ASTVผู้จัดการรายวัน - ไทยพาณิชย์ตั้งเป้าสินเชื่อรายใหญ่ปี 53 โต 11-14% มั่นใจเป็นไปตามเป้าหมายแน่นอน เนื่องจากลูกค้าหันไปลงทุนขยายธุรกิจในต่างประเทศแทน ล่าสุด จับมือ 3 แบงก์ ปล่อยกู้ร่วมให้บริษัทลูก ปตท.ที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นสิงคโปร์ วงเงินรวม 1.2 หมื่นล้านบาท
นายธันว์ เหรียญสุวรรณ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ สายธุรกิจตลาดทุน ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (SCB) เปิดเผยว่า เป้าหมายการเติบโตสินเชื่อลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ของธนาคารในปี 2553 ที่ตั้งไว้ 11-14% นั้น มีความมั่นใจว่าจะสามารถทำได้ตามที่ตั้งไว้อย่างแน่นอน เนื่องจากบริษัที่มีขนาดใหญ่เริ่มมีแนวโน้มต้องการใช้วงเงินสินเชื่อเพื่อไปขยายธุรกิจมากขึ้น โดยเฉพาะลูกค้าที่ทำธุรกิจในต่างประเทศ เช่น บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (PTT) บริษัทในเครือเจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) (CP) บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) (CPN) และบริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) (BANPU) ซึ่งธนาคารพร้อมที่จะให้การสนับสนุนด้านวงเงินสินเชื่อแก่ลูกค้าหากมีความต้องการขยายธุรกิจไปต่างประเทศ
"ในปีนี้ธุรกิจหรือบริษัทที่มีขนาดใหญ่ของไทยพบว่ามีแผนที่จะขยายธุรกิจไปในต่างประเทศมากขึ้น เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจมีการปรับตัวดีขึ้นจากปี 2552 อีกทั้งช่องว่างในการทำตลาดธุรกิจของบริษัทขนาดใหญ่ภายในประเทศเริ่มเล็กลงแล้ว เพราะมีคู่แข่งหลายรายจึงส่งผลให้รายได้มีการเติบโตไม่มากนัก ดังนั้น กลุ่มลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่จึงหันไปขยายธุรกิจในต่างประเทศมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม จากการที่ธนาคารมีการปล่อยวงเงินสินเชื่อเพื่อให้ลูกค้าลงทุนในต่างประเทศนั้น ก็ยังจะต้องมีการคำนึงถึงความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนและมีการบริหารจัดการในระดับที่ธนาคารรับได้"นายธันว์ กล่าว
ส่วนกรณีปัญหามาบตาพุดที่ขณะนี้ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนนั้น ก็ยังคงเป็นปัจจัยลบที่เสี่ยงต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง และส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการอุตสาหกรรมบางกลุ่มที่เกี่ยวกับพลังงาน อาทิ ธุรกิจปิโตรเคมี จากเดิมที่มีฐานการผลิตอยู่ในประเทศไทยแต่เมื่อเกิดปัญหาดังกล่าวขึ้นก็ได้เริ่มมีการปรับแผนย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่นที่อยู่ในภูมิภาคเดียวกันโดยเฉพาะเวียดนาม
โดยล่าสุด ธนาคารได้ร่วมกับธนาคารพาณิชย์อีก 3 แห่ง ปล่อยกู้ร่วม (ซินดิเคทโลน)ในวงเงินสินเชื่อ 1.2 หมื่นล้านบาท หรือ 380 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และเงินทุนหมุนเวียน 130 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นเงินกู้ระยะยาวอายุ 5 ปี โดยคิดอัตราดอกเบี้ยแบบ Libor 6 เดือน ระหว่าง 0.25-3% บวกด้วยความเสี่ยง ประกอบด้วยธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)(BBL) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)(KTB) และธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) ให้กับบริษัทในเครือ ปตท. ซึ่งเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ประเทศสิงคโปร์ คือ บริษัท Strait Asia Resources (SAR) โดยกลุ่ม ปตท. เป็นผู้ถือหุ้น ซึ่งบริษัทดังกล่าวเป็นผู้ประกอบการเหมืองถ่านหินอยู่ในประเทศอินโดนีเซีย
"ธนาคารไทยพาณิชย์มีสัดส่วนในการปล่อยวงเงินกู้อยู่ที่ประมาณ 35% ขณะที่ธนาคารกรุงเทพ มีสัดส่วนปล่อยกู้ 35% ส่วนที่เหลือเป็นของธนาคารกรุงไทย และธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด สำหรับวงเงินสินเชื่อดังกล่าวบริษัท SAR จะนำไปรีไฟแนนซ์หนี้เดิม เพื่อยืดให้เป็นหนี้ระยะยาวมากขึ้น ซึ่งหากพิจารณาถึงความเสี่ยงในการปล่อยวงเงินสินเชื่อในครั้งนี้ ธนาคารค่อนข้างมีความเชื่อมั่นในกลุ่ม ปตท. จึงเชื่อว่าจะไม่มีปัญหาในการชำระหนี้ ประกอบกับคาดว่าภายในระยะเวลา 5 ปี ความต้องการใช้พลังงานถ่านหินจะยังคงมีอยู่ เนื่องจากเป็นพลังงานที่มีราคาถูกเมื่อเทียบกับแหล่งพลังงานอื่นๆ หากพิจารณาจากความเสี่ยงด้านราคา ขณะที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกปีนี้น่าจะอยู่ที่ระดับ 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลขึ้นไป"นายธันว์ กล่าว
