xs
xsm
sm
md
lg

คงอันดับองค์กร-ตราสารหนี้MAJORที่A-

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด หรือ ทริสฯ ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรและตราสารหนี้ของ บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAJOR ที่ระดับ A- ด้วยแนวโน้ม Stable หรือ คงที่ สะท้อนถึงสถานะผู้นำในธุรกิจโรงภาพยนตร์ในประเทศไทย ตลอดจนการมีโรงภาพยนตร์ซึ่งตั้งอยู่ในทำเลที่ดี โอกาสในการขยายธุรกิจในต่างจังหวัด และคณะผู้บริหารที่มีความสามารถ จุดเด่นดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้ อาทิ ปริมาณภาพยนตร์ที่เข้าฉายและความเป็นที่นิยม ตลอดจนระยะเวลาการฉายในโรงที่สั้นลงก่อนที่จะผลิตเป็นวิดีโอซีดี/ดีวีดี เป็นต้น การแพร่ระบาดของวิดีโอซีดี/ดีวีดีที่ละเมิดลิขสิทธิ์ บวกกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวและการเมืองตึงเครียดส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัทด้วย
แนวโน้มอันดับเครดิต Stable หรือ คงที่ สะท้อนการคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถดำรงสถานะผู้นำตลาดในธุรกิจโรงภาพยนตร์และรักษาผลประกอบการให้อยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ การลงทุนในอนาคตหรือการจ่ายเงินปันผลควรได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบและต้องไม่กระทบต่อฐานะการเงินและสภาพคล่องอย่างรุนแรง กรณีที่อัตราส่วนเงินกู้ที่ได้รับการค้ำประกันต่อสินทรัพย์รวมของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทริสฯ อาจปรับลดอันดับเครดิตตราสารหนี้ของบริษัทลงจากระดับปัจจุบัน
ทริสฯ รายงานว่า MAJOR เป็นผู้ประกอบการโรงภาพยนตร์รายใหญ่ที่สุดในไทยด้วยส่วนแบ่งทางการตลาด 80% ซึ่งผลประกอบการ MAJOR ได้รับแรงหนุนบางส่วนจากการมีความสัมพันธ์ที่ดีกับตัวแทนผู้จำหน่ายภาพยนตร์รวมถึงคุณภาพและความเป็นที่นิยมของภาพยนตร์ด้วย ทว่าบริษัทมีปัจจัยลบหลายประการและปัจจัยภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้ เช่น ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ความวุ่นวายทางการเมือง และการแพร่ระบาดของไข้หวัด A/H1N1 ส่งผลกระทบความเชื่อมั่นในการใช้จ่ายของลูกค้าซึ่งกระทบรุนแรงต่อธุรกิจของบริษัท
โดยปี 51 บริษัทมีรายได้ 5,328 ล้านบาท ลดลง 8.2% จากปีที่ผ่านมาเนื่องจากรายได้จากการจำหน่ายตั๋วภาพยนตร์ลดลงอย่างมีนัยสำคัญเพราะมีภาพยนตร์ที่ได้รับความนิยมเข้าฉายจำนวนน้อยรวมถึงการเลื่อนกำหนดการฉายภาพยนตร์ที่ลงทุนสูง รายได้ที่มาจากธุรกิจภาพยนตร์ประมาณครึ่งหนึ่งของรายได้ทั้งหมดของบริษัท
เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำจึงส่งผลให้รายได้จากการขายโฆษณาและให้บริการโบว์ลิ่งและคาราโอเกะลดลง เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 51 อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้จากการขายเพิ่มขึ้นเป็น 38% ในปี 51 จากอัตราส่วนกำไรที่ดีขึ้นจากธุรกิจให้เช่าพื้นที่และธุรกิจจัดจำหน่ายวิดีโอซีดี/ดีวีดีและลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ อีกทั้งค่าใช้จ่ายด้านการขายและการบริหารก็ลดลง สวนทางค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารสูงขึ้น ส่งผลให้หนี้สินเพิ่มเป็น 7,406 ล้านบาท ณ สิ้น ก.ย. 52 เพราะบริษัทกู้เงินระยะยาวเพิ่มขึ้นเพื่อใช้ลงทุนและขยายสาขา รวมทั้งยังรวมหนี้จาก บริษัท เอ็ม พิคเจอร์ส เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ด้วย อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทเพิ่มเป็น 59.4% ณ สิ้นเดือน ก.ย.52
ขณะที่เงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทคงอยู่ในระดับที่เกินกว่า 1,200 ล้านบาท ในช่วงปี 49-51 โดยที่อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมอยู่ที่ 20%-21% ช่วงปี 49- 51 ขณะอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายอยู่ที่ระดับเฉลี่ย 4.5 เท่า ส่วนช่วง 9 เดือนแรกปี 52 บริษัทมีเงินทุนจากการดำเนินงาน 948 ล้านบาท ส่งผลให้อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมอยู่ที่ระดับ 14% ( ยังไม่ได้ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปี ) และอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายอยู่ที่ระดับ 3.7 เท่าในช่วงเดียวกัน
กำลังโหลดความคิดเห็น