สัปดาห์ที่แล้วมาจนถึงสัปดาห์นี้ มีการวิพากษ์วิจารณ์กันด้วยเรื่องรัฐบาลพลัดถิ่นกันอย่างคึกคัก และเป็นการวิพากษ์วิจารณ์ไปตามความรู้สึกนึกคิดและอารมณ์บวกลบของแต่ละคน แต่ก็ได้สะท้อนให้เห็นความรู้สึกในภาพรวมของสังคมว่าไม่ยินยอมให้ประเทศไทยมีรัฐบาลพลัดถิ่น
ดังนั้นใครที่หูไม่หนวก ตาไม่บอด และยังมีสติสัมปชัญญะดี ไม่มีอาการวิปริตวิปลาส ก็ย่อมฟัง ย่อมเข้าใจ และย่อมรู้ได้กระจ่างใจ
เรื่องรัฐบาลพลัดถิ่นนั้นโด่งดังขึ้นมาก็เพราะคำพูดคำจาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร คนดังแห่งยุคสมัย ที่ถ้าหากเป็นสินค้าแล้วปะยี่ห้อนี้ก็เป็นอันว่าได้รับความสนใจแน่ คือได้รับความสนใจทั้งทางบวกและทางลบ ชนิดที่น่าทึ่งทีเดียว
อยู่ดีไม่ว่าดี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็ได้วิดีโอลิงก์เข้ามาพูดกับคนเสื้อแดง ซึ่งไปตากลมหนาวลมๆ แล้งๆ อยู่ที่เขายายเที่ยง ว่าถ้าทหารปฏิวัติก็พร้อมจะตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น
ทำให้เกิดเสียงวี๊ดว๊ายกระตู้ฮู้เฮฮาปาร์ตี้กันอย่างครื้นเครง ในท่ามกลางหมู่คนเสื้อแดง โดยที่หารู้ไม่ว่ายังพอมีบุญหลงเหลืออยู่บ้างที่มีถ้อยคำบางคำกำกับไว้ หาไม่แล้วก็จะกลายเป็นกบฏต่อราชอาณาจักรไทยไปแล้ว
ที่รอดตัวไปก็เพราะมีคำว่า ถ้าทหารปฏิวัติ กำกับอยู่ ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่ไม่แน่นอน ทำให้ถ้อยคำที่ว่าพร้อมจะตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นเป็นเรื่องไม่แน่นอน ไม่ถึงขั้นเป็นความพยายามกระทำความผิด จึงเอาผิดอะไรไม่ได้
เพราะความผิดฐานกบฏต่อราชอาณาจักรนั้นเพียงแค่ขั้นพยายามกระทำความผิด หรือเตรียมการที่จะกระทำความผิดก็ถือว่าเป็นความผิดสำเร็จแล้ว และเป็นความผิดมีโทษฉกรรจ์นักหนาถึงขั้นประหารชีวิต
ถ้าเป็นสมัยก่อน การกบฏนั้นมีโทษประหารถึง 7 ชั่วโคตร คือนอกจากตัวผู้กระทำความผิดต้องถูกประหารชีวิตแล้ว ยังไล่ขึ้นบนไปอีก 3 ชั่วโคตร คือพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย จนถึงชวดหรือทวด และไล่ลงล่างอีก 3 ชั่วโคตร คือลูก หลาน เหลน รวมเป็น 7 ชั่วโคตร และต้องริบทรัพย์สินเป็นราชบาทด้วย
แม้ในปัจจุบันนี้หากใครต้องข้อหากบฏต่อราชอาณาจักรแล้ว อย่าคิดว่าความผิดจะติดอยู่แค่ตัวเอง มันยังส่งผลกระทบกระเทือนไปกว้างขวางนัก ให้ดูอาการที่โยนก้อนหินลงไปในสระแล้วเกิดแรงกระเพื่อมเป็นวงกว้างอย่างไร การเป็นกบฏต่อราชอาณาจักรก็มีผลกระทบกระเทือนอย่างนั้น
และถ้ามีความรุนแรงเกิดขึ้น แรงกระเพื่อมผลกระทบก็ยิ่งหนักหน่วงรุนแรงด้วย จะรุนแรงไปถึงไหน กระทบไปถึงไหน อย่างไร ก็ลองนึกคิดกันเอาเอง หรือแม้นหากจะสงสัยก็ไต่ถามพวกหัวหมอคอทนายก็ได้
เอาเป็นว่าเรื่องตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นนั้นมาดังฮือฮาขึ้นก็เพราะคำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แต่ยังไม่เป็นความผิดทางอาญาฐานกบฏต่อราชอาณาจักร เพราะมีเงื่อนไขที่ไม่แน่นอนกำกับไว้ จึงรอดตัวไปอย่างหวุดหวิด พวกสานุศิษย์ทั้งหลายจึงควรที่จะได้คิดตั้งสติกันไว้ให้จงดี
ดังนั้นเรื่องรัฐบาลพลัดถิ่น ณ เวลานี้จึงเป็นแค่คำพูดเอามันส์ โดยแฝงเงื่อนไขที่ไม่นอนและไม่จริงจังอะไรเอาไว้ด้วย ยังถือเป็นแก่นสารอะไรไม่ได้
และถ้าจะให้ฟันธงกันในวันนี้ ก็ฟันธงได้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะไม่มีวันตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น และตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นไม่ได้
เหตุผลเบื้องต้นที่ง่ายที่สุดก็คือ ถ้าจะตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นก็คงตั้งเสียตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน 2549 ซึ่งเป็นวันยึดอำนาจโน่นแล้ว แต่ที่ไม่ตั้งกระทั่งเวลาล่วงเลยมาถึงวันนี้ก็เพราะไม่มีเจตนาที่จะตั้งนั่นเอง และถึงวันนี้ก็ไม่มีเงื่อนไขใดที่จะตั้งได้
เรามาทำความเข้าใจกันถึงเรื่องรัฐบาลพลัดถิ่นกันสักหน่อยหนึ่ง เพื่อที่จะได้เกิดความรู้ เกิดความเข้าใจ ว่าเรื่องไหนเป็นเรื่องจริง เรื่องไหนเป็นเรื่องเพ้อเจ้อเพ้อฝัน หรือว่าเป็นเรื่องพูดกันเอามันส์สนุกปาก
อันรัฐบาลพลัดถิ่นนั้น ชาวโลกรู้จักมักคุ้นเป็นอย่างดีตั้งแต่กรณีที่มีมาในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง อันเนื่องจากกองทัพของฝ่ายอักษะเข้ายึดครองประเทศต่างๆ ในยุโรป ทำให้รัฐบาลของประเทศนั้นๆ ไม่สามารถบริหารบ้านเมืองในประเทศของตนเองได้
ต้องหลบหนีออกไปตั้งหน่วยบริหารอยู่ในต่างแดน จึงเป็นที่มาและจึงได้ชื่อว่าเป็นรัฐบาลพลัดถิ่น
ในระยะใกล้ๆ มานี้ก็มีกรณีรัฐบาลพลัดถิ่นขึ้นในตะวันออกกลาง เมื่อครั้งที่กองทัพอิรักกรีธาทัพเข้าไปยึดครองประเทศคูเวต เป็นเหตุให้รัฐบาลของคูเวตไม่สามารถบริหารบ้านเมืองในประเทศของตนได้ ต้องเคลื่อนย้ายไปตั้งหลักปักฐานอยู่ในอังกฤษ
และได้ใช้สำนักงานลงทุนแห่งชาติคูเวตซึ่งมีที่ทำการอยู่ในอังกฤษเป็นที่ทำการของรัฐบาลพลัดถิ่น ทำการต่อสู้กับกองทัพอิรัก จนในที่สุดเมื่ออิรักต้องถอนทัพกลับ รัฐบาลพลัดถิ่นนั้นจึงได้กลับมาบริหารบ้านเมืองดังแต่ก่อน
เพราะเหตุนี้ความเป็นรัฐบาลพลัดถิ่นจะมีขึ้นได้ก็ต้องอาศัยเงื่อนไขข้อแรก คือ ต้องมีฐานะเป็นรัฐบาลอยู่อย่างต่อเนื่อง ไม่ขาดสาย ขาดตอน แต่รัฐบาลนั้นไม่สามารถบริหารบ้านเมืองในดินแดนของประเทศตนได้ ต้องอพยพไปตั้งหลักปักฐานบริหารอยู่ในต่างแดน
แล้วถามว่าในวันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีฐานะเป็นรัฐบาลหรือไม่? ก็ตอบได้ว่าไม่มีฐานะเป็นรัฐบาล โดยความเป็นนายกรัฐมนตรีได้สิ้นสุดลงตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน 2549 แล้ว และตลอดเวลาที่ผ่านมาก็ได้ยอมรับฐานะที่ถูกยึดอำนาจและพ้นจากตำแหน่งไปแล้ว ความเป็นนายกรัฐมนตรีหรือหัวหน้ารัฐบาลจึงเป็นอันสิ้นสุดลงตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน 2549 เป็นต้นมา
การเดินทางเข้ามาประเทศไทยในยุครัฐบาลพรรคพลังประชาชน ก็คือการยอมรับฐานะแค่พลเมืองของประเทศไทยที่ไม่มีฐานะตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีหรือหัวหน้ารัฐบาลอย่างชัดเจนที่สุด
ดังนั้นถึงแม้ตัวจะอยู่ในต่างประเทศ แต่เมื่อไม่ได้เป็นรัฐบาลก็ไม่มีเงื่อนไขอันใดที่จะตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นได้
ในประการถัดมา ประเทศไทยนั้นเป็นประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งไม่ว่าในสถานการณ์ไหน พระมหากษัตริย์ก็ทรงดำรงฐานะประมุขแห่งรัฐ
รัฐบาลทั้งหลายล้วนเป็นรัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ความเป็นรัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเกิดขึ้นโดยพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายกรัฐมนตรี และนายกรัฐมนตรีนำความกราบบังคมทูลเสนอโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งรัฐมนตรีประกอบขึ้นเป็นคณะรัฐมนตรีหรือรัฐบาล
ไม่มีใครตั้งตัวเองเป็นนายกรัฐมนตรีได้นอกจากที่เห็นในลิเก หรืออาการประหลาดๆ ของคนวิปริตหรือคนบ้าบางคน ที่เที่ยวเรียกตนเองเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ตามข้างฟุตปาธ
ดังนั้นในวันนี้จึงไม่มีทางที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะตั้งตนเองเป็นนายกรัฐมนตรี หรือเป็นหัวหน้ารัฐบาลได้เลย
เมื่อไม่มีทางที่จะเป็นหัวหน้ารัฐบาลหรือนายกรัฐมนตรีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ถึงจะอยู่ที่ไหนๆ ก็ไม่มีฐานะเป็นรัฐบาล และเมื่อไม่มีฐานะเป็นรัฐบาลแล้ว ก็ไม่มีทางที่จะเป็นรัฐบาลพลัดถิ่นได้
ในประการถัดมาอีก ต่อให้เป็นรัฐบาลอยู่แล้ว การจะเป็นรัฐบาลพลัดถิ่นได้นั้นไม่ใช่นึกเอาเอง หรือตั้งตนเอาเองได้ แต่ต้องมีประเทศหรือดินแดนที่จะไปตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นทำการบริหารบ้านเมืองได้
วันนี้ยังไม่มีประเทศไหนที่ประกาศยินยอมให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไปตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น แม้ประเทศเขมรหรือสวาซิแลนด์ก็ไม่เคยแถลงหรือประกาศในลักษณะนั้น มีแต่ถูกอ้างข้างเดียว
สภาพอย่างนี้จึงยังเทียบไม่ได้กับอดีตนายพลโบเมียะหรือเจ้ายอดศึกที่ประกาศตนเป็นรัฐบาลพลัดถิ่นต่อสู้กับรัฐบาลพม่าเลย
ในประการที่สำคัญที่สุดคือ การจะเป็นรัฐบาลพลัดถิ่นได้นั้น นอกจากจะต้องมีฐานะเป็นรัฐบาลที่ชอบด้วยกฎหมาย ที่บริหารบ้านเมืองอย่างต่อเนื่อง และมีรัฐหรือดินแดนที่จะไปตั้งหลักปักฐานบริหารบ้านเมืองแล้ว ยังต้องมีกองทัพของตนเอง และยังต้องได้รับการรับรองจากประชาคมโลกหรือแม้แต่องค์การสหประชาชาติด้วย
และในวันนี้ก็ไม่มีสถานะเช่นนั้นดำรงอยู่ ขืนไปยืนประกาศอยู่กลางทุ่งหรือตามชายแดนว่าเป็นรัฐบาลพลัดถิ่น ก็มีแต่จะถูกแสนยานุภาพของกองทัพในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและของประชาชนเข้าบดขยี้จนไม่เหลือซากเท่านั้นเอง.
