เป็นเวลานานนับปีแล้วที่ 'ทักษิณ ชินวัตร' พยายามที่จะสื่อสารกับคนไทยที่รัก ศรัทธา และสนับสนุนเขา หรือจะพูดให้เข้าใจกันง่ายๆ ก็คือ 'การสื่อสารกับสาวก' ที่จงรักภักดี และสิ่งที่เขาพูดก็มักจะเป็นการพูดในสิ่งที่ 'ซ้ำๆ' จนหลายคนวิจารณ์ว่าฟังเหมือน 'แผ่นเสียงตกร่อง' และคนอีกจำนวนมากก็มองว่า 'ไม่มีประเด็นใหม่' ในคำพูดที่ผ่านมาทางโฟนอิน วิดีโอลิงก์ หรือแม้กระทั่งทวิตเตอร์ ดังนั้น การสื่อสารกับสาวกหลายครั้งจึงทำให้สื่อมวลชนผิดหวัง แต่นักการเมืองฝ่ายตรงข้ามกลับรู้สึกยินดี พอใจ และเย้ยหยันที่คำพูดของทักษิณไม่มีอะไรใหม่ ประมาณว่า ไม่เห็นจะมีพิษสงอะไรเลย
แต่ “นายอนันต์ เหล่าเลิศวรกุล” อาจารย์ประจำคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการอธิบายศัพท์และสำนวนภาษาต่าง ๆ ไม่คิดแบบนั้น แล้วคิดแบบไหน? วันนี้เขาจะมาวิเคราะห์คำพูด คำศัพท์ และการใช้ภาษาของ ทักษิณ ชินวัตร ถอดรหัสถ้อยคำต่างๆ ที่ผ่านมา ว่านักโทษชายผู้นี้ ซ่อนเงื่อนงำอำพราง มีจุดประสงค์อะไรบางอย่างแอบซ่อนอยู่ในถ้อยคำของเขา...?
ตอกย้ำคำพูดจนคนเสื้อแดงเชื่อ
คำพูดของคุณทักษิณ เราต้องพยายามมองในมุม โดยที่พยายามที่จะเข้าไปอยู่ในหัวใจของคนเสื้อแดง คือแม้ว่าการพูดที่ผ่านมาทั้งวิดีโอลิงก์ โฟนลิงก์ หรือทวิตเตอร์ที่เป็นไปอย่างซ้ำๆ ซึ่งหลายคนมองว่าไม่มีพลังในการสื่อสารเนื้อหาสาระใหม่ ไม่มีสารัตถะใหม่ แต่พลังในการพูดซ้ำๆ นั้นมันมีพลังในการย้ำความหนักแน่นของความหมาย เพราะฉะนั้นผมคิดว่าคุณทักษิณประสบความสำเร็จในการย้ำความหนักแน่นในคำพูดของตัวเอง
ไม่ว่าจะเป็นรัฐประหารกับรัฐบาลชุดปัจจุบันเชื่อมโยงกัน อำมาตย์ ในความคิดของคุณทักษิณซึ่งจำกัดความหมายให้อย่างแคบที่สุด หมายถึง 'องคมนตรี' โดยเฉพาะอย่างยิ่งประธานองคมนตรีมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับรัฐประหาร... รัฐประหาร 19 กันยานั้นเป็นการทำลายประชาธิปไตยโดยสิ้นเชิง แล้วรัฐบาลปัจจุบันนั้นไม่เป็นประชาธิปไตย เกิดปรากฏการณ์สองมาตรฐานขึ้น ศาลนั้นไม่ยุติธรรม รังแกคนที่ทำมาหากินโดยซื่อสัตย์สุจริต เขาไม่ได้ทำผิดกฎหมายใดๆ เหตุที่ถูกพิพากษาให้ต้องโทษจำคุกนานถึงสองปีนั้น เป็นเพราะว่าศาลไม่ยุติธรรม หาความยุติธรรมในระบบความยุติธรรมในเมืองไทยไม่ได้
ถ้อยคำเหล่านี้มันมีพลังในการสื่อสาร เป็นการตอกย้ำอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีพลังมากกับคนที่ศรัทธาและเชื่อมั่นคุณทักษิณเป็นทุนเดิม จนกระทั่งเป็นการหล่อหลอมให้กลุ่มคนเสื้อแดงนั้นมองโลกไปในทิศทางเดียวกัน และเชื่อมั่นอย่างจริงจังเลยว่าสิ่งที่คุณทักษิณพูดนั้นเป็นจริงทุกประการ มันเกิดเป็นพลังแบบนี้อีกด้านหนึ่ง
เพราะฉะนั้นผมคิดว่าคุณทักษิณก็ประเมินได้ว่าพลังในการตอกย้ำของคุณทักษิณ ถ้าเราใช้คำว่า พูดซ้ำ ไม่มีอะไรใหม่ มันจะเป็นเชิงลบ แล้วเราจะเห็นว่าพลังของคุณทักษิณที่พูดนั้นไม่มีพลัง แต่ถ้าเกิดเราพูดว่านี่เป็นการตอกย้ำความเชื่อมั่น และเป็นการประทับตรึงให้คนที่รักและศรัทธาคุณทักษิณเชื่อมั่นในคำพูดของคุณทักษิณ มันจะมีพลังมหาศาล
