นายสิทธิชัย ลีสวัสดิ์ตระกูล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท มิลล์คอนสตีลอินดัสทรีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ MILL กล่าวถึงแนวโน้มธุรกิจเหล็กในปี 53 ว่า เชื่อว่าจะสามารถขยายตัวได้ดีกว่าปี 52 โดยปัจจัยหลักมาจากการเริ่มฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และรัฐบาลมีแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยมุ่งกระจายงบประมาณลงสู่ภาคก่อสร้าง ผ่านโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ และไทยเข้มแข็ง ส่งผลให้อุตสาหกรรมการก่อสร้างเริ่มขยายตัวขึ้นและความต้องการเหล็กสูงตาม โดย MILL มีแผนจะขยายตลาดทั้งในประเทศ และตลาดส่งออกควบคู่กันไป รวมทั้งการเพิ่มผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงลงสู่ตลาด โดยเฉพาะตลาดต่างประเทศอย่างจริงจัง และการขยายตลาดเหล็ก one bar ที่ได้เปิดตัวไปเมื่อกลางปี 51 ให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น
" ปี 53 ถือว่าตลาดเหล็กเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น เมื่อเทียบกับปี 52 จากปัจจัยที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ซึ่งในส่วนของ MILL ก็คงเดินหน้าขยายตลาดอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน ทั้งตลาดในและต่างประเทศ ไปพร้อมกับพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มี value Added และตรงกับความต้องการของตลาดมากที่สุด รวมทั้งลดต้นทุนกาผลิตให้ต่ำที่สุด เพิ่มมาตรการป้องกันความเสี่ยงมากขึ้น "
นายสิทธิชัย กล่าวว่าปัจจุบัน MILL และบริษัท บี อาร์ พี สตีล จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ได้แบ่งสายการผลิตแยกจากกันอย่างชัดเจน เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้มากขึ้น ส่งผลดีทั้งในด้านกำไรและยอดขาย ปัจจุบันกำลังการผลิตเหล็กเส้นอยู่ที่ 5.5 แสนตัน และเหล็กรูปพรรณอยู่ที่ 2.8 แสนตันต่อปี แต่ใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ประมาณ 50- 60% คาดว่าปีนี้กำลังการผลิตจะเพิ่มขึ้นเต็ม 100%
สำหรับปีนี้บริษัทยังคงรักษาการทำกำไรและรายได้ให้เป็นไปตามเป้าหมายได้ในที่สุด ซึ่งปีนี้เป้าหมายจะผลักดันให้รายได้เติบโต 7-10% เมื่อเทียบกับปีก่อนที่คาดว่าจะมีรายได้ประมาณ 10,000 ล้านบาท หรือประมาณ 2 เท่าของการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ หรือ GDP ส่วนอัตรากำไรขั้นต้น (margin) มีเกณฑ์ปรับตัวดีขึ้นจากปีก่อน
" ปี 53 ถือว่าตลาดเหล็กเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น เมื่อเทียบกับปี 52 จากปัจจัยที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ซึ่งในส่วนของ MILL ก็คงเดินหน้าขยายตลาดอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน ทั้งตลาดในและต่างประเทศ ไปพร้อมกับพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มี value Added และตรงกับความต้องการของตลาดมากที่สุด รวมทั้งลดต้นทุนกาผลิตให้ต่ำที่สุด เพิ่มมาตรการป้องกันความเสี่ยงมากขึ้น "
นายสิทธิชัย กล่าวว่าปัจจุบัน MILL และบริษัท บี อาร์ พี สตีล จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ได้แบ่งสายการผลิตแยกจากกันอย่างชัดเจน เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้มากขึ้น ส่งผลดีทั้งในด้านกำไรและยอดขาย ปัจจุบันกำลังการผลิตเหล็กเส้นอยู่ที่ 5.5 แสนตัน และเหล็กรูปพรรณอยู่ที่ 2.8 แสนตันต่อปี แต่ใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ประมาณ 50- 60% คาดว่าปีนี้กำลังการผลิตจะเพิ่มขึ้นเต็ม 100%
สำหรับปีนี้บริษัทยังคงรักษาการทำกำไรและรายได้ให้เป็นไปตามเป้าหมายได้ในที่สุด ซึ่งปีนี้เป้าหมายจะผลักดันให้รายได้เติบโต 7-10% เมื่อเทียบกับปีก่อนที่คาดว่าจะมีรายได้ประมาณ 10,000 ล้านบาท หรือประมาณ 2 เท่าของการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ หรือ GDP ส่วนอัตรากำไรขั้นต้น (margin) มีเกณฑ์ปรับตัวดีขึ้นจากปีก่อน