ดังนั้นใครที่หูไม่หนวก ตาไม่บอด และยังมีสติสัมปชัญญะดี ไม่มีอาการวิปริตวิปลาส ก็ย่อมฟัง ย่อมเข้าใจ และย่อมรู้ได้กระจ่างใจ
เรื่องรัฐบาลพลัดถิ่นนั้นโด่งดังขึ้นมาก็เพราะคำพูดคำจาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร คนดังแห่งยุคสมัย ที่ถ้าหากเป็นสินค้าแล้วปะยี่ห้อนี้ก็เป็นอันว่าได้รับความสนใจแน่ คือได้รับความสนใจทั้งทางบวกและทางลบ ชนิดที่น่าทึ่งทีเดียว
อยู่ดีไม่ว่าดี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็ได้วิดีโอลิงก์เข้ามาพูดกับคนเสื้อแดง ซึ่งไปตากลมหนาวลมๆ แล้งๆ อยู่ที่เขายายเที่ยง ว่าถ้าทหารปฏิวัติก็พร้อมจะตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น
ทำให้เกิดเสียงวี๊ดว๊ายกระตู้ฮู้เฮฮาปาร์ตี้กันอย่างครื้นเครง ในท่ามกลางหมู่คนเสื้อแดง โดยที่หารู้ไม่ว่ายังพอมีบุญหลงเหลืออยู่บ้างที่มีถ้อยคำบางคำกำกับไว้ หาไม่แล้วก็จะกลายเป็นกบฏต่อราชอาณาจักรไทยไปแล้ว
ที่รอดตัวไปก็เพราะมีคำว่า ถ้าทหารปฏิวัติ กำกับอยู่ ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่ไม่แน่นอน ทำให้ถ้อยคำที่ว่าพร้อมจะตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นเป็นเรื่องไม่แน่นอน ไม่ถึงขั้นเป็นความพยายามกระทำความผิด จึงเอาผิดอะไรไม่ได้
เพราะความผิดฐานกบฏต่อราชอาณาจักรนั้นเพียงแค่ขั้นพยายามกระทำความผิด หรือเตรียมการที่จะกระทำความผิดก็ถือว่าเป็นความผิดสำเร็จแล้ว และเป็นความผิดมีโทษฉกรรจ์นักหนาถึงขั้นประหารชีวิต
ถ้าเป็นสมัยก่อน การกบฏนั้นมีโทษประหารถึง 7 ชั่วโคตร คือนอกจากตัวผู้กระทำความผิดต้องถูกประหารชีวิตแล้ว ยังไล่ขึ้นบนไปอีก 3 ชั่วโคตร คือพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย จนถึงชวดหรือทวด และไล่ลงล่างอีก 3 ชั่วโคตร คือลูก หลาน เหลน รวมเป็น 7 ชั่วโคตร และต้องริบทรัพย์สินเป็นราชบาทด้วย
แม้ในปัจจุบันนี้หากใครต้องข้อหากบฏต่อราชอาณาจักรแล้ว อย่าคิดว่าความผิดจะติดอยู่แค่ตัวเอง มันยังส่งผลกระทบกระเทือนไปกว้างขวางนัก ให้ดูอาการที่โยนก้อนหินลงไปในสระแล้วเกิดแรงกระเพื่อมเป็นวงกว้างอย่างไร การเป็นกบฏต่อราชอาณาจักรก็มีผลกระทบกระเทือนอย่างนั้น
และถ้ามีความรุนแรงเกิดขึ้น แรงกระเพื่อมผลกระทบก็ยิ่งหนักหน่วงรุนแรงด้วย จะรุนแรงไปถึงไหน กระทบไปถึงไหน อย่างไร ก็ลองนึกคิดกันเอาเอง หรือแม้นหากจะสงสัยก็ไต่ถามพวกหัวหมอคอทนายก็ได้
เอาเป็นว่าเรื่องตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นนั้นมาดังฮือฮาขึ้นก็เพราะคำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แต่ยังไม่เป็นความผิดทางอาญาฐานกบฏต่อราชอาณาจักร เพราะมีเงื่อนไขที่ไม่แน่นอนกำกับไว้ จึงรอดตัวไปอย่างหวุดหวิด พวกสานุศิษย์ทั้งหลายจึงควรที่จะได้คิดตั้งสติกันไว้ให้จงดี
ดังนั้นเรื่องรัฐบาลพลัดถิ่น ณ เวลานี้จึงเป็นแค่คำพูดเอามันส์ โดยแฝงเงื่อนไขที่ไม่นอนและไม่จริงจังอะไรเอาไว้ด้วย ยังถือเป็นแก่นสารอะไรไม่ได้
และถ้าจะให้ฟันธงกันในวันนี้ ก็ฟันธงได้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะไม่มีวันตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น และตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นไม่ได้
เหตุผลเบื้องต้นที่ง่ายที่สุดก็คือ ถ้าจะตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นก็คงตั้งเสียตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน 2549 ซึ่งเป็นวันยึดอำนาจโน่นแล้ว แต่ที่ไม่ตั้งกระทั่งเวลาล่วงเลยมาถึงวันนี้ก็เพราะไม่มีเจตนาที่จะตั้งนั่นเอง และถึงวันนี้ก็ไม่มีเงื่อนไขใดที่จะตั้งได้
เรามาทำความเข้าใจกันถึงเรื่องรัฐบาลพลัดถิ่นกันสักหน่อยหนึ่ง เพื่อที่จะได้เกิดความรู้ เกิดความเข้าใจ ว่าเรื่องไหนเป็นเรื่องจริง เรื่องไหนเป็นเรื่องเพ้อเจ้อเพ้อฝัน หรือว่าเป็นเรื่องพูดกันเอามันส์สนุกปาก
อันรัฐบาลพลัดถิ่นนั้น ชาวโลกรู้จักมักคุ้นเป็นอย่างดีตั้งแต่กรณีที่มีมาในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง อันเนื่องจากกองทัพของฝ่ายอักษะเข้ายึดครองประเทศต่างๆ ในยุโรป ทำให้รัฐบาลของประเทศนั้นๆ ไม่สามารถบริหารบ้านเมืองในประเทศของตนเองได้
ต้องหลบหนีออกไปตั้งหน่วยบริหารอยู่ในต่างแดน จึงเป็นที่มาและจึงได้ชื่อว่าเป็นรัฐบาลพลัดถิ่น
ในระยะใกล้ๆ มานี้ก็มีกรณีรัฐบาลพลัดถิ่นขึ้นในตะวันออกกลาง เมื่อครั้งที่กองทัพอิรักกรีธาทัพเข้าไปยึดครองประเทศคูเวต เป็นเหตุให้รัฐบาลของคูเวตไม่สามารถบริหารบ้านเมืองในประเทศของตนได้ ต้องเคลื่อนย้ายไปตั้งหลักปักฐานอยู่ในอังกฤษ
และได้ใช้สำนักงานลงทุนแห่งชาติคูเวตซึ่งมีที่ทำการอยู่ในอังกฤษเป็นที่ทำการของรัฐบาลพลัดถิ่น ทำการต่อสู้กับกองทัพอิรัก จนในที่สุดเมื่ออิรักต้องถอนทัพกลับ รัฐบาลพลัดถิ่นนั้นจึงได้กลับมาบริหารบ้านเมืองดังแต่ก่อน
เพราะเหตุนี้ความเป็นรัฐบาลพลัดถิ่นจะมีขึ้นได้ก็ต้องอาศัยเงื่อนไขข้อแรก คือ ต้องมีฐานะเป็นรัฐบาลอยู่อย่างต่อเนื่อง ไม่ขาดสาย ขาดตอน แต่รัฐบาลนั้นไม่สามารถบริหารบ้านเมืองในดินแดนของประเทศตนได้ ต้องอพยพไปตั้งหลักปักฐานบริหารอยู่ในต่างแดน
แล้วถามว่าในวันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีฐานะเป็นรัฐบาลหรือไม่? ก็ตอบได้ว่าไม่มีฐานะเป็นรัฐบาล โดยความเป็นนายกรัฐมนตรีได้สิ้นสุดลงตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน 2549 แล้ว และตลอดเวลาที่ผ่านมาก็ได้ยอมรับฐานะที่ถูกยึดอำนาจและพ้นจากตำแหน่งไปแล้ว ความเป็นนายกรัฐมนตรีหรือหัวหน้ารัฐบาลจึงเป็นอันสิ้นสุดลงตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน 2549 เป็นต้นมา
การเดินทางเข้ามาประเทศไทยในยุครัฐบาลพรรคพลังประชาชน ก็คือการยอมรับฐานะแค่พลเมืองของประเทศไทยที่ไม่มีฐานะตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีหรือหัวหน้ารัฐบาลอย่างชัดเจนที่สุด
ดังนั้นถึงแม้ตัวจะอยู่ในต่างประเทศ แต่เมื่อไม่ได้เป็นรัฐบาลก็ไม่มีเงื่อนไขอันใดที่จะตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นได้
ในประการถัดมา ประเทศไทยนั้นเป็นประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งไม่ว่าในสถานการณ์ไหน พระมหากษัตริย์ก็ทรงดำรงฐานะประมุขแห่งรัฐ
รัฐบาลทั้งหลายล้วนเป็นรัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ความเป็นรัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเกิดขึ้นโดยพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายกรัฐมนตรี และนายกรัฐมนตรีนำความกราบบังคมทูลเสนอโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งรัฐมนตรีประกอบขึ้นเป็นคณะรัฐมนตรีหรือรัฐบาล
ไม่มีใครตั้งตัวเองเป็นนายกรัฐมนตรีได้นอกจากที่เห็นในลิเก หรืออาการประหลาดๆ ของคนวิปริตหรือคนบ้าบางคน ที่เที่ยวเรียกตนเองเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ตามข้างฟุตปาธ
ดังนั้นในวันนี้จึงไม่มีทางที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะตั้งตนเองเป็นนายกรัฐมนตรี หรือเป็นหัวหน้ารัฐบาลได้เลย
เมื่อไม่มีทางที่จะเป็นหัวหน้ารัฐบาลหรือนายกรัฐมนตรีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ถึงจะอยู่ที่ไหนๆ ก็ไม่มีฐานะเป็นรัฐบาล และเมื่อไม่มีฐานะเป็นรัฐบาลแล้ว ก็ไม่มีทางที่จะเป็นรัฐบาลพลัดถิ่นได้
ในประการถัดมาอีก ต่อให้เป็นรัฐบาลอยู่แล้ว การจะเป็นรัฐบาลพลัดถิ่นได้นั้นไม่ใช่นึกเอาเอง หรือตั้งตนเอาเองได้ แต่ต้องมีประเทศหรือดินแดนที่จะไปตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นทำการบริหารบ้านเมืองได้
วันนี้ยังไม่มีประเทศไหนที่ประกาศยินยอมให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไปตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น แม้ประเทศเขมรหรือสวาซิแลนด์ก็ไม่เคยแถลงหรือประกาศในลักษณะนั้น มีแต่ถูกอ้างข้างเดียว
สภาพอย่างนี้จึงยังเทียบไม่ได้กับอดีตนายพลโบเมียะหรือเจ้ายอดศึกที่ประกาศตนเป็นรัฐบาลพลัดถิ่นต่อสู้กับรัฐบาลพม่าเลย
ในประการที่สำคัญที่สุดคือ การจะเป็นรัฐบาลพลัดถิ่นได้นั้น นอกจากจะต้องมีฐานะเป็นรัฐบาลที่ชอบด้วยกฎหมาย ที่บริหารบ้านเมืองอย่างต่อเนื่อง และมีรัฐหรือดินแดนที่จะไปตั้งหลักปักฐานบริหารบ้านเมืองแล้ว ยังต้องมีกองทัพของตนเอง และยังต้องได้รับการรับรองจากประชาคมโลกหรือแม้แต่องค์การสหประชาชาติด้วย
และในวันนี้ก็ไม่มีสถานะเช่นนั้นดำรงอยู่ ขืนไปยืนประกาศอยู่กลางทุ่งหรือตามชายแดนว่าเป็นรัฐบาลพลัดถิ่น ก็มีแต่จะถูกแสนยานุภาพของกองทัพในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและของประชาชนเข้าบดขยี้จนไม่เหลือซากเท่านั้นเอง.