เราได้เห็นพลังอันนี้แล้วครั้งหนึ่งเมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้ว เราอาจจะได้เห็นพลังอีกครั้งหนึ่งในเร็ววันนี้ ซึ่งไม่มีใครคาดการณ์อนาคตได้ เพราะว่าตัวแปรนั้นสลับซับซ้อนมาก ถ้าเรากำหนดตัวแปร หรือเรารู้ตัวแปร เรารู้พลังของตัวแปรทั้งหมด เราอาจจะทำนายได้อย่างแม่นยำ แต่ตัวแปรจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวแปรในแง่ของจิตวิทยานั้นมันจึงเป็นตัวแปรที่เกินกว่าจะควบคุม เพราะฉะนั้นเหตุการณ์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นครึ่งหลังของเดือนกุมภาพันธ์ ได้แต่บอกว่าสังคมจำเป็นจะต้องจับจ้องอย่างหนัก ผู้ที่เกี่ยวข้องจะประมาทพลังในการสื่อสารของคุณทักษิณไม่ได้เลย ว่าคุณทักษิณนั้นจะสื่อสารอะไร
โชคดีที่ทักษิณเป็นคนพูดมาก
คนเรานั้น มันซ่อนสิ่งที่ตัวเองคิดไว้ไม่ได้ ถ้าคนคนนั้นพูดออกมา คนที่พูดออกมา ไม่ว่าพูดน้อยหรือพูดมาก เราจะเห็นความคิดเขาเสมอ เพราะการพูดคือการคิดเสียงดัง ผมคิดว่าเป็นความโชคดีที่คุณทักษิณเป็นคนพูดมาก ถึงแม้ว่าบางครั้งเขาจะปฏิเสธว่าเขาไม่ได้คิดแบบนั้น เขาเผลอพูดไป เขาไม่ได้คิดอย่างที่คนทั่วไปตีความ ไม่ว่าเขาจะเผลอพูดเรื่อง 'ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ' หรือกรณีให้สัมภาษณ์ไทมส์ ออนไลน์ นั่นคือพูดออกไปแล้ว แล้วยิ่งพูดโดยไม่ได้พูดให้คนไทยฟัง อันนั้นแหละยิ่งเป็นตัวตนแท้จริง ยิ่งเป็นความคิดแท้จริง
กรณีที่พูดให้คนไทยฟัง ผมยังคิดว่าคุณทักษิณยังพยายามที่จะซ่อนงำความคิดแท้จริงอะไรบางอย่างไว้ในคำพูดของตัวเอง ซึ่งไม่อาจพูดออกมาได้ มันไม่ได้แตกต่างกับที่เราอยู่ในบ้านแล้วเราไม่พูดอะไรตรงๆ กับคนในครอบครัว แต่พอเราไปเจอคนที่เราไม่รู้จักมักคุ้น แล้วเราก็รู้สึกว่าความไม่รู้จักมักคุ้นตรงนั้นมันทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายลง พอผ่อนคลายลงเสร็จมันก็พูดไปทุกอย่างตามที่ตัวเองคิด
คุณทักษิณเป็นคนช่างจ้อมากเลย ตั้งแต่สมัยที่เป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว เขาจะจ้อไปทุกที่ แล้วก็เป็นนายกรัฐมนตรีที่เราจะพบว่า 'ช่างจ้อ' ที่สุด แม้กระทั่งนายกรัฐมนตรีที่มีความสามารถในการใช้ภาษามากอย่างคุณ'สมัคร สุนทรเวช' ยังไม่ช่างจ้อเท่ากับคุณทักษิณ ผมเรียกคุณทักษิณว่าเป็นคนช่างจ้อ แต่ไม่ได้แปลว่าคุณทักษิณเป็นคนที่มีวาทศิลป์เป็นเลิศ จะว่าไปแล้ว ถ้าคุณสมัครคุมอารมณ์อยู่ คุณสมัครเป็นคนที่มีวาทศิลป์เหนือกว่า มีศิลปะมากกว่า คำพูดของคุณสมัครเป็นคำพูดที่มีสีสัน แล้วก็ใช้ภาษาได้อย่างหวือหวาน่าสนใจ มากกว่ามาก เพียงแต่ว่าคุณสมัครมักจะสกัดกั้นอารมณ์ไม่อยู่ พอกันเลยคุณทักษิณกับคุณสมัคร จะเป็นคนที่ปะทุอารมณ์ได้ง่ายๆ
สำหรับการพูดก่อนวันตัดสินคดีนั้น ผมคิดว่าคุณทักษิณยังคงตอกย้ำเรื่องหลัก ประการที่หนึ่ง รัฐบาลชุดปัจจุบันเชื่อมโยงกับทหารที่ทำรัฐประหาร ประการที่สอง กระบวนการยุติธรรมที่เกิดขึ้น การพิพากษาคดีทั้งหมดที่เกิดขึ้นหลัง 19 กันยา นั้นไม่ยุติธรรม และประการที่สาม สภาพความเป็นไปทางการเมืองของประเทศไทยในปัจจุบัน ซึ่งมันส่งผลกระทบต่อเรื่องทางเศรษฐกิจและสังคม มีคนบางคนเป็นผู้บงการ แล้วคนบางคนตรงนี้ ในใจของคุณทักษิณรู้อยู่ว่าคุณทักษิณนั้นหมายถึงใคร แต่คุณทักษิณก็จะเปิดเผยเป็นตัวละครจำแลงออกมา เพื่อทำให้เบี่ยงเบนประเด็นความสนใจของคนในสังคมไปที่ตัวละครจำแลงที่คุณทักษิณจงใจที่จะให้เข้าใจผิดคิดว่าเป็นตัวละครตัวนั้น ซึ่งคุณทักษิณใช้คำว่า “อำมาตย์” หรือสาวกคุณทักษิณซึ่งเป็นแกนนำคนเสื้อแดงใช้คำว่า “มหาอำมาตย์” แต่ที่จริงแล้วนั่นเป็นตัวละครซึ่งเป็นมายา เป้าประสงค์อย่างที่สุดของคุณทักษิณต้องดูจากชุดคำพูดของคนที่ไม่ใช่แม่ทัพในฝ่ายบู๊ อย่างสามเกลอ คุณวีระ คุณจตุพร คุณณัฐวุฒิ บวกอีกสองขุนพลคือ เสธ.