xs
xsm
sm
md
lg

KASETขอเวลาประเมินผลงานปี53

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ราคาหุ้น KASET ของ บริษัท ไทยฮา จำกัด (มหาชน) ยังคงค่อย ๆ ไต่ระดับปรับเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ เห็นได้จากเคยเทรดที่ระดับ 3 บาทกว่าและขยับมาขึ้นมาแตะที่ 4 บาทกว่าอยู่นานก่อนขยับขึ้นมาเทรดที่ 5 บาทและขึ้นแท่นมาเหนือ 6 บาทได้สำเร็จก่อนสิ้นเดือน
พ.ย. ขณะที่เมื่อ 2 ธ.ค. ราคาหุ้นเปิดตลาดที่ 6.40 บาทก่อนจะมีแรงซื้อเข้ามาช่วงบ่ายดันราคาปิดที่ 7.20 บาท หรือเพิ่มขึ้น 0.85 บาท คิดเป็น 13.39% ด้วยมูลค่าซื้อขายหนาแน่นถึง 355.73 ล้านบาท ก่อนจะปรับขึ้นและลง ซึ่งวานนี้ราคาหุ้นอ่อนแรงลงแล้วปิดที่ 6.75 บาท ลดลง 0.05 บาท หรือ 0.74% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 9 ล้านบาท
จากกระแสความต้องการสินค้าคอมมูนิตี้ ประเภท ข้าว น้ำตาล มันสำปะหลัง ในตลาดโลก และคงเป็นอีกครั้งที่ราคาสินค้าเหล่านี้จะขยับสูงขึ้นตามความต้องการที่เพิ่มมากขึ้น ขณะบางประเทศอย่างอินเดียก็ขาดแคลนและมีความต้องการข้าวและถั่วสูงมากยังไม่รวมอีกหลายประเทศที่กำลังต้องการ ส่วนหนึ่้งเพราะผลจากภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นทำให้การผลิตสินค้าเหล่านี้มีผลผลิตต่ำลง สวนทางกับความต้องการสินค้าที่มีมากขึ้นตามจำนวนประชากรในตลาดโลก จากกระแสดังกล่าว จึงส่งผลดีต่อผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมการส่งออกและจำหน่ายข้าวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
นายสมฤกษ์ ตั้งพิรุฬห์ธรรม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร KASET เปิดเผยว่าราคาหุ้นขยับเพิ่มเป็นผลจากแรงซื้อที่มีเข้ามาเพราะผลดีจากราคาข้าวขยับขึ้นสูง ทำให้นักลงทุนสนใจหุ้นของบริษัทเพิ่มจากก่อนหน้า เพราะหากราคาข้าวดีและความต้องการสินค้ามีสูง ย่อมทำให้ผลประกอบการของบริษัทเติบโตในทิศทางที่ดีเช่นกัน
ขณะที่ผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจซบส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคการใช้จ่ายต่ำส่งผลให้ผลการดำเนินงานของบริษัทพลาดเป้า ซึ่้ง 2 ไตรมาสแรกที่ผ่านมาพบว่าต่ำกว่าเป้าหมาย ทำให้ทั้งปีพลาดเป้า แต่ผลงานไตรมาส 3 แม้จะมีกำไรสุทธิเพียง 5.28 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 22.95 ล้านบาท ถือว่าเป็นตัวเลขที่ดีเกินคาดแล้ว
"ผมว่าไตรมาส 3 เรามีกำไรให้เห็นถือว่าดีมากแล้วครับ เพราะวิกฤตที่เกิดขึ้นต่อเนื่องมาจากปีที่แล้วทำให้เราต้องปรับลดเป้าหมายการเติบโต แม้ไตรมาส 3กำไรจะเล็กน้อย ถือว่าเกินคาดสำหรับเรา "
โดยไตรมาส 3 ปี 52 บริษัทมีกำไรสุทธิ 5.28 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปี 51 ที่มีกำไรสุทธิ 22.95 ล้านบาท อันเป็นผลต่อเนื่องจากยอดขายลดลงจากปีก่อที่มี 534.11 ล้านบาท เหลือ 475.43 ล้านบาทในปีนี้ เพราะผู้บริโภคใช้จ่ายต่ำและเพิ่มความระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม จากภาพรวมของเศรษฐกิจที่เริ่มเห็นแสงสว่าง ทำให้ความต้องการสินค้าอุปโภคบริโภคเพิ่มมากขึ้นในช่วงไตรมาส 3 เป็นต้นมา ดังนั้น จึงเชื่อว่าไตรมาส 4 ผลงานจะออกมาดีกว่าที่ไตรมาส 3 และดีกว่าไตรมาส 4 ปี51 เนื่องจากความต้องการในตลาดโลกเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จึงเป็นเรื่องปกติที่ราคาย่อมแปรผันตาม และเมื่อเกิดความต้องการซื้อมากกว่าสิ่งของที่มีอยู่อย่างจำกัด ส่วนต่างของราคาย่อมสูงเกินกว่าปกติ
" ราคาข้าวขณะนี้ปรับเพิ่มขึ้นจากเดิมเกือบ 20% เป็นข่าวที่ดีสำหรับเรา และเชื่อว่าปี 53 ราคาจะขยับเพิ่มขึ้นอีก 10-20% ตามความต้องการที่เพิ่มขึ้น และเราต้องปรับแผนการลงทุนเพื่อรองรับการผลิตที่เพิ่มขึ้นตามออร์เดอร์ด้วย และตัวเลขประมาณการณ์ก็ยังไม่ชัดเจน "
