มาถึงวันนี้ค่อนข้างเป็นที่ชัดเจนแล้วว่าสิ่งที่นักการเมืองฝ่ายค้านเคยประกาศว่าจะเอาเจ้านายกลับมาปกครองประเทศภายในเดือนตุลาคม หรือพฤศจิกายน หรือภายในปี 2552 ได้ล้มเหลวไปหมดแล้ว
ที่เคยขู่รัฐบาลว่าจะไม่ได้อยู่ฉลองปีใหม่ก็มีแนวโน้มว่าจะล้มเหลวตามไปเช่นเดียวกัน
เพราะในวันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้พูดผ่านวิทยุในเครือข่ายแล้วว่า เวลาที่จะกลับมาประเทศไทยคือในเดือนเมษายน 2553 ซึ่งหมายความว่าระยะเวลาต้นปีที่เคยบอกลิ่วล้อบริวารว่าจะกลับมาประเทศไทยนั้น ขณะนี้ได้เลื่อนออกไปอีกครั้งหนึ่งเป็นเดือนเมษายน 2553
คงไม่ใช่การกลับมารับโทษจำคุกหรือมาขึ้นศาลในฐานะจำเลย แต่ที่พูดกันนั้นน่าจะหมายถึงกลับมาโดยไร้ราคีคาวใด ๆ และครองอำนาจเป็นใหญ่ในบ้านเมือง ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นได้ในระบบรัฐสภา
เพราะระยะเวลาที่ต้องโทษทางการเมืองตามคำตัดสินของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญก็ยังเหลืออยู่อีกร่วม 2 ปี ทั้งช่วงเวลาเพียง 4 เดือน ก็ไม่น่าที่จะมีการเลือกตั้งใหม่ ดังนั้นความหมายของเรื่องที่พูดกันจึงไม่อาจตีความเป็นอย่างอื่นได้
นอกจากต้องตีความว่าเป็นการกลับมามีอำนาจโดยวิถีทางอื่นที่ไม่ใช่หนทางรัฐสภา นั่นคือการยึดอำนาจ ไม่ด้วยทางใดก็ทางหนึ่ง เพราะนอกจากทางนี้แล้วก็ไม่มีทางที่จะเป็นรัฏฐาธิปัตย์ได้
ยังมีข้อเท็จจริงที่สนับสนุนการตีความดังกล่าวอีกมากหลาย โดยเฉพาะคำพูดของคนใหญ่คนโตในฝ่ายค้าน เช่นพวกนายทหารเกษียณที่พูดจาส่งสัญญาณค่อนข้างจะชัดเจน
บางคนพูดอย่างชัดเจนต่อสาธารณะว่าขณะนี้พ้นเวลาที่จะเจรจาปรองดองกันแล้ว สถานการณ์มาถึงขั้นใกล้ไคลแมกซ์แล้ว ซึ่งหมายถึงจุดสุดยอดที่จะแตกหักรู้หมู่รู้จ่ากันแล้วนั่นเอง
บางคนก็พูดว่าถ้ารัฐบาลไม่แก้ไขความแตกแยกในชาติก็จะมีคนอื่นมาจัดการ คนอื่นที่ว่านี้ก็มีความหมายชัดอยู่ในตัวว่าหมายถึงผู้ยึดอำนาจนั่นเอง
บางคนก็พูดอย่างชัดเจนว่าสถานการณ์มาถึงขั้นที่ต้องเปลี่ยนแปลงใหญ่ในประเทศไทยแล้ว
คำพูดเหล่านี้สอดรับกันอย่างเป็นกระบวนว่ามีคนกลุ่มหนึ่งกำลังดำเนินการบางสิ่งบางอย่างเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองในบ้านเมือง และพวกตนจะได้ครองอำนาจรัฐ ซึ่งกระบวนการเปลี่ยนแปลงนั้นมีความชัดเจนอยู่ในตัวว่าหมายถึงการยึดอำนาจจากรัฐบาลปัจจุบัน
นั่นคือเป้าหมายและสิ่งที่ต้องการจะให้เกิดขึ้นในอนาคตและความจริงก็ไม่ใช่เรื่องลึกลับประการใด เพราะเรื่องนี้ได้มีการกล่าวขวัญถึง ตลอดจนมีการเคลื่อนไหวเพื่อไปสู่เป้าหมายดังกล่าวมาแล้วหลายครั้ง เป็นแต่ว่าไม่สำเร็จ
เหตุการณ์สงกรานต์เลือดที่ผ่านมา รวมทั้งการจัดชุมนุมใหญ่เพื่อก่อให้เกิดสถานการณ์ที่เอื้อให้เกิดผลดังที่พูดถึงกันก็เกิดขึ้นหลายครั้งแล้ว เป็นแต่ว่าไม่สำเร็จ