แดง กับอริสมันต์ จริงๆ เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นฝ่ายบู๊ทั้งสิ้น เราจะรู้ว่าคุณทักษิณพูดถึงบุคคลคนนี้แท้จริงที่เขาคิดว่าบงการความเป็นไปของบ้านเมือง ว่าเป็นใคร เราต้องดูจากขุนนางฝ่ายบุ๋น แต่ขุนนางฝ่ายบุ๋นก็หลบหนีกระบวนการยุติธรรมไปอยู่ต่างประเทศเช่นเดียวกัน
แล้วก็ยังมี 'กุนซือ' ที่ไม่ออกหน้า แต่สื่อมวลชนก็รู้ชื่ออีกหลายคนที่อยู่ข้างกาย คนพวกนี้น่ากลัว เพราะว่าไม่เคยได้ยินเสียงพูด ไม่เคยได้รับรู้ความคิด มันผ่าน... ส่งต่อกันมา ซึ่งไม่รู้ว่ากี่ทอด ต่อให้ทอดเดียวก็ไม่รู้ว่าคนเหล่านั้นพูดอย่างนั้นจริงไหม หรือคิดอย่างนั้นจริงไหม ซึ่งแตกต่างจากคุณจักรภพที่ทั้ง พูดและเขียน ใช่ไหม ผมว่าสื่อมวลชนรวมทั้งคนในฟากรัฐบาลเองก็ตาม หรือกลุ่มต่อต้านคุณทักษิณอย่างหนักอย่างฝ่ายพันธมิตรฯ ไม่มีโอกาสได้ฟังคำพูดของคนเหล่านี้ ไม่มีโอกาสได้อ่านข้อเขียนของคนเหล่านี้ สิ่งที่คนเหล่านี้พูดมีคนได้ยินไม่กี่คน แล้วหายไปในอากาศ ไม่มีบันทึกใดๆ ไว้ทั้งสิ้น
ถ้าผมมองว่านี่เป็นการรบ ถึงแม้ว่าคุณทักษิณจะเป็นขุนตัวสำคัญ แต่ถ้าคุณทักษิณ ขุนตัวนี้ถูกกำจัดในสงครามคราวนี้ ผมคิดว่ากุนซือเหล่านี้ยังอยู่ และกุนซือเหล่านี้ตราบเท่าที่ยังมีลมหายใจอยู่ ก็พร้อมที่จะเลี้ยง 'ขุน' ตัวใหม่ขึ้นมา โดยที่ไม่รู้ว่าขุนตัวใหม่นี้จะเหี้ยมหาญ จะกระหายสงคราม จะกระหายความเปลี่ยนแปลงโดยไม่คำนึงถึงความเสียหายของบ้านเมืองอย่าง 'ขุน' ที่ชื่อ 'ทักษิณ ชินวัตร' หรือเปล่า แต่ผมคิดว่ากุนซือเหล่านี้ก็พร้อมที่จะปั้นขุนตัวใหม่ขึ้นมา จนกว่าที่... หนึ่ง, เขาประสบความสำเร็จ หรือสอง, เขาสิ้นลมหายใจ
'อำมาตย์' และ 'อำมาตยาธิปไตย'
คำว่า 'อำมาตย์' เป็นคำที่กำกวมมาก แล้วผมคิดว่าสังคมใช้คำนี้ไม่เท่ากันเลย ถ้าเราต้องการที่จะเข้าใจคำนี้ เราจำเป็นจะต้องมาดูตั้งแต่ความหมายที่เราใช้กันแต่เดิม และคำว่า อำมาตย์ กับ อำมาตยาธิปไตย ทั้งสองคำนี้ก็ตีความต่างกัน... คือคำมันใช้คำเดียวกัน แต่พอตีความที่แตกต่างกันแล้ว มันจะต่างกันมากเหลือเกิน คำว่า 'อำมาตย์' คำนี้ในความหมายตามรากศัพท์ดั้งเดิม ในภาษาดั้งเดิม หมายถึง ผู้ที่อาศัยอยู่ในบ้าน หรือในครอบครัวของเรา รากศัพท์เดิมมันมาจากรากศัพท์ที่แปลว่า 'บ้าน' หรือ 'ที่อยู่อาศัย' อมาตฺย (อ่านว่า อะ -มาด-ยะ) ในภาษาสันสกฤต ความหมายที่ใกล้เคียงรากศัพท์เดิมมากที่สุดคือ ผู้ที่อาศัยอยู่ในบ้านของเรา ผู้ที่อาศัยอยู่ในครอบครัวของเรา และคำว่า "เรา" ในที่นี้หมายถึง 'พระราชา' เพราะฉะนั้นในความหมายที่ขยายออกมา 'อมาตย์' จึงแปลว่า คนสนิทของพระราชา ที่ปรึกษาของพระราชา และเพื่อนของพระราชา ทีนี้ถ้ามองในแง่ปัจจุบัน ที่ปรึกษาพระราชาก็คือ 'องคมนตรี'
