าสูญหาย บริษัทยังคงอยู่ระหว่างดำเนินการเพื่อยื่นฟ้องร้องต่อศาล โดยในส่วนคดีฟ้องร้องลูกหนี้ส่วนงานเครื่องปรับอากาศที่เลิกดำเนินงานมีทุนทรัพย์ฟ้องร้องทั้งสิ้น 113.45 ล้านบาท รวม 10 คดี ซึ่งศาลพิพากษาแล้ว 4 คดี โดยบริษัทและบริษัทย่อยชนะคดีความ 2 คดี ปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการบังคับคดี และอีก 2 คดี ศาลพิพากษายกฟ้อง และอีก 6 คดี บริษัทและบริษัทย่อยได้ดำเนินการถอนฟ้อง
นายธีระวัฒน์ เนืองนอง กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทย แคปปิตอล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TCC แจ้งมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 53 ว่าบอร์ดอนุมัติให้ลดทุนจดทะเบียนและทุนชำระแล้วของบริษัทฯ โดยวิธีลดมูลค่าที่ตราไว้ (พาร์ ) 1 บาทต่อหุ้น เป็น 0.50 บาทต่อหุ้น เพื่อล้างขาดทุนสะสมของบริษัท ซึ่ง ณวันที่ 31 ธันวาคม 2552 บริษัทมีขาดทุนสะสมทั้งหมด 380,295,907.37 บาทและเมื่อลดทุนโดยวิธีการลดมูลค่าที่ตราไว้ 0.50 บาทต่อหุ้นจากทุนจดทะเบียนและชำระ แล้วของบริษัทฯ ซึ่งมีทั้งหมด 732,833,196 หุ้น คิดเป็นมูลค่าการลดทุนทั้งหมด 366,416,598.00 บาท
พร้อมกันนี้ บอร์ดยัง อนุมัติให้ปรับสิทธิของผู้ถือใบสำคัญแสดงสิทธิ(วอร์แรนต์ )ที่จะซื้อหุ้นสามัญ (TCC-W1) และ (TCC-WA) เนื่องจากการเปลี่ยนพาร์ตามเกณฑ์ในหนังสือชี้ชวนเสนอขายวอร์แรนต์ ส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงในราคาการใช้สิทธิ จากเดิม 1 บาทต่อหุ้น เป็น 0.5 บาทต่อหุ้น โดยให้คงอัตราการใช้สิทธิเช่นเดิม คือวอร์แรนต์ 1 หน่วย มีสิทธิซื้อหุ้นสามัญ 1 หุ้น ดังนั้นราคาการใช้สิทธิของวอร์แรนต์ที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัทหลังการเปลี่ยนแปลง คือ 0.5 บาทต่อหน่วย
นอกจากนี้ TCC แจ้งผลงานงวดสิ้นปี 52 พบว่าบริษัทมีผลขาดสุทธิ 593.04 ล้านบาท ขณะที่งวดเดียวกันของปีก่อนขาดทุนสุทธิ 121.95 ล้านบาท หรือ ขาดทุนลดลง 148.41% ซึ่งผลงานดีขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนเนื่องจากผลขาดทุนสุทธิจากธุรกิจถ่านหินที่นำเข้าเพิ่มขึ้น ส่วนยอดขายลดลงและระหว่างครึ่งปีแรกบริษัทอยู่ระหว่างก่อสร้างโรงจัดเก็บและคัดแยกถ่านหินที่เพชรบุรีซึ่งแล้วเสร็จไตรมาส 3 ปี 52 ส่งผลให้การขายถ่านหินครึ่งแรกปี 52 ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ อีกทั้งขาดทุนจากส่วนงานที่ยกเลิกการดำเนินธุรกิจไปแล้วในระหว่างปี ขณะค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลง และหยุดดำเนินธุรกิจที่ไม่ก่อให้เกิดกำไรลงทั้งหมด
ขณะที่คดี กรณีสต๊อกสินค้าสูญหาย บริษัทยังคงอยู่ระหว่างดำเนินการเพื่อยื่นฟ้องร้องต่อศาล โดยในส่วนคดีฟ้องร้องลูกหนี้ส่วนงานเครื่องปรับอากาศที่เลิกดำเนินงานมีทุนทรัพย์ฟ้องร้องทั้งสิ้น 113.45 ล้านบาท รวม 10 คดี ซึ่งศาลพิพากษาแล้ว 4 คดี โดยบริษัทและบริษัทย่อยชนะคดีความ 2 คดี ปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการบังคับคดี และอีก 2 คดี ศาลพิพากษายกฟ้อง และอีก 6 คดี บริษัทและบริษัทย่อยได้ดำเนินการถอนฟ้อง