โดยปี 53 บริษัทจะใช้เงินลงทุนเพิ่มอีก 30 ล้านบาทหลังจากปีนี้ใช้งบลงทุนไปแล้ว 45 ล้านบาท เพื่อขยายไลน์การผลิตต่าง ๆ รองรับออร์เดอร์จากแผนเดิมที่วางงบไว้ 100 ล้านบาท แต่หลังเกิดวิกฤตเศรษฐกิจบริษัทก็ทะยอยใช้งบดังกล่าว เพื่อให้ทันกับออร์เดอร์ที่จะมีเข้ามาในอนาคต ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในข้าวและธัญญพืชต่าง ๆ ที่พบกระแสความต้องการสูง
" ผมเชื่อว่าเราจะค่อย ๆ ขยับเข้าสู่ปกติได้ ราคาสินค้ายังขยับไม่ถึงระดับเมื่อหลายปีก่อนที่ราคาข้าวพุ่ง ส่งผลให้ราคาหุ้นของเราได้รับความสนใจจากนักลงทุน และราคาข้าวจะขยับเพิ่มอีกในปีหน้าเนื่องจากความต้องการสูงส่งผลดีต่อบริษัท " นายสมฤกษ์กล่าว
นอกจากข้าวแล้ว สินค้าผลิตภัณฑ์ธัญญพืชต่าง ๆ และวุ้นเส้นที่ผลิตจากถั่วเขียว ยังเติบโตดีและได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคทุกครั้งที่นำออกจำหน่ายในตลาด รวมทั้งผลิตภัณฑ์จากข้าวก็ยังจำหน่ายได้ต่อเนื่อง แม้ราคาไม่ได้สูงเหมือนกับหลายปีที่ผ่านมา แต่ปัจจุบันราคาข้าวได้ขยับเพิ่มจาก 800 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันมาเป็น 900- 1,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน และจะขยับเพิ่มขึ้นสูงหลังหลายประเทศประสบภัยพิบัติยากต่อการเพาะปลูกพืช เชื่อว่าอาจเพิ่มขึ้นได้อีก ซึ่งออร์เดอร์ใหม่ ๆ เริ่มมีเพิ่มเข้ามา ซึ่งไตรมาส 3 ออร์เดอร์เริ่มทะยอยเข้ามาเรื่อย ๆ
อย่างไรก็ดี KASET ยังคงเป้ารายได้ปีนี้ไว้ที่ระดับ 2 พันล้านบาท ซึ่งเป็นการปรับลดจากเดิมที่เคยตั้งไว้เมื่อต้นปี 52 ที่ระดับ 2.4 พันล้านบาท ขณะที่แผนงานปี 53 นั้น ขณะนี้ยังไม่เรียบร้อยและยังต้องทำการประเมินแผนงานกันอีกครั้ง หลังจากที่ราคาสินค้าเกษตรล้วนขยับเพิ่มอย่างมีนัยสำคัญ
"แผนงานคงอีกระยะหนึ่งครับ เพราะขณะนี้เราต้องยุ่งกับออร์เดอร์ที่มีเข้ามา และยังจะราคาข้าวที่ขยับเพิ่มขึ้นอีก บริษัทเราเลยดูวุ่น ๆ กันอยู่ เรายังไม่เรียบร้อยครับ ก็เหมือนกับตอนที่เราปรับลดเป้าหมายการเติบโตปีนี้ลง "
นายสมฤกษ์ กล่าวว่า หลังจากที่บริษัทแต่งตั้งให้ ตั้งบริษัทตัวแทนจำหน่ายประสบผลสำเร็จอย่างดีและไปได้ด้วย กล่าวคือ บริษัท พรีเมียร์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) เป็นตัวแทนในการจำหน่ายผลิตภัณฑ์วุ้นเส้น และบริษัท แมสมาร์เก็ตติ่ง จำกัด เป็นตัวแทนจำหน่ายข้าวบรรจุถุง แทน บริษัท เดอเบล จำกัด ที่บริษัทเคยตั้งให้เป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าดังกล่าว แต่เนื่องจากนโยบายของไม่สอดคล้องกันจึงยกเลิกและหันมาใช้บริษัทใหม่ดังกล่าว
นอกจากนี้ KASET ยังเพิ่มพนักงานอีกเกือบ 20% รองรับการขยายฐานลูกค้าในเอเชีย โดยเฉพาะจีนและเวียดนามที่เป็นตลาดเดิมของบริษัท เพราะมองว่าสินค้าที่บริษัทผลิตยังสามารถขยายตัวได้พอสมควร และที่สำคัญการพยายามขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มใหม่ ๆ เพื่อลดความเสี่ยงในการพึ่งพาตลาดใดตลาดหนึ่ง ซึ่งสัดส่วนของการขายระหว่างในและต่างประเทศเป็น 40% ต่อ 60%
ล่าสุดปีนี้ KASET ได้ขยายกำลังการผลิตสินค้าเพิ่ม ทั้งข้าว วุ้นเส้นอย่างละ 30% และโจ๊กกึ่งสำเร็จรูป 60% รวมทั้งเงินที่เหลือใช้เป็นทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน ส่วนการส่งออกที่จะรับรู้รายได้เป็นเงินหลายสกุลนั้นไม่ได้กระทบเนื่องจากบริษัทได้ทำการป้องกันความเสี่ยง (HEDGING) กับสถาบันการเงินแล้ว
แผนงานของบริษัทจะยังไม่ชัดเจนอกออกมา แต่นายสมฤกษ์ ยังมั่นใจว่าผลงานไตรมาสแรกปีหน้าจะขยับเพิ่มสูงจากปี52 แน่นอน เพราะราคาขายสินค้าโดยเฉพาะข้าวจะเพิ่มขึ้นสูงจากปัจจุบัน จึงเป็นส่วนที่จะช่วยผลักดันให้ยอดขายเติบโต
กำลังโหลดความคิดเห็น