ในภาษาไทยเราใช้คำว่า 'อำมาตย์' เยอะมาก ถ้าเราไปดูในกฎหมายตราสามดวง เราจะเห็นคำสองคำที่คู่กันคือ อำมาตย์ กับ เสนาบดี บางทีก็นำ เสนาบดี ขึ้นต้น ก็เป็น เสนาอมาตย์ ทีนี้ 'เสนา' แปลว่า 'กองทัพ' ส่วน 'บดี' แปลว่า 'ผู้เป็นใหญ่' เสนาบดี ผู้เป็นใหญ่ในกองทัพนั้นหมายถึง แม่ทัพ ดังนั้นเสนาบดีคือขุนนางฝ่ายบู๊ ส่วนอำมาตย์เป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น ในราชสำนักไทยมีเสนา และอำมาตย์ แต่เวลาที่เข้าเฝ้า ทั้งข้าราชการฝ่ายบู๊ และฝ่ายบุ๋น ก็ต้องเข้าเฝ้าพระมหากษัตริย์ด้วยกัน เพราะฉะนั้นคำนี้จึงปรากฏร่วมกันในกฎหมายตราสามดวง อยู่ในทำเนียบของข้าราชการ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ในภาษาไทยจริงๆ แล้วอำมาตย์ แปลว่าข้าราชการที่เป็นฝ่ายบุ๋น แต่ต่อมาคำนี้ความหมาย กว้างขึ้น มีความหมายว่าข้าราชการโดยทั่วไปหรือขุนนางทั่วๆ ไป ถ้าเทียบกับศัพท์ปัจจุบันก็คือ ข้าราชการ จะเห็นว่าคำว่าอำมาตย์ตีความได้เยอะมาก และคิดว่าคนทั่วๆ ไปใช้คำว่าอำมาตย์ค่อนข้างที่จะแตกต่างกัน และเข้าใจแตกต่างกัน มาจนกระทั่งถึงรัชกาลที่ 6 คำว่าอำมาตย์กลายมามีความหมายเฉพาะ หมายถึงเป็นคำเรียกตำแหน่งข้าราชการ เปรียบเสมือนข้าราชการมีตำแหน่ง ซี ข้าราชการพลเรือนในสมัยนั้นจะแบ่งเป็น 3 ระดับ คือระดับรองอำมาตย์ อำมาตย์ และมหาอำมาตย์ แล้วแต่ละระดับยังแบ่งเป็น 3 ชั้น ชั้นตรี ชั้นโท ชั้นเอก รวมเป็น 9 ชั้น ชั้นต่ำที่สุดคือรองอำมาตย์ตรี สูงที่สุดคือ มหาอำมาตย์เอก
เรารู้จักใครบ้างในสมัยนี้ ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ซึ่งมีคำว่าอำมาตย์นำหน้าชื่อ บุคคลที่เรารู้จักคือ บุคคลที่มีตำแหน่งเป็นอำมาตย์โท คือหลวงประดิษฐ์มนูธรรม คือนายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะราษฎรฝ่ายพลเรือน เป็นต้น สมัยเมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 เราทุกคนที่ติดตามการเมืองไทยจะรู้ว่า แม้ว่าเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็นประชาธิปไตย แต่ความจริงการเลือกตั้งทั่วไปที่ประชาชนมีสิทธิเลือกผู้แทนของตัวเองยังไม่ได้เกิดขึ้น ทุกอย่างอยู่ภายใต้การกุมอำนาจของคณะราษฎรทั้งสิ้น ถ้าเราอ่านรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับแรกคือปี 2475 เราก็จะเห็นอำนาจอย่างมากของคณะราษฎร
ถามว่าประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริงหรือไม่ ตามความหมายของประชาธิปไตย คำตอบคือไม่ใช่ แต่จริงๆ แล้วเป็นเผด็จการรูปแบบหนึ่ง เป็นเผด็จการของคนกลุ่มน้อย จะเรียกว่าเผด็จการอำนาจนิยมก็ได้ ซึ่งในกรณีนี้ทำให้นักรัฐศาสตร์ชาวต่างประเทศคิดศัพท์คำหนึ่ง อธิบายปรากฏการณ์การเมืองไทย ซึ่งมันไม่เป็นประชาธิปไตยแท้จริงๆ แต่อยู่ภายใต้การควบคุมของข้าราชการ สายหนึ่งเป็นพลเรือน สายหนึ่งเป็นทหาร สายที่เป็นพลเรือนมีคำว่าอำมาตย์อยู่ ใช้คำศัพท์ว่า Bureaucratic polity แล้วก็มีนักรัฐศาสตร์ไทย แปลคำดังกล่าวว่า 'อำมาตยาธิปไตย' เขาแปลว่าอำนาจประชาธิปไตยไม่ได้อยู่ในมือประชาชน แต่อยู่ในมือของคนที่เป็นอำมาตย์ในสมัยก่อน 2475 ก็คือกลุ่มคณะราษฎร นั่นคือความหมายแรกเริ่มสุดของอำมาตยาธิปไตย
แต่สิ่งที่เราเห็นอยู่อย่างหนึ่งคือ อำมาตยาธิปไตยไม่ใช่ประชาธิปไตย แต่คนเข้าใจว่า ประชาธิปไตยที่มีอยู่เป็น อำมาตย์ ทางฝ่ายคุณทักษิณ Think Thank ของคุณทักษิณ ก็ไปหยิบเอาคำว่าอำมาตยาธิปไตยมาใช้ เสร็จแล้วกำหนดความหมายให้มัน แต่มันมีเค้าความหมายเดิมอยู่ คืออำมาตยาธิปไตยไม่เป็นประชาธิปไตยแท้จริง เพราะฉะนั้นจำเป็นต้องกำจัดอำมาตยาธิปไตยแล้วเปลี่ยนเป็นประชาธิปไตย
แล้วทีนี้คำว่าอำมาตย์ คุณทักษิณก็ให้คำจำกัดความว่า เป็นองคมนตรี เป็นข้าราชการชั้นสูง ซึ่งมีสายสัมพันธ์กับกลุ่มทหารและองคมนตรี ข้าราชการฝ่ายทหารซึ่งเชื่อมโยงกันแล้วสามารถกำหนดความเป็นไปของสภาพการเมืองของประเทศ ถ้าเรามองดีๆ ว่า สายสัมพันธ์ของข้าราชการชั้นสูงที่เชื่อมโยงอยู่กับนักการเมือง มันเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นมาตลอด แม้กระทั่งในรัฐบาลของคุณทักษิณ การคอร์รัปชั่นของนักการเมืองทำตามลำพังผู้เดียวไม่ได้ แม้เราจะประณามว่านักการเมืองชั่วร้าย แต่เราต้องยอมรับว่าถ้าปราศจากการร่วมมือของข้าราชการประจำก็ทำไม่ได้
ดังนั้นจริงๆ แล้ว ถ้าอำมาตย์จะหมายถึงข้าราชการชั้นสูง ก็หมายถึงข้าราการชั้นสูงมาทุกยุคทุกสมัย แม้กระทั่งในสมัยคุณทักษิณ ก็มีภาวะที่เรียกว่าอำมาตยาธิปไตย ถ้าคิดว่ากลุ่มข้าราชการชั้นสูงสามารถฮั้วกันออกแบบการใช้งบประมาณของประเทศ ออกแบบให้การเมืองจำกัดอยู่กับนักการเมืองในลักษณะนี้ ประชาชนไม่มีโอกาสได้เลือกคนที่ตัวเองต้องการเลือกอย่างแท้จริง กลไกทางการเมืองบิดเบือน เพราะฉะนั้นทางกลุ่มเสื้อแดงไม่เคยให้ คำจำกัดความแท้จริงของอำมาตยาธิปไตย แต่ให้คำจำกัดความคำว่า 'อำมาตย์' หมายถึง 'องคมนตรี' อย่างเดียว
ถ้าเรากรองจากคำพูดให้ดี นิยามของอำมาตยาธิปไตย ดูประดุจหนึ่งว่า นิยามของอำมาตยาธิปไตยของฟากเสื้อแดง หมายถึงการปกครองอะไรสักอย่างหนึ่งซึ่งกรอบ หรือแลดูภายนอกเป็นประชาธิปไตย แต่เนื้อในไม่ได้เป็นประชาธิปไตย เหตุที่ไม่เป็นประชาธิปไตย เพราะว่ามี 'ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ' เข้ามาแทรกแซง และผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญก็จะเป็นบุคคลซึ่งทางฝั่งคุณทักษิณ ตีความล่อหลอก แต่ฟากฝั่งเสื้อแดงหมายถึง บุคคลผู้หนึ่ง
เพราะฉะนั้นคำว่าเรียกร้องประชาธิปไตยของเสื้อแดงไม่ใช่การเรียกร้องประชาธิปไตยเพื่อที่จะนำไปสู่การปกครองในระบอบประชาธิปไตย แบบรัฐสภาอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข การปกครองประชาธิปไตยแบบนี้เป็นประชาธิปไตยแท้จริงแบบหนึ่ง ในการปกครองประชาธิปไตยที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน 3 รูปแบบ คือ แบบประธานาธิบดี แบบกึ่งรัฐสภากึ่งประธานาธิบดี และแบบรัฐสภา แบบรัฐสภาแยกเป็น 2 แบบ คือที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และแบบที่มีประชาชนธรรมดา ก็คือมีประธานาธิบดีเป็นประมุข แต่ประธานาธิบดีไม่ใช่หัวหน้าฝ่ายรัฐบาล เป็นเพียงแค่ประมุขของประเทศ แล้วประเทศที่ใช้การปกครองแบบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาที่มีกษัตริย์เป็นประมุขก็มีแบบอย่างให้เห็นมากมาย โดยเฉพาะในยุโรปตะวันตกเป็นประเทศแรกๆ ที่มีการพัฒนาประชาธิปไตยอย่างยั่งยืน อังกฤษนั้นพัฒนาประชาธิปไตยก่อนประเทศอื่นๆ ตั้งแต่ในสมัยตอนต้นศตวรรษที่ 13 มีประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบโดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข จะเห็นว่าพระมหากษัตริย์ไม่ได้เป็นอุปสรรค และไม่ได้ขัดไม่ได้แย้งกับการเรียกร้องประชาธิปไตย
แต่ Think thank ของทักษิณไม่ได้คิดแบบนั้น และเชื่อว่าคุณทักษิณ ก็คิดแบบเดียวกับกุนซือของตัวเอง เราเห็นชัดเจนมาก ถ้อยคำสัมภาษณ์ของคุณจักรภพ (เพ็ญแข) หรือคำพูดของส.ส.พรรคเพื่อไทยที่พูดทางเหนือว่า “ถึงจะแบ่งประเทศ” มันมีนัยยะบางอย่างที่ต้องการเปลี่ยนแปลงระบบที่เราอยู่
