หลังการเปิดปากให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 12 ม.ค.จบสิ้นลง
ไม่มีใครรู้ว่า ทำไม “พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์” องคมนตรีและอดีตนายกรัฐมนตรี จึงตัดสินใจเช่นนั้น
คำถามต่างๆ พรั่งพรูออกมาจากทั่วทุกสารทิศของสังคมว่า ทำไม? ทำไม? และอะไร? ดลใจให้ชายชาติทหารเยี่ยงเขาเลือกที่จะทำเช่นนั้น นั่นคือเลือกที่จะไม่แสดงสปิริตในการคืนที่ดินผืนงาม ณ เขายายเที่ยงที่ตนเองไม่มีสิทธิ์กลับคืนไปให้กับกรมป่าไม้
เชื่อว่า “พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์” ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ก็คงตั้งคำถามเอากับ พล.อ.สุรยุทธ์เช่นกัน
เพราะผลของการตัดสินใจในครั้งนั้นได้ทำให้ขบวนการล้มเจ้าที่เตรียมถือหอกถือดาบอยู่มือกระโจนเข้าใส่เสมือนเห็นเหยื่อชิ้นงามกองอยู่ตรงหน้าทันที
จากเขายายเที่ยงที่ยกแรกคิดว่าจะทำกันพอเป็นพิธีเพื่อ “ตบทรัพย์” นายใหญ่แห่งดูไบ ก็ถูกขยายแผลออกไปให้กว้างขึ้น กว้างขึ้นและกว้างขึ้น กระทั่งในที่สุดก็เปิดแผลใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิมที่ “สนามกอล์ฟเขาสอยดาว” จ.จันทบุรี
แผลนี้นอกจากจะทำให้ “เจ้าสัวชาตรี” แห่งแบงก์กรุงเทพ อกสั่นขวัญแขวนแล้ว ยังทำให้ พล.อ.เปรมต้องลุกจากบ้านสี่เสาเทเวศร์ลงมาแก้เกมด้วยตัวเอง เพราะถ้าปล่อยให้สถานการณ์บานปลายต่อไป จะกระทบกระเทือนถึงสถาบัน “องคมนตรี” อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ไม่มีใครรู้ว่า นักฆ่าแห่งลุ่มเจ้าพระยาเรียก พล.อ.สุรยุทธ์ไปตำหนิหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ คือได้มีการพบกับ “หนุ่มมาร์ค” เจ้าของสมญา “หล่อหลักลอย” ที่เวลานี้เริ่ม “แน่น” แล้วไปพบและเจรจาความกันอยู่นานสองนาน
ไม่มีใครรู้ว่า บทสนทนาในวันนั้นหัวสำคัญคืออะไร เพราะถ้าจะให้รู้คงต้องทำตามคำแนะนำของ “นช.ทักษิณ” ที่บอกให้นำระบบ “เรียลิตี้” มาใช้ แต่รายงานข่าวแจ้งว่า ฯพณฯ ไฟเขียวให้หนุ่มมาร์คเร่งจัดการปัญหาที่ดินเขายายเที่ยงให้เสร็จโดยเร็ว ถูกว่าไปตามถูก ผิดว่าไปตามผิด
หรือหมายความว่า ได้โปรดกรุณายึดที่ดินเขายายเที่ยงของ พล.อ.สุรยุทธ์ให้ตกเป็นของแผ่นดินโดยเร็วเสียที ก่อนที่อะไรๆ จะลุกลามไปกว่านี้
สัญญาณที่ส่งมา เล่นเอาผู้ใหญ่ดื้อผู้หลงเสน่ห์ยายเที่ยงตกอยู่ในภาวะ “วังเวง โหวงเหวง วิเวกแว่ว” ทันที เพราะงานนี้ทำท่าจะถูกฆ่าตัดตอนและถูกโดดเดี่ยวเป็นแน่แท้
โปรดฟังอีกครั้ง...สัญญาณที่ส่งออกมาเล่นเอาผู้ใหญ่ดื้อผู้หลงเสน่ห์ยายเที่ยงตกอยู่ในภาวะ “เหน็บหนาว” ทันที เพราะงานนี้เห็นทีว่า จะต้องพรากจากยายเที่ยงไปชั่วกัลป์ปาวสารเสียแล้ว
ส่วนอีกคนหนึ่งที่เคยเป็น “ผู้ใหญ่ดื้อ” และตกอยู่ในภาวะ “เหน็บหนาว” เช่นเดียวกันอย่าง “นช.ทักษิณ ชินวัตร” ก็กำลังต้องรับกรรมจากคำพิพากษาในคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านที่กำหนดไว้ในวันที่ 26 ก.พ.นี้ ซึ่งแม้ไม่อาจก้าวล่วงไปในคำตัดสินของศาลได้ แต่ถ้าจะให้เดา บอกได้คำเดียวว่า คงไม่รอด และถ้าให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดก็ต้องเหมารวมทั้งก้อน
ดังนั้น ก่อนที่จะถึงวันพิพากษา คนไทยคงต้องเตรียมรับมือกับความวุ่นวายและความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นจากน้ำมือของจอมโหดหน้าเหลี่ยมที่กำลังระดมสรรพกำลังเปิดสงครามครั้งสุดท้ายอย่างเต็มที่
...งานนี้ “ทุนนิยมสามานย์” กับ “อำมาตยาธิปไตย” ใครจะอยู่ใครจะไป อีกไม่นานคงรู้กัน
แต่ทั้งหลายทั้งปวง ก่อนจากกัน ขอฝากพุทธศาสนสุภาษิตไปถึง พล.อ.สุรยุทธ์และ นช.ทักษิณ เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจถึงบทเรียนชีวิตครั้งสำคัญครั้งนี้ว่า....สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
