ASTVผู้จัดการรายวัน - สาลี่อุตสาหกรรม ปีนี้ขอโต 10-15% จากการรับรู้รายได้ พาโก้ สาลี่พริ้นท์ติ้ง เต็มปี และ เอสซี วาโด แนวโน้มดีต่อเนื่องตามการฟื้นตัวของเศรฐกิจโลก ขณะผลิตชิ้นส่วนพลาสติกยังคงไปได้สวย พร้อมคุมต้นทุนการดำเนินงานให้ต่ำ เตรียมงบลงทุนปีนี้ 100 ล้านบาท ซื้อเครื่องจักรใหม่รองรับออร์เดอร์ขยับ
นายสุพจน์ สุนทรินคะ ผู้จัดการแผนกนักลงทุนสัมพันธ์และพัฒนาธุรกิจ บริษัท สาลี่อุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) (SALEE) เปิดเผยผลงานปี 53 ว่าบริษัทคาดว่าผลการดำเนินงานปีนี้น่าจะเติบโตจากปีก่อนประมาณ 10-15% จากปี 52 ที่บริษัทเคยประเมินไว้เมื่อต้นปีดังกล่าวว่าจะมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 1 พันล้านบาท อาจบวกลบเล็กน้อยตามภาวะเศรษฐกิจ แม้ตัวเลขผลงานไตรมาส 4 ปี 52 ยังไม่ประกาศออกมาเพราะขณะนี้อยู่ระหว่างให้ผู้ตรวจสอบบัญชีตรวจสอบตัวเลขงบการเงิน แม้กระนั้นผลงานปี 52 บริษัทได้หั่นเป้าการเติบโตไว้เพียง 10-15% ต่ำกว่าการตั้งเป้าครั้งแรกที่ 20-30% หลังเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ
โดยผลงานปีนี้ที่คาดว่าจะเติบโตได้ต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเพราะผลจากการรับรู้รายได้จากบริษัทร่วมทุนอย่าง บริษัท พาโก้ สาลี่ พริ้นท์ติ้ง จำกัด ที่มีบริษัท พาโก้ โฮลดิ้ง เอจี ( PAGO ) หนึ่งในผู้ผลิตฉลากผลิตภัณฑ์และเครื่องติดฉลากชั้นนำของโลก จากประเทศสวิสเซอร์แลนด์ เข้าถือหุ้น 30% ร่วมกับ SALEE
" PAGO ส่งออร์เดอร์มาให้กับเรา ปีนี้จะเห็นผลชัดเจนเต็มปี เพราะส่งผ่านออเดอร์จากลูกค้าในแถบยุโรปที่ใช้ฐานการผลิตในไทย ให้มาสั่งซื้อสินค้าจาก พาโก้ สาลี่ พริ้นท์ติ้ง แทนแล้ว เพื่อเป็นการรวมศูนย์การผลิตให้อยู่ที่เดียวกัน ซึ่งจะเห็นรายได้ชัดเจนมากกว่าปีที่ผ่านมา หากลูกค้าเชื่อมั่นในการผลิตของ พาโก้ สาลี่ พริ้นท์ติ้ง มากขึ้น ก็จะส่งผลให้ยอดการสั่งซื้อสินค้าเพิ่มสูงไปด้วย เพราะ PAGO มีเครือข่ายอยู่ทั่วโลก "
สำหรับผลงานไตรมาส 3 ปี 52 พบว่า SALEE มีกำไรสุทธิ 57.24 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 23.73 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 33.51 ล้านบาท อันเป็นผลจากการรับรู้กำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นจากพาโก้ สาลี่ พริ้นท์ติ้ นั่นเอง
นอกจากในส่วนของรายได้จาก บริษัท เอสซี วาโด จำกัด ที่ผลิตชิ้นส่วน hard disk ก็มีแนวโน้มดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก เนื่องจากธุรกิจชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์มีแนวโน้มดีขึ้นมาตั้งแต่ปลายปี 52 แล้ว และเชื่อว่าจะดีขึ้นต่อเนื่อง ซึ่ง SALEE ประเมินไว้ว่ารายได้จากบริษัทย่อยแห่งนี้จะไม่ต่ำกว่า 400 ล้านบาทต่อปี ขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบถือว่ายังบริหารได้ และหากค่าเงินบาทแข็งค่าจะกลายเป็นผลดีต่อบริษัทลูกแห่งนี้ เพราะจะหนุนมาร์จิ้นขยับเพิ่ม
แม้ว่าธุรกิจชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์จะซบเซาเมื่อปี 51 จนถึงต้นปี 52 แต่ลูกค้าที่สำคัญของ เอสซี วาโด ส่วนใหญ่อยู่ในญี่ปุ่น ขณะที่บริษัทเองก็เป็นเพียงซัพพลายเออร์รายย่อยเทานั้นจึงกระทบไม่มากนัก เพราะบริษัทใหญ่ ๆ หากต้องการลดออร์เดอร์ลงเชื่อว่าน่าจะลดในส่วนของซัพพลายเออร์รายใหญ่มากกว่ารายเล็ก ๆ
" ราคาวัตถุดิบถือว่าปัจจุบัน เรายังบริหารและรับมือได้ เพราะราคาน้ำมันหากไม่เกิน 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาเรล ก็ถือว่าปกติและไม่ผันผวนแต่หากทะลุเกิน 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาเรล เราก็ต้องมานั่งปรับแผนงานการบริหารต้นทุนกันอีกรอบเพื่อรับกับเหตุการณ์ รวมทั้งการควบคุมต้นทุนการผลิตและการบริหารงานของบริษัทให้ต่ำ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราทำกันมาตลอด "
เนื่องจากปัจจุบันในส่วนของ SALEE บริษัทแม่ที่ดำเนินธุรกิจผลิตชิ้นส่วนพลาสติกส่งออกเป็นหลัก และยังคงเติบโตด้วยดี จึงเชื่อว่าภาพรวมของธุรกิจของบริษัทปีนี้น่าจะสดใส ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าหากเศรษฐกิจโลกยังมีแนวโน้มฟื้นตัวเช่นปัจจุบัน และไม่มีเหตุการณ์ในเชิงลบมาทำให้เกิดวิกฤตอีกครั้ง
สำหรับปี 53 SALEE ตั้งงงบลงทุนไว้ที่ 100 ล้านบาท เพื่อใช้ในการซื้อเครื่องจักรใหม่ หากพบว่าตลาดต้องการสินค้าสูง รองรับออร์เดอร์ที่จะเข้ามา ซึ่งเม็ดเงินดังกล่าวอาจได้ใช้หรือไม่ก็ได้ เพราะขึ้นอยู่กับดีมานด์ของลูกค้าว่าจะมีเพิ่มขึ้นหรือไม่ และปีนี้เป็นปีที่บริษัทไม่เน้นการขยายงานหรือลงทุนเพิ่ม แต่ก็ไม่ได้ปฎิเสธ เพราะหากโอกาสเอื้อและเหมาะสมก็พร้อมจะลงทุนเหมือนที่ผ่านมา เพราะภาวะเศรษฐกิจขณะนี้ต้องระมัดระวังการลงทุน
นายสุพจน์กล่าวว่าปัจจุบันสัดส่วนรายได้ของ SALEE ยังคงเป็นมาจาก เอสซี วาโด 40% พาโก้ สาลี่ พริ้นท์ติ้ง 30 % และ SALEEE บริษัทแม่ 30% แม้ว่าจากการประเมินภาพรวมแล้วจะพบว่าในส่วนของ พาโก้ สาลี่ พริ้นท์ติ้ง ผลงานน่าจะโดดเด่นมากในปีนี้ แต่บริษัทเชื่อว่าสัดส่วนรายได้ไม่น่าจะเปลี่ยนไปจากเดิมมากนัก เพราะในส่วนอื่นเชื่อว่ารายได้ก็น่าจะเติบโตไปในทิศทางเดียวกัน
ขณะที่ราคาหุ้นเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาพบว่า ราคาหุ้น SALEE ปิดที่ 3.04 บาท เพิ่มขึ้น 0.02 บาท หรือเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น 0.66% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 0.79 ล้านบาท
นายสุพจน์ สุนทรินคะ ผู้จัดการแผนกนักลงทุนสัมพันธ์และพัฒนาธุรกิจ บริษัท สาลี่อุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) (SALEE) เปิดเผยผลงานปี 53 ว่าบริษัทคาดว่าผลการดำเนินงานปีนี้น่าจะเติบโตจากปีก่อนประมาณ 10-15% จากปี 52 ที่บริษัทเคยประเมินไว้เมื่อต้นปีดังกล่าวว่าจะมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 1 พันล้านบาท อาจบวกลบเล็กน้อยตามภาวะเศรษฐกิจ แม้ตัวเลขผลงานไตรมาส 4 ปี 52 ยังไม่ประกาศออกมาเพราะขณะนี้อยู่ระหว่างให้ผู้ตรวจสอบบัญชีตรวจสอบตัวเลขงบการเงิน แม้กระนั้นผลงานปี 52 บริษัทได้หั่นเป้าการเติบโตไว้เพียง 10-15% ต่ำกว่าการตั้งเป้าครั้งแรกที่ 20-30% หลังเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ
โดยผลงานปีนี้ที่คาดว่าจะเติบโตได้ต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเพราะผลจากการรับรู้รายได้จากบริษัทร่วมทุนอย่าง บริษัท พาโก้ สาลี่ พริ้นท์ติ้ง จำกัด ที่มีบริษัท พาโก้ โฮลดิ้ง เอจี ( PAGO ) หนึ่งในผู้ผลิตฉลากผลิตภัณฑ์และเครื่องติดฉลากชั้นนำของโลก จากประเทศสวิสเซอร์แลนด์ เข้าถือหุ้น 30% ร่วมกับ SALEE
" PAGO ส่งออร์เดอร์มาให้กับเรา ปีนี้จะเห็นผลชัดเจนเต็มปี เพราะส่งผ่านออเดอร์จากลูกค้าในแถบยุโรปที่ใช้ฐานการผลิตในไทย ให้มาสั่งซื้อสินค้าจาก พาโก้ สาลี่ พริ้นท์ติ้ง แทนแล้ว เพื่อเป็นการรวมศูนย์การผลิตให้อยู่ที่เดียวกัน ซึ่งจะเห็นรายได้ชัดเจนมากกว่าปีที่ผ่านมา หากลูกค้าเชื่อมั่นในการผลิตของ พาโก้ สาลี่ พริ้นท์ติ้ง มากขึ้น ก็จะส่งผลให้ยอดการสั่งซื้อสินค้าเพิ่มสูงไปด้วย เพราะ PAGO มีเครือข่ายอยู่ทั่วโลก "
สำหรับผลงานไตรมาส 3 ปี 52 พบว่า SALEE มีกำไรสุทธิ 57.24 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 23.73 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 33.51 ล้านบาท อันเป็นผลจากการรับรู้กำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นจากพาโก้ สาลี่ พริ้นท์ติ้ นั่นเอง
นอกจากในส่วนของรายได้จาก บริษัท เอสซี วาโด จำกัด ที่ผลิตชิ้นส่วน hard disk ก็มีแนวโน้มดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก เนื่องจากธุรกิจชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์มีแนวโน้มดีขึ้นมาตั้งแต่ปลายปี 52 แล้ว และเชื่อว่าจะดีขึ้นต่อเนื่อง ซึ่ง SALEE ประเมินไว้ว่ารายได้จากบริษัทย่อยแห่งนี้จะไม่ต่ำกว่า 400 ล้านบาทต่อปี ขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบถือว่ายังบริหารได้ และหากค่าเงินบาทแข็งค่าจะกลายเป็นผลดีต่อบริษัทลูกแห่งนี้ เพราะจะหนุนมาร์จิ้นขยับเพิ่ม
แม้ว่าธุรกิจชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์จะซบเซาเมื่อปี 51 จนถึงต้นปี 52 แต่ลูกค้าที่สำคัญของ เอสซี วาโด ส่วนใหญ่อยู่ในญี่ปุ่น ขณะที่บริษัทเองก็เป็นเพียงซัพพลายเออร์รายย่อยเทานั้นจึงกระทบไม่มากนัก เพราะบริษัทใหญ่ ๆ หากต้องการลดออร์เดอร์ลงเชื่อว่าน่าจะลดในส่วนของซัพพลายเออร์รายใหญ่มากกว่ารายเล็ก ๆ
" ราคาวัตถุดิบถือว่าปัจจุบัน เรายังบริหารและรับมือได้ เพราะราคาน้ำมันหากไม่เกิน 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาเรล ก็ถือว่าปกติและไม่ผันผวนแต่หากทะลุเกิน 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาเรล เราก็ต้องมานั่งปรับแผนงานการบริหารต้นทุนกันอีกรอบเพื่อรับกับเหตุการณ์ รวมทั้งการควบคุมต้นทุนการผลิตและการบริหารงานของบริษัทให้ต่ำ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราทำกันมาตลอด "
เนื่องจากปัจจุบันในส่วนของ SALEE บริษัทแม่ที่ดำเนินธุรกิจผลิตชิ้นส่วนพลาสติกส่งออกเป็นหลัก และยังคงเติบโตด้วยดี จึงเชื่อว่าภาพรวมของธุรกิจของบริษัทปีนี้น่าจะสดใส ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าหากเศรษฐกิจโลกยังมีแนวโน้มฟื้นตัวเช่นปัจจุบัน และไม่มีเหตุการณ์ในเชิงลบมาทำให้เกิดวิกฤตอีกครั้ง
สำหรับปี 53 SALEE ตั้งงงบลงทุนไว้ที่ 100 ล้านบาท เพื่อใช้ในการซื้อเครื่องจักรใหม่ หากพบว่าตลาดต้องการสินค้าสูง รองรับออร์เดอร์ที่จะเข้ามา ซึ่งเม็ดเงินดังกล่าวอาจได้ใช้หรือไม่ก็ได้ เพราะขึ้นอยู่กับดีมานด์ของลูกค้าว่าจะมีเพิ่มขึ้นหรือไม่ และปีนี้เป็นปีที่บริษัทไม่เน้นการขยายงานหรือลงทุนเพิ่ม แต่ก็ไม่ได้ปฎิเสธ เพราะหากโอกาสเอื้อและเหมาะสมก็พร้อมจะลงทุนเหมือนที่ผ่านมา เพราะภาวะเศรษฐกิจขณะนี้ต้องระมัดระวังการลงทุน
นายสุพจน์กล่าวว่าปัจจุบันสัดส่วนรายได้ของ SALEE ยังคงเป็นมาจาก เอสซี วาโด 40% พาโก้ สาลี่ พริ้นท์ติ้ง 30 % และ SALEEE บริษัทแม่ 30% แม้ว่าจากการประเมินภาพรวมแล้วจะพบว่าในส่วนของ พาโก้ สาลี่ พริ้นท์ติ้ง ผลงานน่าจะโดดเด่นมากในปีนี้ แต่บริษัทเชื่อว่าสัดส่วนรายได้ไม่น่าจะเปลี่ยนไปจากเดิมมากนัก เพราะในส่วนอื่นเชื่อว่ารายได้ก็น่าจะเติบโตไปในทิศทางเดียวกัน
ขณะที่ราคาหุ้นเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาพบว่า ราคาหุ้น SALEE ปิดที่ 3.04 บาท เพิ่มขึ้น 0.02 บาท หรือเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น 0.66% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 0.79 ล้านบาท