และวันนี้การปรับขบวนเพื่อดำเนินการครั้งใหม่ในการไปถึงเป้าหมายที่ต้องการก็ได้เริ่มขึ้นอีกครั้งหนึ่งแล้ว
เริ่มขึ้นเพื่อนำไปสู่สถานการณ์ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะเดินทางกลับประเทศในเดือนเมษายน 2553 ตามที่พูดในวิทยุนั่นเอง
เป็นแต่ว่าครั้งนี้ดูเหมือนว่าจะมีการเตรียมการและมีการขับเคลื่อนชนิดที่เรียกว่าชอบกล และดูท่าจะหมายมั่นปั้นมือปิดเกมรัฐบาลเด็กดื้อให้ได้ในคราวนี้
ทว่าการเตรียมการนั้นก็ได้ก่อให้เกิดความสับสนวุ่นวายและความปั่นป่วนในบ้านเมืองที่ก่อผลสะเทือนไปทั่ว จนกระทั่งนักท่องเที่ยวไม่กล้าเดินทางเข้ามาประเทศไทยกันแล้ว การลงทุนและการค้าขายก็กำลังชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด
ดังนั้นมาดูกันว่าขบวนการอุ่นเครื่องหรือฉากแรกของศึกใหญ่นั้นก่อตัวและกำลังขับเคลื่อนไปในลักษณะใด เมื่อประมวลจากเหตุการณ์สำคัญ ๆ ที่เกิดขึ้นก็พอจะกล่าวได้ดังต่อไปนี้
เรื่องแรก เกิดการเคลื่อนไหวของกองทัพสื่อสีแดงอย่างกว้างขวางทั้งในภาคกลาง ภาคเหนือและภาคอีสาน ปลุกเร้าปลอบขวัญถึงวันเบ่งบานและการล้มล้างระบอบอำมาตย์ เรียกว่าโหมโรงกันอย่างครึกโครมทั่วทั้งบ้านทั้งเมือง บางแห่งถึงขนาดจัดเลี้ยงโต๊ะจีน เปิดการปราศรัยอย่างโจ๋งครึ่ม
เรื่องที่สอง เกิดปรากฏการณ์ข่มขู่คุกคามที่กระทบต่อความมั่นคงของประเทศ และความปลอดภัยของประชาชนอย่างเด่นชัด เช่น
การประกาศข่มขู่นายทะเบียนพรรคการเมืองหรือประธาน กกต. ว่าจะบุกไปเผาบ้านถ้าหากตัดสินว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่มีความผิด
การประกาศข่มขู่ว่าจะส่งคนเสื้อแดงไปบุกสำนักงานของสื่อมวลชนไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์หรือวิทยุที่เสนอข่าวเชิงลบต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
การประกาศข่มขู่ว่าจะส่งคนเสื้อแดงไปชุมนุมประท้วงหรือปิดล้อมที่กระทรวงการต่างประเทศ ที่ ป.ป.ช. และที่ศาลรัฐธรรมนูญ รวมทั้งการโทรศัพท์ข่มขู่ผู้พิพากษาศาลฎีกาจำนวนมาก เพื่อให้ตัดสินปล่อยทรัพย์ 76,000 ล้าน ที่กำลังพิจารณาอยู่ในขณะนี้
การประกาศข่มขู่คนเสื้อเหลืองไม่ให้จัดคอนเสิร์ตที่จังหวัดเชียงใหม่
การข่มขู่ข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ ไม่ให้ร่วมมือหรือปฏิบัติหน้าที่ราชการตามปกติ และชี้นำให้โดดเดี่ยวนายกษิต ภิรมย์ และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ด้วยการอ้างว่าหากมีการเปลี่ยนรัฐบาลแล้ว คนที่ร่วมมือกับรัฐบาลปัจจุบันจะอยู่ได้อย่างไร
การข่มขู่คุกคามแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ถึงขั้นใช้อาวุธสงคราม
การข่มขู่คุกคามนายทหารระดับสูงของประเทศ แม้กระทั่งผู้บัญชาการทหารบก
เหตุการณ์เหล่านี้ล้วนสะเทือนขวัญคนไทยทั่วทั้งประเทศ และข่าวคราวทั้งหลายเหล่านี้ก็ได้ถูกนำเสนอไปยังสื่อมวลชนต่างประเทศแล้วเผยแพร่ออกไปทั่วโลก
ทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศไทยในวันนี้มีสภาพเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนที่ไร้ขื่อแป มีแต่ความสับสนวุ่นวาย ความรุนแรง ความไม่ปลอดภัย ที่แผ่ปกคลุมอยู่อย่างหนาแน่นมากขึ้นทุกที
สภาพเช่นนี้นักท่องเที่ยวในโลกจึงไม่กล้าเดินทางเข้ามาประเทศไทย ทำให้ฤดูกาลท่องเที่ยวปลายปีของประเทศไทยต้องได้รับผลกระทบกระเทือนครั้งใหญ่ และส่งผลให้การลงทุนที่จะเกิดขึ้นในประเทศต้องได้รับผลกระทบกระเทือนอย่างใหญ่หลวง
เป็นเหตุให้บางประเทศต้องออกคำเตือนนักลงทุนและนักท่องเที่ยวของตนให้ระมัดระวังในการเดินทางมาประเทศไทย
เป็นเหตุให้บางพื้นที่ของประเทศไทย เช่น จังหวัดเชียงใหม่กลายเป็นดินแดนสยองขวัญ ที่แม้คนไทยด้วยกันก็พยายามหลีกเลี่ยง ไม่อยากไปท่องเที่ยว หรือไปมาหาสู่เหมือนดังแต่ก่อน
สภาพบ้านเมืองที่ไร้ขื่อแปและบ้านป่าเมืองเถื่อนที่กำลังเกิดขึ้นกับประเทศไทยของเรานี้เป็นเรื่องที่รัฐบาลจะต้องรับผิดชอบ ทั้งในส่วนการป้องกันและในด้านจัดการแก้ไข
ปรากฏว่ารัฐบาลไม่ได้ดำเนินการใด ๆ ในเรื่องนี้เลย ผู้คนในรัฐบาลได้ทอดทิ้งและไม่สนใจไยดีต่อปัญหานี้ วัน ๆ เอาแต่พูดเรื่องอื่น ยกเรื่องอื่นมากลบหรือบังหน้าเพื่อจะได้มีเวลาอยู่ในอำนาจเป็นวันๆ ต่อไป
เพราะเหตุนี้จึงทำให้สภาพบ้านป่าเมืองเถื่อนหรือสภาพไร้ขื่อแปในบ้านเมืองของเราขยายตัวลุกลามจนไม่อาจแก้ไขได้ง่ายๆ อีกแล้ว เป็นไปดังที่นายทหารเกษียณบางคนพูดว่าเลยเวลาที่จะเจรจาปรองดองกันแล้ว ซึ่งหมายถึงจะต้องตัดสินหรือจัดการปัญหากันด้วยความรุนแรงหรือสงครามกลางเมือง
ดังนั้นในวันนี้ไม่ว่าที่ไหน ๆ ก็มีแต่การพูดกันถึงสงครามกลางเมือง พูดกันถึงเรื่องการเตรียมการป้องกันตนภายใต้ขอบเขตที่กฎหมายกำหนดให้ พูดกันถึงแต่เรื่องการจัดหาอาวุธเพื่อป้องกันตนเองหรือจัดการกับฝ่ายตรงกันข้ามกับตน
จากสภาพบ้านป่าเมืองเถื่อน สภาพบ้านเมืองที่ไร้ขื่อแปกำลังจะยกระดับความรุนแรงไปสู่ขั้นใหม่คือสงครามกลางเมือง
คงเหลือแต่ว่าจะเกิดศึกใหญ่แล้วเกิดสงครามกลางเมืองตามมาหรือว่าจะเกิดสงครามกลางเมืองต่อเนื่องกันไป จนกระทั่งบรรลัยวายวอดหมดสิ้นทั้งแผ่นดินนี้
เหล่านี้คือสภาพการณ์ที่กำลังเคลื่อนตัวไปในยามที่ปีพุทธศักราช 2552 กำลังจะผ่านพ้นไป ปีใหม่ที่จะย่างมาถึงจึงอาจจะเป็นปีแห่งการนองเลือดและความวิปโยคโศกเศร้าครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศเราก็ได้ หากว่ารัฐบาลนี้ยังคงหน่อมแน้มเฉื่อยชาล้าหลังและเหลวไหลดังที่เป็นอยู่.