ไม่มีใครรู้ว่า ทำไม “พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์” องคมนตรีและอดีตนายกรัฐมนตรี จึงตัดสินใจเช่นนั้น
คำถามต่างๆ พรั่งพรูออกมาจากทั่วทุกสารทิศของสังคมว่า ทำไม? ทำไม? และอะไร? ดลใจให้ชายชาติทหารเยี่ยงเขาเลือกที่จะทำเช่นนั้น นั่นคือเลือกที่จะไม่แสดงสปิริตในการคืนที่ดินผืนงาม ณ เขายายเที่ยงที่ตนเองไม่มีสิทธิ์กลับคืนไปให้กับกรมป่าไม้
เชื่อว่า “พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์” ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ก็คงตั้งคำถามเอากับ พล.อ.สุรยุทธ์เช่นกัน
เพราะผลของการตัดสินใจในครั้งนั้นได้ทำให้ขบวนการล้มเจ้าที่เตรียมถือหอกถือดาบอยู่มือกระโจนเข้าใส่เสมือนเห็นเหยื่อชิ้นงามกองอยู่ตรงหน้าทันที
จากเขายายเที่ยงที่ยกแรกคิดว่าจะทำกันพอเป็นพิธีเพื่อ “ตบทรัพย์” นายใหญ่แห่งดูไบ ก็ถูกขยายแผลออกไปให้กว้างขึ้น กว้างขึ้นและกว้างขึ้น กระทั่งในที่สุดก็เปิดแผลใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิมที่ “สนามกอล์ฟเขาสอยดาว” จ.จันทบุรี
แผลนี้นอกจากจะทำให้ “เจ้าสัวชาตรี” แห่งแบงก์กรุงเทพ อกสั่นขวัญแขวนแล้ว ยังทำให้ พล.อ.เปรมต้องลุกจากบ้านสี่เสาเทเวศร์ลงมาแก้เกมด้วยตัวเอง เพราะถ้าปล่อยให้สถานการณ์บานปลายต่อไป จะกระทบกระเทือนถึงสถาบัน “องคมนตรี” อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ไม่มีใครรู้ว่า นักฆ่าแห่งลุ่มเจ้าพระยาเรียก พล.อ.สุรยุทธ์ไปตำหนิหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ คือได้มีการพบกับ “หนุ่มมาร์ค” เจ้าของสมญา “หล่อหลักลอย” ที่เวลานี้เริ่ม “แน่น” แล้วไปพบและเจรจาความกันอยู่นานสองนาน
ไม่มีใครรู้ว่า บทสนทนาในวันนั้นหัวสำคัญคืออะไร เพราะถ้าจะให้รู้คงต้องทำตามคำแนะนำของ “นช.ทักษิณ” ที่บอกให้นำระบบ “เรียลิตี้” มาใช้ แต่รายงานข่าวแจ้งว่า ฯพณฯ ไฟเขียวให้หนุ่มมาร์คเร่งจัดการปัญหาที่ดินเขายายเที่ยงให้เสร็จโดยเร็ว ถูกว่าไปตามถูก ผิดว่าไปตามผิด
หรือหมายความว่า ได้โปรดกรุณายึดที่ดินเขายายเที่ยงของ พล.อ.สุรยุทธ์ให้ตกเป็นของแผ่นดินโดยเร็วเสียที ก่อนที่อะไรๆ จะลุกลามไปกว่านี้
สัญญาณที่ส่งมา เล่นเอาผู้ใหญ่ดื้อผู้หลงเสน่ห์ยายเที่ยงตกอยู่ในภาวะ “วังเวง โหวงเหวง วิเวกแว่ว” ทันที เพราะงานนี้ทำท่าจะถูกฆ่าตัดตอนและถูกโดดเดี่ยวเป็นแน่แท้
โปรดฟังอีกครั้ง...สัญญาณที่ส่งออกมาเล่นเอาผู้ใหญ่ดื้อผู้หลงเสน่ห์ยายเที่ยงตกอยู่ในภาวะ “เหน็บหนาว” ทันที เพราะงานนี้เห็นทีว่า จะต้องพรากจากยายเที่ยงไปชั่วกัลป์ปาวสารเสียแล้ว
ส่วนอีกคนหนึ่งที่เคยเป็น “ผู้ใหญ่ดื้อ” และตกอยู่ในภาวะ “เหน็บหนาว” เช่นเดียวกันอย่าง “นช.ทักษิณ ชินวัตร” ก็กำลังต้องรับกรรมจากคำพิพากษาในคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านที่กำหนดไว้ในวันที่ 26 ก.พ.นี้ ซึ่งแม้ไม่อาจก้าวล่วงไปในคำตัดสินของศาลได้ แต่ถ้าจะให้เดา บอกได้คำเดียวว่า คงไม่รอด และถ้าให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดก็ต้องเหมารวมทั้งก้อน
ดังนั้น ก่อนที่จะถึงวันพิพากษา คนไทยคงต้องเตรียมรับมือกับความวุ่นวายและความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นจากน้ำมือของจอมโหดหน้าเหลี่ยมที่กำลังระดมสรรพกำลังเปิดสงครามครั้งสุดท้ายอย่างเต็มที่
...งานนี้ “ทุนนิยมสามานย์” กับ “อำมาตยาธิปไตย” ใครจะอยู่ใครจะไป อีกไม่นานคงรู้กัน
แต่ทั้งหลายทั้งปวง ก่อนจากกัน ขอฝากพุทธศาสนสุภาษิตไปถึง พล.อ.สุรยุทธ์และ นช.ทักษิณ เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจถึงบทเรียนชีวิตครั้งสำคัญครั้งนี้ว่า....สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม