ASTVผู้จัดการรายวัน - สื่อทำเนียบฯตั้งฉายารัฐบาล "ใครเข้มแข็ง? " ส่วน "อภิสิทธิ์" หล่อหลักลอย "สุเทพ" แม่นมอมทุกข์ "สาทิตย์" ช่างจัดฉาก สำหรับ"กอร์ปศักดิ์" ได้ฉายา "กั๊ก-กอบ-โกย "กษิต" ไส้ติ่งรัฐบาล "ชวรัตน์" สตั้นท์เฒ่าเฝ้าเก้าอี้ "โสภณ" ภูมิใจ นาย" "ประวิตร" ป้อม พลัง "ป" ขณะที่ "ชัย" หวังให้ ส.ส.มีสำนึกจากฉายาถ่อย-เถื่อน-ถีบ "ประสพสุข" งงเป็นประธานหลักเลื่อน "สมชาย" ชี้นักข่าวไม่แฟร์ ด้าน "เทพไท" เอาบ้าง ตั้งฉายาผู้นำฝ่ายค้านวิญญาณล่องหน "สมชาย" เป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์ ทีมโฆษก พท."เกี่ยวกุ๊ยฉาวฉุ่ย"
ถือเป็นธรรมเนียบปฏิบัติของทุกปีที่สื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาลจะตั้งฉายารัฐบาลและรัฐมนตรี เพื่อสะท้อนความเห็นของสื่อมวลชนต่อการทำงานของรัฐบาล ซึ่งในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาสถานการณ์ทางการเมืองไม่ปกติ เกิดการรัฐประหาร อีกทั้งรัฐบาลที่เข้ามาบริหารราชการแผ่นดินหลังจากนั้นก็ทำงานไม่ครบ 1 ปี จึงไม่เข้าเงื่อนไขในการตั้งฉายารัฐบาล อย่างไรก็ตามเมื่อสถานการณ์การเมืองเริ่มกลับเข้าสู่ระบบ และรัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เข้าบริหารราชการแผ่นดินได้ครบ 1 ปี ผู้สื่อข่าวทำเนียบรัฐบาลจึงได้ประชุม และมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ตั้งฉายารัฐบาลและรัฐมนตรีประจำปี 2552 ดังนี้
ฉายารัฐบาล "ใครเข้มแข็ง?" เนื่องจากรัฐบาลประกาศแผนพลิกฟื้นประเทศไทยให้พ้นจากภาวะวิกฤตเศรษฐกิจและการเมือง ผ่านแผนปฏิบัติการ "ไทยเข้มแข็ง" เพื่อลงทุนยกเครื่องประเทศครั้งใหญ่ ภายใต้พ.ร.บ. และพ.ร.ก. เงินกู้ รวม 8 แสนล้านบาท เมื่อโครงการนี้ไปสู่การปฏิบัติมีเสียงวิจารณ์อย่างกว้างขวาง ทั้งเรื่องผลประโยชน์ของพรรคร่วมรัฐบาล ความไม่โปร่งใส จนเกิดคำถามว่า การสร้าง หนี้เพื่อฟื้นประเทศไทยทำให้ใครเข้มแข็งระหว่างประชาชน หรือนักการเมือง ?
"มาร์ค"ได้ฉายา"หล่อหลักลอย"
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้รับฉายา "หล่อหลักลอย" เพราะเป็นนายกรัฐมนตรีที่มีภาพลักษณ์ดี หน้าตาดี การศึกษาดี จึงมีแม่ยกเป็นจำนวนมาก มักประกาศจุดยืนและหลักการด้านประชาธิปไตย โดยเฉพาะเมื่อรับตำแหน่งได้ประกาศกฎเหล็ก 9 ข้อให้ ครม. มีความรับผิดชอบทางการเมืองมากกว่าความรับผิดชอบทางกฎหมาย แต่เมื่อรัฐมนตรีบางคนมีปัญหาเรื่องข้อกฎหมาย หรือมีปัญหาเรื่องความไม่โปร่งใส กลับไม่ได้แสดงความรับผิดชอบทางการเมือง นั่นเท่ากับไม่สามารถกำกับให้กฎเหล็กมีผลใช้บังคับได้ หลักที่เคยประกาศไว้จึงเหมือนคำพูด ที่เลื่อนลอย ไม่เป็นไปตามหลักการที่วางไว้
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้รับฉายา "แม่นมอมทุกข์" โดยแม้ไม่ใช่เป็นผู้ให้กำเนิดทางการเมืองแก่นายอภิสิทธิ์โดยตรง แต่ก็คอยดูแล อุ้มชู และสนับสนุนในทางการเมืองทุกอย่าง ถึงขั้นประกาศว่าความใฝ่ฝันทางการเมืองสูงสุด คือการผลักดันให้นายอภิสิทธิ์ได้เป็นนายกฯ แต่เมื่อสานฝันได้สำเร็จ นายอภิสิทธิ์กลับสร้างปัญหาหนักอกให้นายสุเทพตามล้างตามเช็ด อาทิ การแก้รัฐธรรมนูญ การแต่งตั้ง ผบ.ตร. ทำให้ผู้จัดการรัฐบาลถูกพรรคประชาธิปัตย์วิจารณ์อย่างหนักว่าตีตัวออกห่าง มัวแต่เอาใจพรรคร่วมรัฐบาล จนเจ้าต้องอยู่ในอาการอมทุกข์
นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ฉายา "ช่างจัดฉาก" นายสาทิตย์ถือเป็นคนสนิทของนายกฯ กำกับดูแลสื่อของรัฐ มักเปรียบเปรย ว่าตัวเองเป็น "อิมเมจ เมเกอร์" พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อสร้างภาพลักษณ์ด้านบวก ให้รัฐบาล เป็นจอมจัดการ เช่น การจัดคิวให้นายกฯ และครม. ลงพื้นที่ จัดฉากให้ ครม. ออกทีวีวิทยุ จัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์ผลงานของรัฐบาล ทว่าเสียงสะท้อนกลับติดลบเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะโครงการ "ไทยสามัคคี ไทยเข้มแข็ง" ที่ให้ทุกจังหวัดเกณฑ์คนมาร้องเพลงชาติ แต่ถูกตั้งข้อสงสัยเรื่องงบประมาณ เสมือนช่างที่พยายามจัดฉากให้ดูดี แต่ไม่มีเนื้องานเป็นรูปธรรม
"กั๊ก-กอบ-โกย" ฉายา "กอร์ปศักดิ์"
นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี ฉายา "กั๊ก-กอบ-โกย" เพราะนายกอร์ปศักดิ์ ขึ้นชื่อว่าเป็นรองนายกฯ จอมตรวจสอบ กั๊ก และคอยดักจับโครงการของพรรคร่วมรัฐบาล จนเกิดเหตุกระทบกระทั่งกันอยู่เนืองๆ และถูกแกนนำพรรคร่วมตั้งสมญาว่า “พ่อชุนละเอียด” แต่ไปๆ มาๆ กลับสะดุดขาตัวเอง เมื่อพบปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อนจากการแต่งตั้งน้องชายเป็นรองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชน (สพช.) ที่มีตัวเองเป็นประธาน สุดท้ายทั้งพี่และน้องก็ฝ่าแรงกดดันจากสังคมไม่ไหว จำต้องโกยออกจากตำแหน่ง แม้กระทั่งตำแหน่งตัวเองก็ต้องโกยออกไปเป็นเลขาธิการนายกฯ
สำหรับ นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ได้ฉายา "ไส้ติ่งรัฐบาล" ซึ่งนายกษิต เป็นอดีตนักการทูตที่ได้เข้ามารับตำแหน่งในรัฐบาล จากการเป็นดาวไฮปาร์คบนเวที กลุ่มพันธมิตรฯ แต่กลับไม่ยอมใช้วาทศิลป์ทางการทูตเชื่อมสัมพันธ์กับเพื่อนบ้าน ตรงกันข้ามถูกวิจารณ์ว่าปากเป็นพิษ โดยเฉพาะการเปรียบเปรยนายกฯ กัมพูชาว่าเป็น "แก๊งสเตอร์" จึงเปรียบเสมือนเป็น "ไส้ติ่ง" ที่แม้จะอยู่ในร่างกายได้ แต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไร ดีไม่ดีพอเกิดการอักเสบขึ้นมาจะเป็นโทษต่อร่างกายถึงขั้นเสียชีวิตด้วย
"เจ๊พร" เจ้าแม่แพ้หน้าเนต
ฉายา นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ "เจ้าแม่แพ้หน้าเนต" นางพรทิวา เป็นรัฐมนตรีหญิงที่มีบทบาทสำคัญในครม. เพราะพยายามผลักดันโครงการของ พรรคภูมิใจไทย (ภท.) เข้าสู่ครม. ตลอดเวลา อาทิ การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับสูง การปรับเปลี่ยนระบบการจัดงบเพื่อบริหารสินค้าเกษตร ฯลฯ แต่ถูกแกนนำรัฐบาลรุมเตะสกัด ทำให้บางโครงการไม่ผ่านการอนุมัติ บางครั้งถึงกับร่ำไห้กลางวงประชุม ครม. เปรียบเสมือนนักตบลูกหนังที่แค่ตั้งท่ายังไม่ทันตบ ก็ติดบล็อกจากฝ่ายตรงข้ามเสียแล้ว
"ปู่จิ้น" สตั้นท์เฒ่าเฝ้าเก้าอี้
นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย ฉายา "สตั๊นท์เฒ่าเฝ้าเก้าอี้" สิงห์เฒ่าวัย 73 ปีผู้นี้ได้เข้ามารั้งเก้าอี้มท.1 พร้อมตำแหน่งหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) แทนบุตรชายที่อยู่ในบ้านเลขที่ 111 การเป็นรัฐมนตรีถูกมองว่าเป็นการแสดง บทตามที่ลูก และเพื่อนลูกอย่างนายเนวิน ชิดชอบ คอยกำกับเท่านั้น เหมือนเป็นตัวแทนมานั่งเฝ้าเก้าอี้รอตัวจริง แต่แม้จะเป็น “สตั๊นท์เฒ่า” ก็มากด้วยเล่ห์เหลี่ยม และมีชั้นเชิงทางการเมืองสูง ทำให้สามารถเฝ้าเก้าอี้มท.1 เฝ้าเก้าอี้หัวหน้าพรรคอยู่ในรัฐบาลได้อย่างเหนียวแน่น
นายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม ได้ฉายา "ภูมิใจ นาย" เพราะไม่เคยทำงานบริหาร และผ่านงานคมนาคมมาก่อน แต่เป็นลูกน้องคนสนิทของ นายเนวิน ชิดชอบ จึงได้รับความไว้วางใจให้คุมกระทรวงเกรดเออย่างกระทรวงคมนาคม จากนักการเมืองโนเนมจึงมีชื่อติดกระแสขึ้นมา การเสนอโครงการ เป็นไปตามใบสั่ง “นาย” แทบทุกโครงการ โดยเฉพาะโครงการเช่ารถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คัน หลังต่อสู้กับพรรคร่วมหลายรอบ เป็นโต้โผใหญ่ในการเปิดบ้านพักที่จ. บุรีรัมย์ต้อนรับนายกฯ แทนลูกพี่ โดยไม่มีกลุ่มคนเสื้อแดงมาปั่นป่วน จึงถือเป็นลูกน้องที่สร้างความภาคภูมิใจให้ผู้เป็น "นาย" อย่าง "เนวิน"
"กรณ์" ฉายา "ทวิต-กู้"
นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง ฉายา "ทวิต-กู้" เนื่องจากเป็นขุนคลังที่ประชาชนจดจำผลงานในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้ นอกจากภาพการกู้เงินที่เป็นไม้ตาย การแก้ปัญหา แต่ภาพของนายกรณ์ในโลกไซเบอร์คือนักโพสต์มือ 1 ผ่านเฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ และไฮไฟว์ มักเข้าไปอัพเดทภาพ-ข่าวของตัวเองอยู่ตลอดเวลา แม้กระทั่งขณะนั่งประชุมครม. ก็ยังทวิตข้อความและรูปภาพให้สมาชิกได้เข้ามา แสดงความคิดเห็น ในช่วงที่ถูกโจมตีเรื่องการทำงาน บางครั้งศรีภริยาก็ออกมาทวิตแก้ต่างให้ สมเป็นขุนคลังออนไลน์ที่มีผลงานกู้เร็วทันใจราวกับไฮ-สปีด อินเตอร์เน็ต
ส่วน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม ได้ฉายา "ป้อมพลัง ป" พล.อ.ประวิตร มีชื่อเล่นว่า "ป้อม" ได้เป็นรัฐมนตรีที่ไม่มีความชัดเจนว่า เป็นโควตาของกลุ่มการเมืองใด ไม่ใช่สายตรงประชาธิปัตย์ ไม่มีสายสัมพันธ์แนบแน่นกับภูมิใจไทย ไม่ใช่ตัวแทนของกองทัพอย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่ได้รับความเกรงกลัว-เกรงใจจากคนในรัฐบาลอย่างมาก ถึงขั้นปล่อยผ่านเมกะโปรเจคต์ของกองทัพอย่างง่ายดาย เนื่องจากมีพลัง อิทธิพล และบารมีของคนชื่อ "ป. "
สำหรับวาระแห่งปี 2552 คือ "ใครก็ตามที่ประกาศชัยชนะ ผมถือว่าคนๆ นั้นและกลุ่มคนนั้นคือศัตรูของประเทศอย่างแท้จริง" ซึ่งเป็นถ้อยแถลงของนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 เมษายน ที่โรงแรมรอยัล คลิฟบีช พัทยา จ. ชลบุรี ที่กล่าวไว้หลังจากกลุ่มคนเสื้อแดงนำมวลชนบุกล้มการประชุมสุดยอดอาเซียนและคู่เจรจาที่เมืองพัทยา และประกาศว่าเป็นชัยชนะของชาวเสื้อแดง
"ชัย"หวังส.ส.สำนึกกับฉายาที่ได้รับ
นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฏรกล่าวถึงกรณีที่สื่อมวลชนประจำรัฐสภาตั้งฉายาให้สภาผู้แทนราษฏรว่า ก็ดี จะติติงอย่างไรก็ได้ ไม่เห็นมีอะไรจะต้องน้อยใจ สำหรับตนคงไม่ประเมินตัวเอง เพราะสื่อมวลชนทำหน้าที่ตรวจสอบดีแล้ว ตนเองตรวจสอบตัวเองไม่ได้ ตนพยายามทำดีที่สุดแล้วในการทำงานรอบปีที่ผ่านมา
นายชัย กล่าวว่า ฉายาสภาฯ "ถ่อย-เถื่อน-ถีบ" ซึ่งถือว่าเป็นการสะท้อนพฤติกรรม ความรุนแรงของสภานั้นบางอย่างก็ปฎิเสธไม่ได้ว่าเป็นความจริง บางอย่างก็แรงไป ก็ต้องยอมรับแต่ก็ต้องรู้นิสัยของคนไทยว่าบางคนชอบกินเค็ม กินเผ็ด กินเปรี้ยว เป็นเรื่องธรรมชาติ จะถือสาหาความไม่ได้ต้องดูกาลเทศะ วันเวลา
"เหตุการณ์ที่ผ่านมาผมไม่ได้ตำหนิติเตียน ก็ให้ตั้งได้ตามอัธยาศัย ไม่ว่ากล่าวตักเตือน แต่คิดว่าสมาชิกที่ได้อ่านคงได้สำนักตนเองว่าทำอะไรบ้าง จะปรับปรุงเปลี่ยนแปลง แก้ไขการทำงานที่ผ่านมาอย่างไร คิดว่าพฤติกรรมของส.ส.คงดีขึ้น แต่ปัญหาเรื่องนิสัยใจคอ ห้ามกันไมได้"
นายชัย กล่าวด้วยว่า ในปี 2553 ตนจะทำหน้าที่ประธานสภาให้เข้มข้นขึ้น ในเรื่องการควบคุม ระเบียบข้อบังคับ ซึ่งตนควบคุมได้ คิดว่าไม่มีอะไรรุนแรงทั้งปัญหาภายในและนอกสภา ถือเป็นเรื่องธรรมชาติ
"ประสพสุข" ปัดวุฒิฯลำเลียงตรวจสอบ
นายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา กล่าวว่า ฉายา "ตะแกรงก้นรั่ว" ของวุฒิสภาเห็นว่าเป็นเรื่องสนุกๆ แต่ยืนยันว่าวุฒิสภาทำหน้าที่ตรวจสอบในเรื่องต่างๆ อย่างดีที่สุดแล้ว โดยเฉพาะเรื่องทุจริต แต่ต้องให้เวลาในการตรวจสอบ เพราะปัญหาสำคัญคือคณะกรรมาธิการ(กมธ.)วุฒิสภาคณะต่างๆ เชิญผู้เกี่ยวข้องมาชี้แจง ไม่ได้รับการร่วมมือ ควรเสนอบทลงโทษหากใครไม่มาชี้แจง ให้เหมือนระบบศาล ที่ผู้ไม่มาชี้แจงจะมีความผิด
นายประสพสุข ปฏิเสธว่า ส.ว.ชุดนี้เคร่งครัดตรวจสอบช่วงที่พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลแต่พอพรรคประชาธิปัตย์มาเป็นรัฐบาลกลับละเลย โดยยืนยันว่า ส.ว.เคร่งครัดการตรวจสอบทุกประเด็น โดยเฉพาะเรื่องทุจริต และการทำสัญญาที่ไม่เหมาะสม ไม่ยอมให้ผ่านหูผ่านตาไปได้ เมื่อเปิดสภา จะมีการรายงานการตรวจสอบของ กมธ.วุฒิสภา 2-3 เรื่องเกี่ยวกับการทุจริต เข้าสู่ประชุมวุฒิสภา แต่ยังเปิดเผยไม่ได้ รอให้วิปวุฒิสภาพิจารณาเสียก่อน
ยันไม่ได้เป็น ปธ.หลักเลื่อน
ประธานวุฒิสภากล่าวว่า ฉายาของตนที่ว่าเป็น "ประธานหลักเลื่อน" นั้น ตนก็ยังงงว่าเลื่อนลอยอะไร ตนยังยึดหนักการเดิม สนุกดี เป็นความสนุกสนาน ไม่ได้น้อยใจอะไร ตนยังยึดมั่นหลักการเดิม เช่น เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ยังยืนยันว่าจะแก้ไขตั้งแต่ต้น จนถึงวันนี้ยังยืนยันว่าจะแก้ไขโดยเฉพาะมาตรา 190 ที่น่าจะแก้ เพราะกำหนดขอบเขตมากกว่าเกินไป มาพูดในสภา 3วัน 3 คืนสุดท้ายก็ต้องอนุมัติ แต่ขั้นตอนการพิจารณาเห็นชอบในสภายังเห็นด้วย ควรจะทำเฉพาะการไปให้อำนาจ หน่วยงานไปเซ็นสัญญาเพราะข้อมูลควรเป็นความลับ เป็นเรื่องผลประโยชน์ของชาติ เพราะตนเชื่อมั่นว่า ไม่ว่าหน่วยงาน กระทรวง ทบวงไหน ย่อมเห็นแก่ประโยชน์ของชาติอยู่แล้ว
ส.ว.ระบุไม่แฟร์ตั้งฉายา "ตะแกรงก้นรั่ว"
นายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา แกนนำกลุ่ม 40 ส.ว.กล่าวว่าฉายา "ตะแกรงก้นรั่ว" ที่สื่อประจำรัฐสภาตั้งให้วุฒิสภานั้น ชื่ออาจพอไปได้ แต่เมื่อดูคำอธิบาย ตนไม่เห็นด้วย และคิดว่า ไม่แฟร์เท่าไหร่ เป็นการนำ ปรากฏการณ์ตอนเดือนท้ายๆ เพียงเหตุการณ์เดียวมาเขียน ทั้งที่ควรประเมินทั้งปี จึงรู้สึกผิดหวังกับผู้ที่ตั้งฉายาให้ โดยวุฒิสภาปีนี้ทำงานได้ดีพอสมควร ในแง่การตรวจสอบ ก็ขอเปิดอภิปรายทั่วไปรัฐบาลโดยไม่ลงมติรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ 1 ครั้ง เท่ากับ 2 รัฐบาลก่อนหน้านี้ ส่วนนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา ก็ยื่นตรวจสอบรัฐมนตรีทุกพรรคและทุกรัฐบาลอย่างเสมอหน้า แต่ยอมรับว่า มีปัญหาเรื่องตั้งกระทู้ถาม เพราะระบบจัดการทางธุรการทำให้กระทู้ถามไม่ตรงสถานการณ์
ส่วนงานด้านกฎหมายที่สำคัญสุดคือ วุฒิสภาเป็นผู้แก้ไขร่างพ.ร.บ.กู้เงิน 4 แสนล้าน ที่ต้องได้รับการตรวจสอบโครงการ ส่วนงานด้านตรวจสอบนโยบายรัฐบาล โครงการรถเมล์เอ็นจีวี 4 พันคัน วุฒิสภาก็มีส่วนตรวจสอบทำให้โครงการต้องชะลอลง ส่วนโครงการชุมชนพอเพียงและโครงการไทยเข้มแข็งในกระทรวงสาธารณสุข คณะกรรมาธิการสามัญของวุฒิสภา 2 คณะ ก็ตรวจสอบและมีข่าวออกมาเนืองๆ ฉะนั้นปีนี้ วุฒิสภามีผลงานออกเป็นระยะ
นายสมชาย กล่าวว่า สำหรับความขัดแย้งระหว่างส.ว.สรรหา และส.ว.เลือกตั้ง ยอมรับว่าเกิดขึ้นจริงเพราะมีที่มาต่างกัน ส่วนเรื่องที่นายวิชาญ ศิริชัยเอกวัฒน์ ส.ว.สรรหา ออกหนังสือให้ส.ว.ทบทวนการทำหน้าที่ตนเองโดยเฉพาะการพิจาณา กฎหมายตรวจเงินแผ่นดินนั้น นายวิชาญ เขียนไม่รอบด้าน ทั้งนี้มีบางฝ่ายพยายามจะล้มกฎหมายนี้มาตลอด เพราะกฎหมายนี้เปิดอีกช่องทางเพื่อจะส่งเรื่องตรวจสอบ ไปศาลได้ และสภาผู้แทนฯก็แก้ไขมา 50 มาตราแล้ว และยิ่งได้คุยกับวิปรัฐบาล ทราบว่า ถ้าวุฒิสภาแก้ไขก็ต้องมีการตั้งกรรมาธิการร่วมกันของสองสภา พรรคร่วมรัฐบาลจะไม่ยอมให้ผ่านแน่ จึงต้องเดินหน้า เพราะไม่ง่ายที่กฎหมายปราบทุจริตจะออกได้ในช่วงเวลาปกติ นอกจากนี้ กฎหมายป.ป.ช.หรือกฎหมายที่เกี่ยวกับศาล เกี่ยวข้องกับผู้ที่มีส่วนสรรหาส.ส.ทั้งสิ้นยังไม่มีปัญหา ฉะนั้นถ้าพูดแบบนี้ถือว่า ดูถูกวุฒิสภาเกินไป
ปธ.วุฒิฯ เป็นคนประนีประนอมไม่ได้หลักเลื่อน
นายสมชาย กล่าวว่า ส่วนที่สื่อมวลชนประจำรัฐสภาตั้งฉายาประธานวุฒิสภาว่า "ประธานหลักเลื่อน" ตนเห็นใจประธานวุฒิสภาเพราะมาจากศาล และในใจประธานวุฒิสภาต้องการเห็นความประนีประนอมจึงไม่พยายามไปข้างใด และอะไรช่วยลด ความขัดแย้งได้ ประธานวุฒิสภาถ้าพยายามทำ ฉะนั้นเมื่อไม่ยืนข้างใดจึงโดนฝ่าย ที่ไม่พอใจโจมตี ทั้งนี้กรณีรัฐธรรมนูญ ตนคิดว่าประธานวุฒิสภาทำถูกแล้ว เพราะวุฒิสภาเป็นผุ้สังเกตการณ์ไม่ใช่จะไปเจรจาตกลงกับฝ่ายอื่นได้
ส่วนฉายาอื่นๆ เช่น ของประธานสภาผู้แทนราษฎร ตนเห็นด้วย เพราะชั้นเชิง นายชัย ชิดชอบ ประธานสภา แพรวพราว แก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าได้ และคนอื่นๆ ที่เป็นประธานถือว่าห่างชั้นมาก ส่วนฉายาสภาผู้แทนราษฎร ตนเห็นด้วย เพราะเจอมาเอง โดยตอน ส.ว.ไปประชุมร่วมรัฐสภา ส.ส.ฝ่ายค้านด่าหยาบคายใส่ส.ว.หญิง ฉะนั้นสภาผู้แทนฯ ต้องปรับปรุงเยอะ
ปชป.บอกฉายาสภาฯเหมาะสมแล้ว
ด้านนายเทพไท เสนพงศโฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ฉายา "เถื่อน-ถ่อย-ถีบ" ที่สื่อประจำรัฐสภาตั้งให้กับสภาฯปีนี้ถือเป็นกระจกสะท้อนภาพสภายุคนี้ว่าตกต่ำ มากที่สุด ฉะนั้น ส.ส.ทั้งหลายต้องกอบกู้เกียรติภูมิ ไม่เช่นนั้นสภาฯจะขาดความน่าเชื่อถือ
ส่วนฉายาอื่นๆ ถือว่าเหมาะสมชตรงกับบุคลิกและอธิบายได้ดี โดยเฉพาะดาวดับปีนี้ ที่เป็นของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธานส.ส.พรรคเพื่อไทย ซึ่งตนเห็นใจ ร.ต.อ. เฉลิม ที่เคยเป็นดาวสภา สมัยก่อนถึงกับมีคำพูดว่า มาทะเลเจอฉลาม มาสภาเจอเฉลิม แต่วันนี้บทบาทนั้นหายไปอย่างสิ้นเชิง แต่ร.ต.อ.เฉลิม ก็ออกมาโอดครวญว่า ไม่มีบทให้เล่น จุดนี้สะท้อนว่า บทที่เล่นอยู่ถูกกำหนดโดยนายใหญ่ขีดเส้นไว้แค่ไหน ซึ่งถ้าร.ต.อ.เฉลิม ได้รับการโปรโมทจากนายใหญ่เป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภา คงจะเด่นกว่านี้ ตอนนี้จึงเป็นอาการดาวร่วง ต่อมาเป็นดาวโรย ดาวดิ่ง และดาวดับ
ผู้นำฝ่ายค้าน "วิญญาณล่องหน"
สำหรับฉายาที่พรรคเพื่อไทย ตั้งให้รัฐบาลและพรรคประชาธิปัตย์ ก็เป็นสีสันการเมือง แต่ฟุ่มเฟือย เลอะเทอะที่พยายามตั้งสักๆ ให้ครบรัฐมนตรีทุกคน จึงขาดคุณภาพไร้ความหมาย ทั้งนี้ ตนขอถือโอกาสตั้งฉายาฝ่ายค้านด้วย ได้แก่ 1.ผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯที่สื่อมวลชนไม่ได้ตั้งฉายา ตนขอตั้งว่า "วิญญาณล่องหน" เพราะไม่มีตัวตน มีแต่วิญญาณที่เป็นผู้นำ ล่องหนอยู่ในดูไบบ้างหรือเขมรบ้าง 2.พรรคเพื่อไทย ฉายา "ร่างไร้วิญญาณ" คือมีแต่ร่างทรง ตัววิญญาณไม่มีสถิต จะมาเมื่อจุดธูปหรือทำพิธีกรรม แต่ปกติก็ลอยเคว้งคว้าง 3.หัวหน้าพรรคเพื่อไทย คือนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ ฉายา "ปู่โสมเฝ้าทรัพย์" เพราะเหมือนเป็นแขกยามรักษาพรรค รอเจ้าของพรรคตัวจริงกลับมา ไม่มีอำนาจตัดสินใจ ส่วนกรรมการบริหารพรรคก็เป็นร่างทรงเพื่อหนีรัฐธรรมนูญ ม. 237 4.ส.ส.พรรคเพื่อไทย ฉายา "ผีปากมัน กระสันตำแหน่ง" โดยแต่ละคน พยายามพูดเพื่อตัวเองจะได้มีตำแหน่ง เพื่อจะเข้าไปโกงต่อ
ทีมโฆษก พท."เกี่ยวกุ๊ยฉาวฉุ่ย"
5.ทีมโฆษกพรรคเพื่อไทย ได้แก่ นายพร้อมพงษ์ นพฤทธิ์ นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ นายการุณ โหสกุล น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส.กทม. นายสุชาติ ลายน้ำเงิน ส.ส.ลพบุรี ฉายา "เกี่ยวกุ๊ยฉาวฉุ่ย" เป็นภาษาจีน โดยเกี่ยวกุ๊ย แปลว่า พวกกุ๊ย ฉาวฉุ่ย แปลว่า ปากเสีย รวมแล้วคือ เป็นพวกกุ๊ย ที่ปั้นแต่งข้อมูลใส่ร้ายคนนั้นคนนี้โดย ไม่มีข้อมูลหลักฐานเพียงพอ 6.วาทะแห่งปี ซึ่งพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พูดว่า "ตายเป็นตาย เราจะไม่กลับบ้านมือเปล่า" ซึ่งหลอกหลอนความรู้สึกของคนไทย ทุกคนที่จะกลับมาภาค 2 ช่วงหลังปีใหม่นี้ และ 7พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้รับฉายา "ชูชกขายชาติ" เพราะได้รับข้อกล่าวหาว่ากินทุกอย่างที่ขวางหน้า จนนำมาซึ่งการที่ทหารออกมาทำรัฐประหาร ต่อมายังสมคบสมเด็จฮุนเซน นายกฯกัมพูชา ขายชาติ ทรยศชาติ จึงขอให้ระวังท้องแตกตาย
ถือเป็นธรรมเนียบปฏิบัติของทุกปีที่สื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาลจะตั้งฉายารัฐบาลและรัฐมนตรี เพื่อสะท้อนความเห็นของสื่อมวลชนต่อการทำงานของรัฐบาล ซึ่งในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาสถานการณ์ทางการเมืองไม่ปกติ เกิดการรัฐประหาร อีกทั้งรัฐบาลที่เข้ามาบริหารราชการแผ่นดินหลังจากนั้นก็ทำงานไม่ครบ 1 ปี จึงไม่เข้าเงื่อนไขในการตั้งฉายารัฐบาล อย่างไรก็ตามเมื่อสถานการณ์การเมืองเริ่มกลับเข้าสู่ระบบ และรัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เข้าบริหารราชการแผ่นดินได้ครบ 1 ปี ผู้สื่อข่าวทำเนียบรัฐบาลจึงได้ประชุม และมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ตั้งฉายารัฐบาลและรัฐมนตรีประจำปี 2552 ดังนี้
ฉายารัฐบาล "ใครเข้มแข็ง?" เนื่องจากรัฐบาลประกาศแผนพลิกฟื้นประเทศไทยให้พ้นจากภาวะวิกฤตเศรษฐกิจและการเมือง ผ่านแผนปฏิบัติการ "ไทยเข้มแข็ง" เพื่อลงทุนยกเครื่องประเทศครั้งใหญ่ ภายใต้พ.ร.บ. และพ.ร.ก. เงินกู้ รวม 8 แสนล้านบาท เมื่อโครงการนี้ไปสู่การปฏิบัติมีเสียงวิจารณ์อย่างกว้างขวาง ทั้งเรื่องผลประโยชน์ของพรรคร่วมรัฐบาล ความไม่โปร่งใส จนเกิดคำถามว่า การสร้าง หนี้เพื่อฟื้นประเทศไทยทำให้ใครเข้มแข็งระหว่างประชาชน หรือนักการเมือง ?
"มาร์ค"ได้ฉายา"หล่อหลักลอย"
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้รับฉายา "หล่อหลักลอย" เพราะเป็นนายกรัฐมนตรีที่มีภาพลักษณ์ดี หน้าตาดี การศึกษาดี จึงมีแม่ยกเป็นจำนวนมาก มักประกาศจุดยืนและหลักการด้านประชาธิปไตย โดยเฉพาะเมื่อรับตำแหน่งได้ประกาศกฎเหล็ก 9 ข้อให้ ครม. มีความรับผิดชอบทางการเมืองมากกว่าความรับผิดชอบทางกฎหมาย แต่เมื่อรัฐมนตรีบางคนมีปัญหาเรื่องข้อกฎหมาย หรือมีปัญหาเรื่องความไม่โปร่งใส กลับไม่ได้แสดงความรับผิดชอบทางการเมือง นั่นเท่ากับไม่สามารถกำกับให้กฎเหล็กมีผลใช้บังคับได้ หลักที่เคยประกาศไว้จึงเหมือนคำพูด ที่เลื่อนลอย ไม่เป็นไปตามหลักการที่วางไว้
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้รับฉายา "แม่นมอมทุกข์" โดยแม้ไม่ใช่เป็นผู้ให้กำเนิดทางการเมืองแก่นายอภิสิทธิ์โดยตรง แต่ก็คอยดูแล อุ้มชู และสนับสนุนในทางการเมืองทุกอย่าง ถึงขั้นประกาศว่าความใฝ่ฝันทางการเมืองสูงสุด คือการผลักดันให้นายอภิสิทธิ์ได้เป็นนายกฯ แต่เมื่อสานฝันได้สำเร็จ นายอภิสิทธิ์กลับสร้างปัญหาหนักอกให้นายสุเทพตามล้างตามเช็ด อาทิ การแก้รัฐธรรมนูญ การแต่งตั้ง ผบ.ตร. ทำให้ผู้จัดการรัฐบาลถูกพรรคประชาธิปัตย์วิจารณ์อย่างหนักว่าตีตัวออกห่าง มัวแต่เอาใจพรรคร่วมรัฐบาล จนเจ้าต้องอยู่ในอาการอมทุกข์
นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ฉายา "ช่างจัดฉาก" นายสาทิตย์ถือเป็นคนสนิทของนายกฯ กำกับดูแลสื่อของรัฐ มักเปรียบเปรย ว่าตัวเองเป็น "อิมเมจ เมเกอร์" พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อสร้างภาพลักษณ์ด้านบวก ให้รัฐบาล เป็นจอมจัดการ เช่น การจัดคิวให้นายกฯ และครม. ลงพื้นที่ จัดฉากให้ ครม. ออกทีวีวิทยุ จัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์ผลงานของรัฐบาล ทว่าเสียงสะท้อนกลับติดลบเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะโครงการ "ไทยสามัคคี ไทยเข้มแข็ง" ที่ให้ทุกจังหวัดเกณฑ์คนมาร้องเพลงชาติ แต่ถูกตั้งข้อสงสัยเรื่องงบประมาณ เสมือนช่างที่พยายามจัดฉากให้ดูดี แต่ไม่มีเนื้องานเป็นรูปธรรม
"กั๊ก-กอบ-โกย" ฉายา "กอร์ปศักดิ์"
นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี ฉายา "กั๊ก-กอบ-โกย" เพราะนายกอร์ปศักดิ์ ขึ้นชื่อว่าเป็นรองนายกฯ จอมตรวจสอบ กั๊ก และคอยดักจับโครงการของพรรคร่วมรัฐบาล จนเกิดเหตุกระทบกระทั่งกันอยู่เนืองๆ และถูกแกนนำพรรคร่วมตั้งสมญาว่า “พ่อชุนละเอียด” แต่ไปๆ มาๆ กลับสะดุดขาตัวเอง เมื่อพบปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อนจากการแต่งตั้งน้องชายเป็นรองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชน (สพช.) ที่มีตัวเองเป็นประธาน สุดท้ายทั้งพี่และน้องก็ฝ่าแรงกดดันจากสังคมไม่ไหว จำต้องโกยออกจากตำแหน่ง แม้กระทั่งตำแหน่งตัวเองก็ต้องโกยออกไปเป็นเลขาธิการนายกฯ
สำหรับ นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ได้ฉายา "ไส้ติ่งรัฐบาล" ซึ่งนายกษิต เป็นอดีตนักการทูตที่ได้เข้ามารับตำแหน่งในรัฐบาล จากการเป็นดาวไฮปาร์คบนเวที กลุ่มพันธมิตรฯ แต่กลับไม่ยอมใช้วาทศิลป์ทางการทูตเชื่อมสัมพันธ์กับเพื่อนบ้าน ตรงกันข้ามถูกวิจารณ์ว่าปากเป็นพิษ โดยเฉพาะการเปรียบเปรยนายกฯ กัมพูชาว่าเป็น "แก๊งสเตอร์" จึงเปรียบเสมือนเป็น "ไส้ติ่ง" ที่แม้จะอยู่ในร่างกายได้ แต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไร ดีไม่ดีพอเกิดการอักเสบขึ้นมาจะเป็นโทษต่อร่างกายถึงขั้นเสียชีวิตด้วย
"เจ๊พร" เจ้าแม่แพ้หน้าเนต
ฉายา นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ "เจ้าแม่แพ้หน้าเนต" นางพรทิวา เป็นรัฐมนตรีหญิงที่มีบทบาทสำคัญในครม. เพราะพยายามผลักดันโครงการของ พรรคภูมิใจไทย (ภท.) เข้าสู่ครม. ตลอดเวลา อาทิ การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับสูง การปรับเปลี่ยนระบบการจัดงบเพื่อบริหารสินค้าเกษตร ฯลฯ แต่ถูกแกนนำรัฐบาลรุมเตะสกัด ทำให้บางโครงการไม่ผ่านการอนุมัติ บางครั้งถึงกับร่ำไห้กลางวงประชุม ครม. เปรียบเสมือนนักตบลูกหนังที่แค่ตั้งท่ายังไม่ทันตบ ก็ติดบล็อกจากฝ่ายตรงข้ามเสียแล้ว
"ปู่จิ้น" สตั้นท์เฒ่าเฝ้าเก้าอี้
นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย ฉายา "สตั๊นท์เฒ่าเฝ้าเก้าอี้" สิงห์เฒ่าวัย 73 ปีผู้นี้ได้เข้ามารั้งเก้าอี้มท.1 พร้อมตำแหน่งหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) แทนบุตรชายที่อยู่ในบ้านเลขที่ 111 การเป็นรัฐมนตรีถูกมองว่าเป็นการแสดง บทตามที่ลูก และเพื่อนลูกอย่างนายเนวิน ชิดชอบ คอยกำกับเท่านั้น เหมือนเป็นตัวแทนมานั่งเฝ้าเก้าอี้รอตัวจริง แต่แม้จะเป็น “สตั๊นท์เฒ่า” ก็มากด้วยเล่ห์เหลี่ยม และมีชั้นเชิงทางการเมืองสูง ทำให้สามารถเฝ้าเก้าอี้มท.1 เฝ้าเก้าอี้หัวหน้าพรรคอยู่ในรัฐบาลได้อย่างเหนียวแน่น
นายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม ได้ฉายา "ภูมิใจ นาย" เพราะไม่เคยทำงานบริหาร และผ่านงานคมนาคมมาก่อน แต่เป็นลูกน้องคนสนิทของ นายเนวิน ชิดชอบ จึงได้รับความไว้วางใจให้คุมกระทรวงเกรดเออย่างกระทรวงคมนาคม จากนักการเมืองโนเนมจึงมีชื่อติดกระแสขึ้นมา การเสนอโครงการ เป็นไปตามใบสั่ง “นาย” แทบทุกโครงการ โดยเฉพาะโครงการเช่ารถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คัน หลังต่อสู้กับพรรคร่วมหลายรอบ เป็นโต้โผใหญ่ในการเปิดบ้านพักที่จ. บุรีรัมย์ต้อนรับนายกฯ แทนลูกพี่ โดยไม่มีกลุ่มคนเสื้อแดงมาปั่นป่วน จึงถือเป็นลูกน้องที่สร้างความภาคภูมิใจให้ผู้เป็น "นาย" อย่าง "เนวิน"
"กรณ์" ฉายา "ทวิต-กู้"
นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง ฉายา "ทวิต-กู้" เนื่องจากเป็นขุนคลังที่ประชาชนจดจำผลงานในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้ นอกจากภาพการกู้เงินที่เป็นไม้ตาย การแก้ปัญหา แต่ภาพของนายกรณ์ในโลกไซเบอร์คือนักโพสต์มือ 1 ผ่านเฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ และไฮไฟว์ มักเข้าไปอัพเดทภาพ-ข่าวของตัวเองอยู่ตลอดเวลา แม้กระทั่งขณะนั่งประชุมครม. ก็ยังทวิตข้อความและรูปภาพให้สมาชิกได้เข้ามา แสดงความคิดเห็น ในช่วงที่ถูกโจมตีเรื่องการทำงาน บางครั้งศรีภริยาก็ออกมาทวิตแก้ต่างให้ สมเป็นขุนคลังออนไลน์ที่มีผลงานกู้เร็วทันใจราวกับไฮ-สปีด อินเตอร์เน็ต
ส่วน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม ได้ฉายา "ป้อมพลัง ป" พล.อ.ประวิตร มีชื่อเล่นว่า "ป้อม" ได้เป็นรัฐมนตรีที่ไม่มีความชัดเจนว่า เป็นโควตาของกลุ่มการเมืองใด ไม่ใช่สายตรงประชาธิปัตย์ ไม่มีสายสัมพันธ์แนบแน่นกับภูมิใจไทย ไม่ใช่ตัวแทนของกองทัพอย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่ได้รับความเกรงกลัว-เกรงใจจากคนในรัฐบาลอย่างมาก ถึงขั้นปล่อยผ่านเมกะโปรเจคต์ของกองทัพอย่างง่ายดาย เนื่องจากมีพลัง อิทธิพล และบารมีของคนชื่อ "ป. "
สำหรับวาระแห่งปี 2552 คือ "ใครก็ตามที่ประกาศชัยชนะ ผมถือว่าคนๆ นั้นและกลุ่มคนนั้นคือศัตรูของประเทศอย่างแท้จริง" ซึ่งเป็นถ้อยแถลงของนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 เมษายน ที่โรงแรมรอยัล คลิฟบีช พัทยา จ. ชลบุรี ที่กล่าวไว้หลังจากกลุ่มคนเสื้อแดงนำมวลชนบุกล้มการประชุมสุดยอดอาเซียนและคู่เจรจาที่เมืองพัทยา และประกาศว่าเป็นชัยชนะของชาวเสื้อแดง
"ชัย"หวังส.ส.สำนึกกับฉายาที่ได้รับ
นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฏรกล่าวถึงกรณีที่สื่อมวลชนประจำรัฐสภาตั้งฉายาให้สภาผู้แทนราษฏรว่า ก็ดี จะติติงอย่างไรก็ได้ ไม่เห็นมีอะไรจะต้องน้อยใจ สำหรับตนคงไม่ประเมินตัวเอง เพราะสื่อมวลชนทำหน้าที่ตรวจสอบดีแล้ว ตนเองตรวจสอบตัวเองไม่ได้ ตนพยายามทำดีที่สุดแล้วในการทำงานรอบปีที่ผ่านมา
นายชัย กล่าวว่า ฉายาสภาฯ "ถ่อย-เถื่อน-ถีบ" ซึ่งถือว่าเป็นการสะท้อนพฤติกรรม ความรุนแรงของสภานั้นบางอย่างก็ปฎิเสธไม่ได้ว่าเป็นความจริง บางอย่างก็แรงไป ก็ต้องยอมรับแต่ก็ต้องรู้นิสัยของคนไทยว่าบางคนชอบกินเค็ม กินเผ็ด กินเปรี้ยว เป็นเรื่องธรรมชาติ จะถือสาหาความไม่ได้ต้องดูกาลเทศะ วันเวลา
"เหตุการณ์ที่ผ่านมาผมไม่ได้ตำหนิติเตียน ก็ให้ตั้งได้ตามอัธยาศัย ไม่ว่ากล่าวตักเตือน แต่คิดว่าสมาชิกที่ได้อ่านคงได้สำนักตนเองว่าทำอะไรบ้าง จะปรับปรุงเปลี่ยนแปลง แก้ไขการทำงานที่ผ่านมาอย่างไร คิดว่าพฤติกรรมของส.ส.คงดีขึ้น แต่ปัญหาเรื่องนิสัยใจคอ ห้ามกันไมได้"
นายชัย กล่าวด้วยว่า ในปี 2553 ตนจะทำหน้าที่ประธานสภาให้เข้มข้นขึ้น ในเรื่องการควบคุม ระเบียบข้อบังคับ ซึ่งตนควบคุมได้ คิดว่าไม่มีอะไรรุนแรงทั้งปัญหาภายในและนอกสภา ถือเป็นเรื่องธรรมชาติ
"ประสพสุข" ปัดวุฒิฯลำเลียงตรวจสอบ
นายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา กล่าวว่า ฉายา "ตะแกรงก้นรั่ว" ของวุฒิสภาเห็นว่าเป็นเรื่องสนุกๆ แต่ยืนยันว่าวุฒิสภาทำหน้าที่ตรวจสอบในเรื่องต่างๆ อย่างดีที่สุดแล้ว โดยเฉพาะเรื่องทุจริต แต่ต้องให้เวลาในการตรวจสอบ เพราะปัญหาสำคัญคือคณะกรรมาธิการ(กมธ.)วุฒิสภาคณะต่างๆ เชิญผู้เกี่ยวข้องมาชี้แจง ไม่ได้รับการร่วมมือ ควรเสนอบทลงโทษหากใครไม่มาชี้แจง ให้เหมือนระบบศาล ที่ผู้ไม่มาชี้แจงจะมีความผิด
นายประสพสุข ปฏิเสธว่า ส.ว.ชุดนี้เคร่งครัดตรวจสอบช่วงที่พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลแต่พอพรรคประชาธิปัตย์มาเป็นรัฐบาลกลับละเลย โดยยืนยันว่า ส.ว.เคร่งครัดการตรวจสอบทุกประเด็น โดยเฉพาะเรื่องทุจริต และการทำสัญญาที่ไม่เหมาะสม ไม่ยอมให้ผ่านหูผ่านตาไปได้ เมื่อเปิดสภา จะมีการรายงานการตรวจสอบของ กมธ.วุฒิสภา 2-3 เรื่องเกี่ยวกับการทุจริต เข้าสู่ประชุมวุฒิสภา แต่ยังเปิดเผยไม่ได้ รอให้วิปวุฒิสภาพิจารณาเสียก่อน
ยันไม่ได้เป็น ปธ.หลักเลื่อน
ประธานวุฒิสภากล่าวว่า ฉายาของตนที่ว่าเป็น "ประธานหลักเลื่อน" นั้น ตนก็ยังงงว่าเลื่อนลอยอะไร ตนยังยึดหนักการเดิม สนุกดี เป็นความสนุกสนาน ไม่ได้น้อยใจอะไร ตนยังยึดมั่นหลักการเดิม เช่น เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ยังยืนยันว่าจะแก้ไขตั้งแต่ต้น จนถึงวันนี้ยังยืนยันว่าจะแก้ไขโดยเฉพาะมาตรา 190 ที่น่าจะแก้ เพราะกำหนดขอบเขตมากกว่าเกินไป มาพูดในสภา 3วัน 3 คืนสุดท้ายก็ต้องอนุมัติ แต่ขั้นตอนการพิจารณาเห็นชอบในสภายังเห็นด้วย ควรจะทำเฉพาะการไปให้อำนาจ หน่วยงานไปเซ็นสัญญาเพราะข้อมูลควรเป็นความลับ เป็นเรื่องผลประโยชน์ของชาติ เพราะตนเชื่อมั่นว่า ไม่ว่าหน่วยงาน กระทรวง ทบวงไหน ย่อมเห็นแก่ประโยชน์ของชาติอยู่แล้ว
ส.ว.ระบุไม่แฟร์ตั้งฉายา "ตะแกรงก้นรั่ว"
นายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา แกนนำกลุ่ม 40 ส.ว.กล่าวว่าฉายา "ตะแกรงก้นรั่ว" ที่สื่อประจำรัฐสภาตั้งให้วุฒิสภานั้น ชื่ออาจพอไปได้ แต่เมื่อดูคำอธิบาย ตนไม่เห็นด้วย และคิดว่า ไม่แฟร์เท่าไหร่ เป็นการนำ ปรากฏการณ์ตอนเดือนท้ายๆ เพียงเหตุการณ์เดียวมาเขียน ทั้งที่ควรประเมินทั้งปี จึงรู้สึกผิดหวังกับผู้ที่ตั้งฉายาให้ โดยวุฒิสภาปีนี้ทำงานได้ดีพอสมควร ในแง่การตรวจสอบ ก็ขอเปิดอภิปรายทั่วไปรัฐบาลโดยไม่ลงมติรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ 1 ครั้ง เท่ากับ 2 รัฐบาลก่อนหน้านี้ ส่วนนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา ก็ยื่นตรวจสอบรัฐมนตรีทุกพรรคและทุกรัฐบาลอย่างเสมอหน้า แต่ยอมรับว่า มีปัญหาเรื่องตั้งกระทู้ถาม เพราะระบบจัดการทางธุรการทำให้กระทู้ถามไม่ตรงสถานการณ์
ส่วนงานด้านกฎหมายที่สำคัญสุดคือ วุฒิสภาเป็นผู้แก้ไขร่างพ.ร.บ.กู้เงิน 4 แสนล้าน ที่ต้องได้รับการตรวจสอบโครงการ ส่วนงานด้านตรวจสอบนโยบายรัฐบาล โครงการรถเมล์เอ็นจีวี 4 พันคัน วุฒิสภาก็มีส่วนตรวจสอบทำให้โครงการต้องชะลอลง ส่วนโครงการชุมชนพอเพียงและโครงการไทยเข้มแข็งในกระทรวงสาธารณสุข คณะกรรมาธิการสามัญของวุฒิสภา 2 คณะ ก็ตรวจสอบและมีข่าวออกมาเนืองๆ ฉะนั้นปีนี้ วุฒิสภามีผลงานออกเป็นระยะ
นายสมชาย กล่าวว่า สำหรับความขัดแย้งระหว่างส.ว.สรรหา และส.ว.เลือกตั้ง ยอมรับว่าเกิดขึ้นจริงเพราะมีที่มาต่างกัน ส่วนเรื่องที่นายวิชาญ ศิริชัยเอกวัฒน์ ส.ว.สรรหา ออกหนังสือให้ส.ว.ทบทวนการทำหน้าที่ตนเองโดยเฉพาะการพิจาณา กฎหมายตรวจเงินแผ่นดินนั้น นายวิชาญ เขียนไม่รอบด้าน ทั้งนี้มีบางฝ่ายพยายามจะล้มกฎหมายนี้มาตลอด เพราะกฎหมายนี้เปิดอีกช่องทางเพื่อจะส่งเรื่องตรวจสอบ ไปศาลได้ และสภาผู้แทนฯก็แก้ไขมา 50 มาตราแล้ว และยิ่งได้คุยกับวิปรัฐบาล ทราบว่า ถ้าวุฒิสภาแก้ไขก็ต้องมีการตั้งกรรมาธิการร่วมกันของสองสภา พรรคร่วมรัฐบาลจะไม่ยอมให้ผ่านแน่ จึงต้องเดินหน้า เพราะไม่ง่ายที่กฎหมายปราบทุจริตจะออกได้ในช่วงเวลาปกติ นอกจากนี้ กฎหมายป.ป.ช.หรือกฎหมายที่เกี่ยวกับศาล เกี่ยวข้องกับผู้ที่มีส่วนสรรหาส.ส.ทั้งสิ้นยังไม่มีปัญหา ฉะนั้นถ้าพูดแบบนี้ถือว่า ดูถูกวุฒิสภาเกินไป
ปธ.วุฒิฯ เป็นคนประนีประนอมไม่ได้หลักเลื่อน
นายสมชาย กล่าวว่า ส่วนที่สื่อมวลชนประจำรัฐสภาตั้งฉายาประธานวุฒิสภาว่า "ประธานหลักเลื่อน" ตนเห็นใจประธานวุฒิสภาเพราะมาจากศาล และในใจประธานวุฒิสภาต้องการเห็นความประนีประนอมจึงไม่พยายามไปข้างใด และอะไรช่วยลด ความขัดแย้งได้ ประธานวุฒิสภาถ้าพยายามทำ ฉะนั้นเมื่อไม่ยืนข้างใดจึงโดนฝ่าย ที่ไม่พอใจโจมตี ทั้งนี้กรณีรัฐธรรมนูญ ตนคิดว่าประธานวุฒิสภาทำถูกแล้ว เพราะวุฒิสภาเป็นผุ้สังเกตการณ์ไม่ใช่จะไปเจรจาตกลงกับฝ่ายอื่นได้
ส่วนฉายาอื่นๆ เช่น ของประธานสภาผู้แทนราษฎร ตนเห็นด้วย เพราะชั้นเชิง นายชัย ชิดชอบ ประธานสภา แพรวพราว แก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าได้ และคนอื่นๆ ที่เป็นประธานถือว่าห่างชั้นมาก ส่วนฉายาสภาผู้แทนราษฎร ตนเห็นด้วย เพราะเจอมาเอง โดยตอน ส.ว.ไปประชุมร่วมรัฐสภา ส.ส.ฝ่ายค้านด่าหยาบคายใส่ส.ว.หญิง ฉะนั้นสภาผู้แทนฯ ต้องปรับปรุงเยอะ
ปชป.บอกฉายาสภาฯเหมาะสมแล้ว
ด้านนายเทพไท เสนพงศโฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ฉายา "เถื่อน-ถ่อย-ถีบ" ที่สื่อประจำรัฐสภาตั้งให้กับสภาฯปีนี้ถือเป็นกระจกสะท้อนภาพสภายุคนี้ว่าตกต่ำ มากที่สุด ฉะนั้น ส.ส.ทั้งหลายต้องกอบกู้เกียรติภูมิ ไม่เช่นนั้นสภาฯจะขาดความน่าเชื่อถือ
ส่วนฉายาอื่นๆ ถือว่าเหมาะสมชตรงกับบุคลิกและอธิบายได้ดี โดยเฉพาะดาวดับปีนี้ ที่เป็นของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธานส.ส.พรรคเพื่อไทย ซึ่งตนเห็นใจ ร.ต.อ. เฉลิม ที่เคยเป็นดาวสภา สมัยก่อนถึงกับมีคำพูดว่า มาทะเลเจอฉลาม มาสภาเจอเฉลิม แต่วันนี้บทบาทนั้นหายไปอย่างสิ้นเชิง แต่ร.ต.อ.เฉลิม ก็ออกมาโอดครวญว่า ไม่มีบทให้เล่น จุดนี้สะท้อนว่า บทที่เล่นอยู่ถูกกำหนดโดยนายใหญ่ขีดเส้นไว้แค่ไหน ซึ่งถ้าร.ต.อ.เฉลิม ได้รับการโปรโมทจากนายใหญ่เป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภา คงจะเด่นกว่านี้ ตอนนี้จึงเป็นอาการดาวร่วง ต่อมาเป็นดาวโรย ดาวดิ่ง และดาวดับ
ผู้นำฝ่ายค้าน "วิญญาณล่องหน"
สำหรับฉายาที่พรรคเพื่อไทย ตั้งให้รัฐบาลและพรรคประชาธิปัตย์ ก็เป็นสีสันการเมือง แต่ฟุ่มเฟือย เลอะเทอะที่พยายามตั้งสักๆ ให้ครบรัฐมนตรีทุกคน จึงขาดคุณภาพไร้ความหมาย ทั้งนี้ ตนขอถือโอกาสตั้งฉายาฝ่ายค้านด้วย ได้แก่ 1.ผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯที่สื่อมวลชนไม่ได้ตั้งฉายา ตนขอตั้งว่า "วิญญาณล่องหน" เพราะไม่มีตัวตน มีแต่วิญญาณที่เป็นผู้นำ ล่องหนอยู่ในดูไบบ้างหรือเขมรบ้าง 2.พรรคเพื่อไทย ฉายา "ร่างไร้วิญญาณ" คือมีแต่ร่างทรง ตัววิญญาณไม่มีสถิต จะมาเมื่อจุดธูปหรือทำพิธีกรรม แต่ปกติก็ลอยเคว้งคว้าง 3.หัวหน้าพรรคเพื่อไทย คือนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ ฉายา "ปู่โสมเฝ้าทรัพย์" เพราะเหมือนเป็นแขกยามรักษาพรรค รอเจ้าของพรรคตัวจริงกลับมา ไม่มีอำนาจตัดสินใจ ส่วนกรรมการบริหารพรรคก็เป็นร่างทรงเพื่อหนีรัฐธรรมนูญ ม. 237 4.ส.ส.พรรคเพื่อไทย ฉายา "ผีปากมัน กระสันตำแหน่ง" โดยแต่ละคน พยายามพูดเพื่อตัวเองจะได้มีตำแหน่ง เพื่อจะเข้าไปโกงต่อ
ทีมโฆษก พท."เกี่ยวกุ๊ยฉาวฉุ่ย"
5.ทีมโฆษกพรรคเพื่อไทย ได้แก่ นายพร้อมพงษ์ นพฤทธิ์ นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ นายการุณ โหสกุล น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส.กทม. นายสุชาติ ลายน้ำเงิน ส.ส.ลพบุรี ฉายา "เกี่ยวกุ๊ยฉาวฉุ่ย" เป็นภาษาจีน โดยเกี่ยวกุ๊ย แปลว่า พวกกุ๊ย ฉาวฉุ่ย แปลว่า ปากเสีย รวมแล้วคือ เป็นพวกกุ๊ย ที่ปั้นแต่งข้อมูลใส่ร้ายคนนั้นคนนี้โดย ไม่มีข้อมูลหลักฐานเพียงพอ 6.วาทะแห่งปี ซึ่งพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พูดว่า "ตายเป็นตาย เราจะไม่กลับบ้านมือเปล่า" ซึ่งหลอกหลอนความรู้สึกของคนไทย ทุกคนที่จะกลับมาภาค 2 ช่วงหลังปีใหม่นี้ และ 7พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้รับฉายา "ชูชกขายชาติ" เพราะได้รับข้อกล่าวหาว่ากินทุกอย่างที่ขวางหน้า จนนำมาซึ่งการที่ทหารออกมาทำรัฐประหาร ต่อมายังสมคบสมเด็จฮุนเซน นายกฯกัมพูชา ขายชาติ ทรยศชาติ จึงขอให้ระวังท้องแตกตาย