เอเอฟพี/เอเจนซี/ASTV ผู้จัดการรายวัน- ฮวน เซบาสเตียน ปินเญรา เอเชนิเก ผู้สมัครวัย 60 ปีจากพรรคการเมืองสายกลางขวา“เรโนบาสิอ็อน นาซิโอนัล”ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ของชิลีรอบที่สอง ซึ่งเป็นรอบชี้ขาดเมื่อวันอาทิตย์ (17) หลังเอาชนะอดีตประธานาธิบดีเอดูอาร์โด เฟร รูอิซ วัย 67 กะรัตจากพรรครัฐบาลไปได้ ด้วยคะแนนร้อยละ 52 ต่อ 48 เป็นการปิดฉากการครองอำนาจของฝ่ายกลาง-ซ้ายที่ผูกขาดการปกครองประเทศมานาน 20 ปี และถือเป็นผู้นำที่มิใช่นักการเมืองสายกลาง-ซ้ายคนแรกที่ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีนับตั้งแต่การสิ้นอำนาจของประธานาธิบดีเอากุสโต ปิโนเชต์ อูการ์เต เมื่อปี 1990
ปินเญราซึ่งจะเข้ารับตำแหน่งผู้นำชิลีอย่างเป็นทางการในวันที่ 11 มีนาคมนี้ยืนยันต่อกลุ่มผู้สนับสนุนที่บ้านพักในกรุงซานติอาโกว่าจะนำวิธีบริหารจัดการแบบภาคเอกชนที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจ มาใช้ในการบริหารประเทศเพื่อให้รัฐบาลมีประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้น และจะสานต่อนโยบายด้านสังคมของประธานาธิบดี เบโรนิกา มิเชเญ บาเชเล็ต ที่กำลังจะหมดวาระเพื่อช่วยเหลือคนยากจนต่อไป แม้นโยบายดังกล่าวจะถูกริเริ่มโดยฝ่ายกลาง-ซ้ายก็ตาม
ปินเญราซึ่งเป็นหนึ่งในมหาเศรษฐีระดับแถวหน้าของอเมริกาใต้ เป็นเจ้าของ“ชิเลบิสิอ็อน”สถานีโทรทัศน์ใหญ่ที่สุดของชิลี และเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในสายการบิน “LAN” รวมทั้ง ทีมฟุตบอล “เดปอร์ติโบ โกโล-โกโล” ในพรีเมียร์ลีกของชิลี โดยปินเญรามีทรัพย์สินในครอบครองกว่า 1,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 39,420 ล้านบาท จากการเปิดเผยของนิตยสาร “ฟอร์บส์” ของสหรัฐฯ
ปินเญราซึ่งจะเข้ารับตำแหน่งผู้นำชิลีอย่างเป็นทางการในวันที่ 11 มีนาคมนี้ยืนยันต่อกลุ่มผู้สนับสนุนที่บ้านพักในกรุงซานติอาโกว่าจะนำวิธีบริหารจัดการแบบภาคเอกชนที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจ มาใช้ในการบริหารประเทศเพื่อให้รัฐบาลมีประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้น และจะสานต่อนโยบายด้านสังคมของประธานาธิบดี เบโรนิกา มิเชเญ บาเชเล็ต ที่กำลังจะหมดวาระเพื่อช่วยเหลือคนยากจนต่อไป แม้นโยบายดังกล่าวจะถูกริเริ่มโดยฝ่ายกลาง-ซ้ายก็ตาม
ปินเญราซึ่งเป็นหนึ่งในมหาเศรษฐีระดับแถวหน้าของอเมริกาใต้ เป็นเจ้าของ“ชิเลบิสิอ็อน”สถานีโทรทัศน์ใหญ่ที่สุดของชิลี และเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในสายการบิน “LAN” รวมทั้ง ทีมฟุตบอล “เดปอร์ติโบ โกโล-โกโล” ในพรีเมียร์ลีกของชิลี โดยปินเญรามีทรัพย์สินในครอบครองกว่า 1,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 39,420 ล้านบาท จากการเปิดเผยของนิตยสาร “ฟอร์บส์” ของสหรัฐฯ