ใช้พล.อ.เปรม เป็นลูกหลอก
ทีนี้เพื่อที่จะทำลายเป้าหมายแท้จริงของเขา บางครั้งจิตใต้สำนึกเขาจะเผลอพูดออกมา ถามหน่อยเถอะที่คุณทักษิณออกมาเปิดเผยเองว่าผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ คือพล.อ.เปรม ถามหน่อยว่ามีคนเชื่อมั้ย ผมไม่เชื่อ คือคิดที่จะทำลาย เมื่อทำลายผู้นี้ไม่ได้ก็ต้องทำลายคนรอบข้าง แล้วจะกระทบเอง คุณอยากโค่นต้นก้ามปู คุณต้องการเอามันออกไป แต่เขาห้ามคุณตัด บอกว่าทำอะไรก็ได้แต่ห้ามตัด คุณก็เลยแซะดินรอบข้างออกหมดเลย ถามหน่อยเถอะก้ามปูต้นนี้พอแซะดินรอบข้างออกหมดเลย ก้ามปูต้นนี้โค่นหรือไม่โค่น พอต้นก้ามปูโค่นลงมา ตัดต้นก้ามปู แต่มันไม่ตาย ดังนั้นแซะองคมนตรี ตอนแรกรุกผู้หนึ่ง แต่ตอนนี้พยายามขยายให้มากที่สุด เท่าที่จะมากได้ เราจะเห็นว่า 2-3 อาทิตย์ที่ผ่านมาค่อนข้างมาก และระบุชื่อออกมาชัด และก็ศาล ทำไมเป็นศาล เพราะเป็นหนึ่งอำนาจอธิปไตยหนึ่ง แต่จะเป็นอำนาจที่ไม่เข้ามาพัวพันกับ 2 อำนาจนั้น ในรัฐธรรมนูญของเรา เราถือว่าผู้ใช้อำนาจ พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจตุลาการ
ในวัฒนธรรมของสังคมที่รับรากฐานวัฒนธรรมคนอินเดีย มองในแง่เชิงวัฒนธรรมนะ ไม่ได้แปลว่าสภาพปัจจุบันเป็นเช่นนั้น พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งความยุติธรรม ธรรมคือการยุติ ยุติข้อพิพาท ยุติความขัดแย้ง ธรรมตรงนั้นหมายถึงการรักษาสมดุลของธรรมชาติ รักษากฎของธรรมชาติ และหมายถึงการรักษากฎของสังคม คนไทยไม่รู้หรอกว่าธรรมะไม่ได้แปลว่าธรรมะของพระพุทธเจ้าอย่างเดียว คนไทยอาจจะรู้ว่าธรรมะแปลว่าธรรมชาติ แต่คนไทยไม่รู้หรอกว่าธรรมชาติมีกฎในการควบคุมธรรมชาติ กฎในการควบคุมธรรมชาตินั้นเป็นต้นแบบในการเขียนกฎระเบียบของสังคม กฎระเบียบของสังคมคือกฎหมาย ธรรมคือกฎหมาย ดังนั้นยุติธรรม คือธรรมซึ่งยุติข้อพิพาทความขัดแย้ง
กฎหมายที่ใช้ยุติข้อพิพาท คุณทักษิณก็เล่น 'ยุติความเป็นธรรม' ซึ่งไม่คิดว่าคุณทักษิณจะเล่นด้วยตัวเขาเอง คิดว่าคงมีคนเล่นให้ คำเด็ดๆ ไม่ว่าจะเป็น 'ดอกผลของต้นไม้ที่เป็นพิษย่อมเป็นพิษ' 'ยุติความเป็นธรรม' คงมีคนคิดให้ แต่คุณทักษิณว่าเอง เพราะถ้ามีคนอื่นว่าให้ก็คงไม่ได้ดั่งใจคุณทักษิณ เพราะคุณทักษิณ เป็นมหาซีอีโอของเสื้อแดง คุณทักษิณเป็นคนที่อะไรทำเองได้ทำ ถ้าเราเรียกคุณบรรหาร ว่าเป็นหลงจู๊ อันนี้ก็ต้องเป็นซูเปอร์หลงจู๊ ต้องสายตรง เราจึงได้ยินคำว่าต่อสายตรงถึงนาย คุณทักษิณก็ต่อสายตรงถึงคนเสื้อแดง งานแต่งงาน งานเล็กงานน้อย นั้นสะท้อนให้เห็นว่าคุณทักษิณไม่ไว้เนื้อเชื่อใจใคร
คิดว่าถ้าวันใด คุณทักษิณพูดไม่ได้ เกิดเป็นโรคอะไรสักอย่าง ที่ทำให้พูดไม่ได้ คิดว่าคนนี้บ้าตาย คนนี้ต้องอึดอัดตาย หลายคนเฝ้าจับตามองว่าคนคนนี้จะสติแตกเมื่อไหร่ คนคนนี้จะสติแตกได้ไวขึ้น ถ้าเกิดมีเหตุที่คนคนนี้พูดไม่ได้
รัฐบาลพลัดถิ่น-ฟ้องศาลโลก พลังทางจิตวิทยา
เรื่องของ 'รัฐบาลพลัดถิ่น' หรือ 'ฟ้องศาลโลก' มันเป็นไปไม่ได้ แต่มันมีผลในเชิงจิตวิทยา คนที่รู้กฎหมายต้องเรียกว่ามีไม่มากนัก แม้คนที่ไม่รู้กฎหมายแต่เฝ้าติดตามข่าวสารแล้วเรียนรู้ก็มีไม่มากอยู่ดี ได้รับรู้ข่าวสารแล้วเลือกที่จะไม่เชื่อก็มีอีกเยอะ คุณทักษิณไม่ได้ทำแค่นี้ ถวายฎีกามันทำไม่ได้ก็ทำ ดังนั้นการทำหรือพูดว่าจะทำมันหวังผลทางจิตวิทยามาก แล้วบางอย่างเป็นผลที่มีพลังกระทบรุนแรงในแง่ของการปฏิบัติ เช่นการถวายฎีกา ผลทางด้านมวลชนต้องเรียกว่ามีพลังมหาศาล อันนี้เป็นจิตวิทยาชั้นสูง คิดว่าคุณทักษิณคงใช้ด้วยความเจนจัด