ที่เคยขู่รัฐบาลว่าจะไม่ได้อยู่ฉลองปีใหม่ก็มีแนวโน้มว่าจะล้มเหลวตามไปเช่นเดียวกัน
เพราะในวันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้พูดผ่านวิทยุในเครือข่ายแล้วว่า เวลาที่จะกลับมาประเทศไทยคือในเดือนเมษายน 2553 ซึ่งหมายความว่าระยะเวลาต้นปีที่เคยบอกลิ่วล้อบริวารว่าจะกลับมาประเทศไทยนั้น ขณะนี้ได้เลื่อนออกไปอีกครั้งหนึ่งเป็นเดือนเมษายน 2553
คงไม่ใช่การกลับมารับโทษจำคุกหรือมาขึ้นศาลในฐานะจำเลย แต่ที่พูดกันนั้นน่าจะหมายถึงกลับมาโดยไร้ราคีคาวใด ๆ และครองอำนาจเป็นใหญ่ในบ้านเมือง ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นได้ในระบบรัฐสภา
เพราะระยะเวลาที่ต้องโทษทางการเมืองตามคำตัดสินของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญก็ยังเหลืออยู่อีกร่วม 2 ปี ทั้งช่วงเวลาเพียง 4 เดือน ก็ไม่น่าที่จะมีการเลือกตั้งใหม่ ดังนั้นความหมายของเรื่องที่พูดกันจึงไม่อาจตีความเป็นอย่างอื่นได้
นอกจากต้องตีความว่าเป็นการกลับมามีอำนาจโดยวิถีทางอื่นที่ไม่ใช่หนทางรัฐสภา นั่นคือการยึดอำนาจ ไม่ด้วยทางใดก็ทางหนึ่ง เพราะนอกจากทางนี้แล้วก็ไม่มีทางที่จะเป็นรัฏฐาธิปัตย์ได้
ยังมีข้อเท็จจริงที่สนับสนุนการตีความดังกล่าวอีกมากหลาย โดยเฉพาะคำพูดของคนใหญ่คนโตในฝ่ายค้าน เช่นพวกนายทหารเกษียณที่พูดจาส่งสัญญาณค่อนข้างจะชัดเจน
บางคนพูดอย่างชัดเจนต่อสาธารณะว่าขณะนี้พ้นเวลาที่จะเจรจาปรองดองกันแล้ว สถานการณ์มาถึงขั้นใกล้ไคลแมกซ์แล้ว ซึ่งหมายถึงจุดสุดยอดที่จะแตกหักรู้หมู่รู้จ่ากันแล้วนั่นเอง
บางคนก็พูดว่าถ้ารัฐบาลไม่แก้ไขความแตกแยกในชาติก็จะมีคนอื่นมาจัดการ คนอื่นที่ว่านี้ก็มีความหมายชัดอยู่ในตัวว่าหมายถึงผู้ยึดอำนาจนั่นเอง
บางคนก็พูดอย่างชัดเจนว่าสถานการณ์มาถึงขั้นที่ต้องเปลี่ยนแปลงใหญ่ในประเทศไทยแล้ว
คำพูดเหล่านี้สอดรับกันอย่างเป็นกระบวนว่ามีคนกลุ่มหนึ่งกำลังดำเนินการบางสิ่งบางอย่างเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองในบ้านเมือง และพวกตนจะได้ครองอำนาจรัฐ ซึ่งกระบวนการเปลี่ยนแปลงนั้นมีความชัดเจนอยู่ในตัวว่าหมายถึงการยึดอำนาจจากรัฐบาลปัจจุบัน
นั่นคือเป้าหมายและสิ่งที่ต้องการจะให้เกิดขึ้นในอนาคตและความจริงก็ไม่ใช่เรื่องลึกลับประการใด เพราะเรื่องนี้ได้มีการกล่าวขวัญถึง ตลอดจนมีการเคลื่อนไหวเพื่อไปสู่เป้าหมายดังกล่าวมาแล้วหลายครั้ง เป็นแต่ว่าไม่สำเร็จ
เหตุการณ์สงกรานต์เลือดที่ผ่านมา รวมทั้งการจัดชุมนุมใหญ่เพื่อก่อให้เกิดสถานการณ์ที่เอื้อให้เกิดผลดังที่พูดถึงกันก็เกิดขึ้นหลายครั้งแล้ว เป็นแต่ว่าไม่สำเร็จ
และวันนี้การปรับขบวนเพื่อดำเนินการครั้งใหม่ในการไปถึงเป้าหมายที่ต้องการก็ได้เริ่มขึ้นอีกครั้งหนึ่งแล้ว
เริ่มขึ้นเพื่อนำไปสู่สถานการณ์ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะเดินทางกลับประเทศในเดือนเมษายน 2553 ตามที่พูดในวิทยุนั่นเอง
เป็นแต่ว่าครั้งนี้ดูเหมือนว่าจะมีการเตรียมการและมีการขับเคลื่อนชนิดที่เรียกว่าชอบกล และดูท่าจะหมายมั่นปั้นมือปิดเกมรัฐบาลเด็กดื้อให้ได้ในคราวนี้
ทว่าการเตรียมการนั้นก็ได้ก่อให้เกิดความสับสนวุ่นวายและความปั่นป่วนในบ้านเมืองที่ก่อผลสะเทือนไปทั่ว จนกระทั่งนักท่องเที่ยวไม่กล้าเดินทางเข้ามาประเทศไทยกันแล้ว การลงทุนและการค้าขายก็กำลังชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด
ดังนั้นมาดูกันว่าขบวนการอุ่นเครื่องหรือฉากแรกของศึกใหญ่นั้นก่อตัวและกำลังขับเคลื่อนไปในลักษณะใด เมื่อประมวลจากเหตุการณ์สำคัญ ๆ ที่เกิดขึ้นก็พอจะกล่าวได้ดังต่อไปนี้
เรื่องแรก เกิดการเคลื่อนไหวของกองทัพสื่อสีแดงอย่างกว้างขวางทั้งในภาคกลาง ภาคเหนือและภาคอีสาน ปลุกเร้าปลอบขวัญถึงวันเบ่งบานและการล้มล้างระบอบอำมาตย์ เรียกว่าโหมโรงกันอย่างครึกโครมทั่วทั้งบ้านทั้งเมือง บางแห่งถึงขนาดจัดเลี้ยงโต๊ะจีน เปิดการปราศรัยอย่างโจ๋งครึ่ม
เรื่องที่สอง เกิดปรากฏการณ์ข่มขู่คุกคามที่กระทบต่อความมั่นคงของประเทศ และความปลอดภัยของประชาชนอย่างเด่นชัด เช่น
การประกาศข่มขู่นายทะเบียนพรรคการเมืองหรือประธาน กกต. ว่าจะบุกไปเผาบ้านถ้าหากตัดสินว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่มีความผิด
การประกาศข่มขู่ว่าจะส่งคนเสื้อแดงไปบุกสำนักงานของสื่อมวลชนไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์หรือวิทยุที่เสนอข่าวเชิงลบต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
การประกาศข่มขู่ว่าจะส่งคนเสื้อแดงไปชุมนุมประท้วงหรือปิดล้อมที่กระทรวงการต่างประเทศ ที่ ป.ป.ช. และที่ศาลรัฐธรรมนูญ รวมทั้งการโทรศัพท์ข่มขู่ผู้พิพากษาศาลฎีกาจำนวนมาก เพื่อให้ตัดสินปล่อยทรัพย์ 76,000 ล้าน ที่กำลังพิจารณาอยู่ในขณะนี้
การประกาศข่มขู่คนเสื้อเหลืองไม่ให้จัดคอนเสิร์ตที่จังหวัดเชียงใหม่
การข่มขู่ข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ ไม่ให้ร่วมมือหรือปฏิบัติหน้าที่ราชการตามปกติ และชี้นำให้โดดเดี่ยวนายกษิต ภิรมย์ และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ด้วยการอ้างว่าหากมีการเปลี่ยนรัฐบาลแล้ว คนที่ร่วมมือกับรัฐบาลปัจจุบันจะอยู่ได้อย่างไร
การข่มขู่คุกคามแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ถึงขั้นใช้อาวุธสงคราม
การข่มขู่คุกคามนายทหารระดับสูงของประเทศ แม้กระทั่งผู้บัญชาการทหารบก
เหตุการณ์เหล่านี้ล้วนสะเทือนขวัญคนไทยทั่วทั้งประเทศ และข่าวคราวทั้งหลายเหล่านี้ก็ได้ถูกนำเสนอไปยังสื่อมวลชนต่างประเทศแล้วเผยแพร่ออกไปทั่วโลก
ทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศไทยในวันนี้มีสภาพเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนที่ไร้ขื่อแป มีแต่ความสับสนวุ่นวาย ความรุนแรง ความไม่ปลอดภัย ที่แผ่ปกคลุมอยู่อย่างหนาแน่นมากขึ้นทุกที
สภาพเช่นนี้นักท่องเที่ยวในโลกจึงไม่กล้าเดินทางเข้ามาประเทศไทย ทำให้ฤดูกาลท่องเที่ยวปลายปีของประเทศไทยต้องได้รับผลกระทบกระเทือนครั้งใหญ่ และส่งผลให้การลงทุนที่จะเกิดขึ้นในประเทศต้องได้รับผลกระทบกระเทือนอย่างใหญ่หลวง
เป็นเหตุให้บางประเทศต้องออกคำเตือนนักลงทุนและนักท่องเที่ยวของตนให้ระมัดระวังในการเดินทางมาประเทศไทย
เป็นเหตุให้บางพื้นที่ของประเทศไทย เช่น จังหวัดเชียงใหม่กลายเป็นดินแดนสยองขวัญ ที่แม้คนไทยด้วยกันก็พยายามหลีกเลี่ยง ไม่อยากไปท่องเที่ยว หรือไปมาหาสู่เหมือนดังแต่ก่อน
สภาพบ้านเมืองที่ไร้ขื่อแปและบ้านป่าเมืองเถื่อนที่กำลังเกิดขึ้นกับประเทศไทยของเรานี้เป็นเรื่องที่รัฐบาลจะต้องรับผิดชอบ ทั้งในส่วนการป้องกันและในด้านจัดการแก้ไข
ปรากฏว่ารัฐบาลไม่ได้ดำเนินการใด ๆ ในเรื่องนี้เลย ผู้คนในรัฐบาลได้ทอดทิ้งและไม่สนใจไยดีต่อปัญหานี้ วัน ๆ เอาแต่พูดเรื่องอื่น ยกเรื่องอื่นมากลบหรือบังหน้าเพื่อจะได้มีเวลาอยู่ในอำนาจเป็นวันๆ ต่อไป
เพราะเหตุนี้จึงทำให้สภาพบ้านป่าเมืองเถื่อนหรือสภาพไร้ขื่อแปในบ้านเมืองของเราขยายตัวลุกลามจนไม่อาจแก้ไขได้ง่ายๆ อีกแล้ว เป็นไปดังที่นายทหารเกษียณบางคนพูดว่าเลยเวลาที่จะเจรจาปรองดองกันแล้ว ซึ่งหมายถึงจะต้องตัดสินหรือจัดการปัญหากันด้วยความรุนแรงหรือสงครามกลางเมือง
ดังนั้นในวันนี้ไม่ว่าที่ไหน ๆ ก็มีแต่การพูดกันถึงสงครามกลางเมือง พูดกันถึงเรื่องการเตรียมการป้องกันตนภายใต้ขอบเขตที่กฎหมายกำหนดให้ พูดกันถึงแต่เรื่องการจัดหาอาวุธเพื่อป้องกันตนเองหรือจัดการกับฝ่ายตรงกันข้ามกับตน
จากสภาพบ้านป่าเมืองเถื่อน สภาพบ้านเมืองที่ไร้ขื่อแปกำลังจะยกระดับความรุนแรงไปสู่ขั้นใหม่คือสงครามกลางเมือง
คงเหลือแต่ว่าจะเกิดศึกใหญ่แล้วเกิดสงครามกลางเมืองตามมาหรือว่าจะเกิดสงครามกลางเมืองต่อเนื่องกันไป จนกระทั่งบรรลัยวายวอดหมดสิ้นทั้งแผ่นดินนี้
เหล่านี้คือสภาพการณ์ที่กำลังเคลื่อนตัวไปในยามที่ปีพุทธศักราช 2552 กำลังจะผ่านพ้นไป ปีใหม่ที่จะย่างมาถึงจึงอาจจะเป็นปีแห่งการนองเลือดและความวิปโยคโศกเศร้าครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศเราก็ได้ หากว่ารัฐบาลนี้ยังคงหน่อมแน้มเฉื่อยชาล้าหลังและเหลวไหลดังที่เป็นอยู่.