นายธันว์ เหรียญสุวรรณ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ สายธุรกิจตลาดทุน ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (SCB) เปิดเผยว่า เป้าหมายการเติบโตสินเชื่อลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ของธนาคารในปี 2553 ที่ตั้งไว้ 11-14% นั้น มีความมั่นใจว่าจะสามารถทำได้ตามที่ตั้งไว้อย่างแน่นอน เนื่องจากบริษัที่มีขนาดใหญ่เริ่มมีแนวโน้มต้องการใช้วงเงินสินเชื่อเพื่อไปขยายธุรกิจมากขึ้น โดยเฉพาะลูกค้าที่ทำธุรกิจในต่างประเทศ เช่น บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (PTT) บริษัทในเครือเจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) (CP) บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) (CPN) และบริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) (BANPU) ซึ่งธนาคารพร้อมที่จะให้การสนับสนุนด้านวงเงินสินเชื่อแก่ลูกค้าหากมีความต้องการขยายธุรกิจไปต่างประเทศ
"ในปีนี้ธุรกิจหรือบริษัทที่มีขนาดใหญ่ของไทยพบว่ามีแผนที่จะขยายธุรกิจไปในต่างประเทศมากขึ้น เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจมีการปรับตัวดีขึ้นจากปี 2552 อีกทั้งช่องว่างในการทำตลาดธุรกิจของบริษัทขนาดใหญ่ภายในประเทศเริ่มเล็กลงแล้ว เพราะมีคู่แข่งหลายรายจึงส่งผลให้รายได้มีการเติบโตไม่มากนัก ดังนั้น กลุ่มลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่จึงหันไปขยายธุรกิจในต่างประเทศมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม จากการที่ธนาคารมีการปล่อยวงเงินสินเชื่อเพื่อให้ลูกค้าลงทุนในต่างประเทศนั้น ก็ยังจะต้องมีการคำนึงถึงความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนและมีการบริหารจัดการในระดับที่ธนาคารรับได้"นายธันว์ กล่าว
ส่วนกรณีปัญหามาบตาพุดที่ขณะนี้ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนนั้น ก็ยังคงเป็นปัจจัยลบที่เสี่ยงต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง และส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการอุตสาหกรรมบางกลุ่มที่เกี่ยวกับพลังงาน อาทิ ธุรกิจปิโตรเคมี จากเดิมที่มีฐานการผลิตอยู่ในประเทศไทยแต่เมื่อเกิดปัญหาดังกล่าวขึ้นก็ได้เริ่มมีการปรับแผนย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่นที่อยู่ในภูมิภาคเดียวกันโดยเฉพาะเวียดนาม
โดยล่าสุด ธนาคารได้ร่วมกับธนาคารพาณิชย์อีก 3 แห่ง ปล่อยกู้ร่วม (ซินดิเคทโลน)ในวงเงินสินเชื่อ 1.2 หมื่นล้านบาท หรือ 380 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และเงินทุนหมุนเวียน 130 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นเงินกู้ระยะยาวอายุ 5 ปี โดยคิดอัตราดอกเบี้ยแบบ Libor 6 เดือน ระหว่าง 0.25-3% บวกด้วยความเสี่ยง ประกอบด้วยธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)(BBL) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)(KTB) และธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) ให้กับบริษัทในเครือ ปตท. ซึ่งเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ประเทศสิงคโปร์ คือ บริษัท Strait Asia Resources (SAR) โดยกลุ่ม ปตท. เป็นผู้ถือหุ้น ซึ่งบริษัทดังกล่าวเป็นผู้ประกอบการเหมืองถ่านหินอยู่ในประเทศอินโดนีเซีย
"ธนาคารไทยพาณิชย์มีสัดส่วนในการปล่อยวงเงินกู้อยู่ที่ประมาณ 35% ขณะที่ธนาคารกรุงเทพ มีสัดส่วนปล่อยกู้ 35% ส่วนที่เหลือเป็นของธนาคารกรุงไทย และธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด สำหรับวงเงินสินเชื่อดังกล่าวบริษัท SAR จะนำไปรีไฟแนนซ์หนี้เดิม เพื่อยืดให้เป็นหนี้ระยะยาวมากขึ้น ซึ่งหากพิจารณาถึงความเสี่ยงในการปล่อยวงเงินสินเชื่อในครั้งนี้ ธนาคารค่อนข้างมีความเชื่อมั่นในกลุ่ม ปตท. จึงเชื่อว่าจะไม่มีปัญหาในการชำระหนี้ ประกอบกับคาดว่าภายในระยะเวลา 5 ปี ความต้องการใช้พลังงานถ่านหินจะยังคงมีอยู่ เนื่องจากเป็นพลังงานที่มีราคาถูกเมื่อเทียบกับแหล่งพลังงานอื่นๆ หากพิจารณาจากความเสี่ยงด้านราคา ขณะที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกปีนี้น่าจะอยู่ที่ระดับ 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลขึ้นไป"นายธันว์ กล่าว