เมื่อมีความเจนจัดในการใช้ภาษาเพื่อปลุกระดมมวลชนมาก แล้วทำให้มวลชนเชื่อมั่น กลายเป็นว่าคุณทักษิณเองเชื่อคำพูดของตัวเองด้วยซ้ำไป แล้วคุณทักษิณก็คงเชื่อกุนซือว่าคาดหวังว่าสำเร็จ ลึกๆ กุนซือก็อยากให้คุณทักษิณสำเร็จ แต่ถ้าไม่สำเร็จก็ภัยมาไม่ถึงตัว โดยเฉพาะช่วงสมัยที่อยู่กับทักษิณ ได้อะไรไปไม่น้อย ก็ทำให้มีทรัพยากรพอที่จะเก็บตัวเงียบๆ อยู่ในประเทศ ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายอยู่ต่างประเทศ และพร้อมที่จะลงมือใหม่เมื่อเล็งเห็นบุคคลที่ฉายแวว เป็นทักษิณ 2 ทักษิณ 3 ดังนั้นกลุ่มนักวิชาการกลุ่มหนึ่งจึงวิจารณ์รัฐบาลว่า อย่าเฝ้าแต่ทำลายทักษิณ เพราะว่าถ้าทักษิณตายไปก็จะมีทักษิณ 2 ทักษิณ 3 เป็นนักวิชาการกลุ่มเสื้อแดง จริงๆ แล้วเป็นจริง แต่คิดว่าคุณทักษิณก็ยังเป็นภัยต่อความมั่นคงและความยั่งยืนของประเทศนี้ เรามองแค่ความมั่นคงอย่างเดียวไม่พอ จริงๆ แล้วเป็นภัยต่อความยั่งยืน ความสงบสุขในระยะยาวของประเทศด้วย
อยากเป็นผู้มีสถานภาพใหม่บุคคลแรกในไทย
ลองตั้งสมมติฐานว่าหลัง 19 ก.ย. ถ้าคุณทักษิณใช้ชีวิตสงบๆ หาความสุขจากทรัพย์สินอันล้นเหลือ ที่ตนมี และไม่ละโมบอยากได้มากกว่านี้ เชื่อว่าใช้ไปอีก 10 ชาติก็ไม่หมด อยากทำอะไรก็ทำได้ สามารถมีความสุขอย่างที่สุด ต้องการได้อะไรได้ ต้องการได้สุราได้ ต้องการได้นารีได้ ต้องการได้สิ่งบันเทิงได้ แต่สิ่งที่ไม่ได้อย่างเดียวคือ 'เกียรติยศ' ในฐานะรัฐมนตรีประเทศนี้ หรือในฐานะที่จะเป็นผู้มีสถานภาพใหม่บุคคลแรกในประวัติศาสตร์การเมืองของประเทศนี้ คุณทักษิณอยู่ในฐานะบุคคลที่มีเงินล้นเหลือ แต่ไม่ได้ต้องการเพียงแค่ความสุขจากเงินอย่างล้นเหลือ แต่ต้องการสถานภาพที่ได้เอ่ยถึงเมื่อสักครู่
เชื่อตัวเองคือพระเจ้ามูลเมือง พระเจ้าตาก
เรื่องอดีตชาติเคยเกิดเป็น 'พระเจ้ามูลเมือง' เคยเกิดเป็น 'พระเจ้าตาก' เป็นความตั้งใจส่วนหนึ่ง และมีความสำเร็จพร้อมๆ กับความล้มเหลว ความสำเร็จคือมีคนรักและศรัทธาเช่นคนเชียงใหม่เชื่อสนิทใจ คนล้านนาเชื่อ แต่ความล้มเหลวด้วยเพราะสังคมทั้งหมดเห็นความมิบังควร จะเห็นว่าคุณทักษิณพยายามที่จะเพ้อฝันว่าตัวเองเป็นพระเจ้าตาก พระเจ้ามูลเมือง สิ่งที่น่าสนใจ มีคนถามว่า คุณทักษิณ เชื่อว่าตัวเองเป็นพระเจ้าตาก พระเจ้ามูลเมือง แล้วคุณทักษิณเองไม่ได้ปฏิเสธว่าตัวเองไม่ใช่
คุณทักษิณตอบในทวิตเตอร์ว่า “อย่าเชื่อคำกล่าวหา มีแต่การสร้างนิยายน้ำเน่าให้คนฟังที่คิดไม่ทันเคลิ้มไปและหลงเชื่อ ผมจะไปรู้ได้อย่างไรว่าชาติที่แล้วผมอยู่ไหน” อ่านจบแล้ว งง เขาพูดว่าชาติที่แล้วผมอยู่ไหน แต่เขาไม่ได้พูดว่าชาติที่แล้วผมเป็นใคร เขาบิดออกไป แต่ที่จริงแล้วเขาไม่ได้ตอบคำถามว่า เชื่อหรือไม่ว่าเขาเป็นพระเจ้าตากกลับชาติ เป็นพระเจ้ามูลเมืองกลับชาติ ในอดีตชาติเขาเคยเป็นพระเจ้าตาก ในอดีตชาติย้อนไปไกลกว่านั้นเขาเป็นพระเจ้ามูลเมือง เขาไม่ได้บอก เขาไม่ได้ปฏิเสธว่า ผมจะไปรู้ได้อย่างไรว่าชาติก่อนๆ ผมเป็นใคร แต่เขากลับบอกว่า รู้ได้อย่างไรว่าชาติที่แล้ว ชาติที่แล้วล่าสุดผมอยู่ที่ไหน ชาติก่อนๆ ไม่ได้แปลว่าชาติที่แล้ว
นี่เป็นสมมติฐาน สมมติผมเป็นทักษิณ แล้วผมเชื่อว่าอดีตชาติอันไกลโพ้น ผมเกิดเป็นพระเจ้ามูลเมือง อดีตชาติอันไกล 200 กว่าปีผมเกิดเป็นพระเจ้าตาก อดีตชาติล่าสุดชาติที่แล้วผมเกิดเป็นใครสักคนก็ไม่รู้ เท่ากับผมไม่ได้ตอบเลยว่าผมเชื่อไม่เชื่อว่าผมเคยเกิดเป็นพระเจ้ามูลเมืองหรือเกิดเป็นพระเจ้าตาก เพราะคุณทักษิณใช้คำว่าชาติที่แล้ว คือชาติล่าสุด แต่ไม่ได้แปลว่าชาติที่แล้วเคยเกิดเป็นพระเจ้าตาก ชาติที่แล้วเคยเกิดเป็นพระเจ้ามูลเมือง พระเจ้ามูลเมืองต้องเป็นอดีตชาติที่ไกลกว่าชาติพระเจ้าตาก
และคุณทักษิณก็ไม่ได้พูดว่าตัวเองเกิดเป็นใคร แต่บอกว่า รู้ได้ยังไงว่าผมอยู่ไหน คิดว่าฉลาดมากที่ตอบคำพูดแบบนี้ จบด้วยคำว่า งง เท่ากับคุณทักษิณปฏิเสธคำพูดของคนถามไปเรียบร้อยแล้ว แต่ที่จริงคำตอบนี้ไม่ได้ปฏิเสธเลย ถึงจะไม่ได้ยอมรับแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ มันไม่ใช่การพูด แต่เป็นการพิมพ์ ได้ผ่านการคิดแล้วด้วย
คนเสื้อแดงไม่ต้องการรายละเอียด
ขอถามหน่อยว่า ประชาชนที่ก่อม็อบเสื้อแดง มีใครสักคนหรือไม่ที่ได้อ่านคำตัดสินกลางของศาลรัฐธรรมนูญ คำวินิจฉัยส่วนตัวของผู้พิพากษาแต่ละคนที่เป็นองค์คณะของศาลรัฐธรรมนูญ อ่านแล้วหรือยัง ถึงได้ออกมาใส่เสื้อแดงชุมนุม แล้วก็บอกว่าศาลสองมาตรฐาน ศาลไม่ยุติธรรม ถ้าใครอ่านแล้วมีเหตุผลโต้แย้ง แล้วบอกว่าศาลตัดสินไม่ยุติธรรม เอาไฮไลต์ขีดออกมา แล้วเดินออกไปประท้วง จะไม่ตำหนิสักคำ แล้วถ้าตนไม่เห็นด้วยกับศาลก็จะเป็นคนเดินออกไปประท้วงด้วย
เราหาอ่านคำตัดสินเหล่านี้ได้ไม่ยากเลย แต่พี่น้องเสื้อแดงไม่ได้อ่าน รับรู้จากแกนนำเสื้อแดง รู้จากทวิตเตอร์ และโฟนอินคุณทักษิณ เสร็จแล้วมันเป็นเรื่องของเลือกที่จะเชื่อ ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรมันไม่ใช่ยุคที่ไม่ได้สนใจความเป็นจริง แต่เป็นยุคที่สนใจ ฉันเชื่อ ซึ่งคิดว่าสังคมไทยภูมิคุ้มกันต่ำมาก ที่จะอยู่ในสังคมข่าวสารในปัจจุบัน และสังคมข่าวสารที่ล้นเหลือมากยิ่งขึ้นในวันพรุ่งนี้ ท่ามกลางยุคที่สังคมที่เต็มไปด้วยข่าวสารจะต้องตัดสินใจว่าเลือกที่จะฟังข่าวสารอะไร แล้วเมื่อตัดสินใจที่จะอ่านต้องอ่านอย่างพินิจพิเคราะห์ และคิดว่าคนไทยภูมิคุ้มกันไม่มากพอที่จะเข้าสู่สังคมสารสนเทศของโลก
คนไทยจึงเชื่อง่าย เสร็จแล้วมันไม่ใช่ความเชื่อ แต่มันเป็นศรัทธาอย่างงมงาย และไม่เลือกเชื่ออีกแล้ว เหมือนกับคนที่ หมูออกลูกมามี 3 หาง แล้วไปกราบไหว้ว่าหมูเป็นเทพเจ้า พูดเท่าไหร่ๆ ก็ไม่เชื่อ ฉันจะกราบไหว้ต่อไป และเชื่อว่านั่นเป็นเทพเจ้านำโชค ไม่แตกต่างกันเลย คนไทยเป็นสังคมไหว้หมูประหลาด แล้วแกนนำหลายคน กลุ่มนักวิชาการหลายคนบอกว่าคนเสื้อแดงไม่โง่ คนเสื้อแดงถูกกดขี่
นักวิชาการเหล่านั้น ช่างโง่เขลาที่เชื่อว่าคนอย่างทักษิณนั้นเรียกร้องความเป็นธรรมเพื่อคนเสื้อแดง นั่นไม่ใช่การเรียกร้องความเป็นธรรมเพื่อคนเสื้อแดง แต่เป็นการเรียกร้องผลประโยชน์เพื่อตัวเอง โดยอาศัยประโยชน์จากคนเสื้อแดงต่างหาก แล้วนักวิชาการหลายคน ไม่เข้าใจว่าทำไมคิดไม่ได้ ว่าคนเสื้อแดงถูกจับมาเป็นทหารร่วมรบ โดยไม่สมัครใจ แล้วถูกหลอกให้ไปรบ ไม่แตกต่างกับทหารที่ถูกคณะราษฎรหลอกมาเดินสวนสนามที่ลานพระบรมรูปทรงม้า ในวันเปลี่ยนแปลงการปกครอง แล้วกลายเป็นว่าทหารเหล่านั้น เป็นทหารของคณะราษฎร ไม่แตกต่างกันเลย