ASTVผู้จัดการรายวัน-ยกฟ้อง “เปมิกา” หมิ่น “แม่-พี่ชาย” หมอประกิตเผ่า เหตุฟ้องช้าคดีขาดอายุความ ส่วนข้อหาแจ้งความและเบิกเท็จพยานไร้น้ำหนักแถมโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะไม่ใช่ผู้เสียหาย
วานนี้(18 ธ.ค.)เวลา 09.30 น.ที่ห้องพิจารณาคดี 911 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ 1973/2550 ที่ นางเพลินจิต และ นพ.ประกิตพันธุ์ ทมทิตชงค์ มารดาและพี่ชายของ นพ.ประกิตเผ่า ทมทิตชงค์ เจ้าของโรงเรียนกวดวิชา แอพพลายด์ ฟิสิกส์ เป็นโจทก์ฟ้อง น.ส.เปมิกา วีรชัชรักษิต อดีตเพื่อนสาวคนสนิทของ นพ.ประกิตเผ่า เป็นจำเลย ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่น, แจ้งความเท็จเพื่อให้บุคคลอื่นต้องรับโทษทางอาญา และ เบิกความเท็จ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172, 173, 174, 177 และ 326
คดีนี้ โจทก์ฟ้องสรุปว่า เมื่อวันที่ 20 ก.พ. - 9 มี.ค.2550 จำเลยใส่ความโจทก์ทั้งสองด้วยการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อ พ.ต.ท.ฐิติเดช อินทรแป้น สารวัตรสอบสวน สน.บางซื่อ (ขณะนั้น) กล่าวหาว่า นพ.ประกิตเผ่า มีปัญหากับครอบครัว ทั้งมารดา พี่ชาย และภรรยา เกี่ยวกับการบริหารสถาบันกวดวิชา และทำให้มารดาและพี่ชายวางแผนหลอกเอาตัวไปกักขัง คุมไว้ที่ โรงพยาบาลศรีธัญญา จ.นนทบุรี อ้างว่าป่วยมีอาการโรคจิต และต่อพนักงานสอบสวนยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งปล่อยตัว นพ.ประกิตเผ่า ซึ่งมีจำเลย ขึ้นเบิกความต่อศาลอาญา ซึ่งศาลไต่สวนแล้วมีคำสั่งยกคำร้อง
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ในความผิดฐานหมิ่นมาทนั้น ต้องฟ้องภายในระยะเวลา 3 เดือนนับแต่วันที่รู้ว่าตนเองถูกกระทำให้ได้รับความเสียหาย มิเช่นนั้นคดีมีอันขาดอายุความ จากพยานหลักฐานที่นำสืบโจทก์ทั้งสองทราบว่าจำเลยแจ้งความกับพนักงานสอบสวน กล่าวหาโจทก์ทั้งสองกักขังหน่วงเหนี่ยว นพ.ประกิตเผ่า ขอให้ศาลปล่อยตัวตั้งแต่วันที่ 20 ก.พ.50 แต่กลับนำคดีมายื่นฟ้องเมื่อวันที่ 28 พ.ค.50 คดีจึงขาดอายุความ ส่วนความผิดฐานแจ้งความเท็จในคดีอาญาเพื่อกลั่นแกล้งให้ผู้อื่นได้รับโทษนั้น เห็นว่าโจทก์ไม่ได้นำสืบให้เห็นว่าจำเลยแจ้งข้อความใดที่เป็นเท็จกับพนักงานสอบสวน อีกทั้งจำเลย เบิกความยืนยันว่าได้รับโทรศัพท์ จาก นพ.ประกิตเผ่า ว่าถูกกลุ่มบุคคลนำตัวไปกักขัง ขอให้ช่วยเหลือ และพยานที่เป็นผู้ช่วยผู้ป่วย รพ.ศรีธัญญา ยังยืนยันว่าให้โทรศัพท์เคลื่อนที่ นพ.ประกิตเผ่า ยืมใช้ เชื่อว่าจำเลยทราบเหตุดังกล่าวจึงไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน จึงเป็นการแจ้งความตามข้อเท็จจริงและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนั้น สำหรับความผิดฐานเบิกความเท็จนั้น มุ่งคุ้มครองเจ้าพนักงานในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งในคดีนี้คือ รพ.ศรีธัญญา โจทก์ร่วมทั้งสองไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรง พิพากษายกฟ้อง
ภายหลัง น.ส.เปมิกา กล่าวว่า ขอบคุณศาลที่ให้โอกาสชี้แจงข้อเท็จจริง และพิสูจน์ตัวเอง ส่วนคดีอื่นที่มีการฟ้องร้องกับครอบครัวทมทิตชงค์ตอนนี้ยังอยู่ในชั้นพิจารณาของศาล และยังไม่มีการจ่ายเงิน 2 ล้านบาท ให้นางอลิสา ทมทิตชงค์ ภรรยาของนายแพทย์ ประกิตเผ่า ฐานแสดงตนมีความสัมพันธ์ในเชิงชู้สาวกับสามี ตามคำสั่งศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง เนื่องจากแต่ละคดีข้อเท็จจริงมีความเชื่อมโยมกันต้องรอให้คดีถึงที่สุดเสียก่อน
วานนี้(18 ธ.ค.)เวลา 09.30 น.ที่ห้องพิจารณาคดี 911 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ 1973/2550 ที่ นางเพลินจิต และ นพ.ประกิตพันธุ์ ทมทิตชงค์ มารดาและพี่ชายของ นพ.ประกิตเผ่า ทมทิตชงค์ เจ้าของโรงเรียนกวดวิชา แอพพลายด์ ฟิสิกส์ เป็นโจทก์ฟ้อง น.ส.เปมิกา วีรชัชรักษิต อดีตเพื่อนสาวคนสนิทของ นพ.ประกิตเผ่า เป็นจำเลย ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่น, แจ้งความเท็จเพื่อให้บุคคลอื่นต้องรับโทษทางอาญา และ เบิกความเท็จ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172, 173, 174, 177 และ 326
คดีนี้ โจทก์ฟ้องสรุปว่า เมื่อวันที่ 20 ก.พ. - 9 มี.ค.2550 จำเลยใส่ความโจทก์ทั้งสองด้วยการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อ พ.ต.ท.ฐิติเดช อินทรแป้น สารวัตรสอบสวน สน.บางซื่อ (ขณะนั้น) กล่าวหาว่า นพ.ประกิตเผ่า มีปัญหากับครอบครัว ทั้งมารดา พี่ชาย และภรรยา เกี่ยวกับการบริหารสถาบันกวดวิชา และทำให้มารดาและพี่ชายวางแผนหลอกเอาตัวไปกักขัง คุมไว้ที่ โรงพยาบาลศรีธัญญา จ.นนทบุรี อ้างว่าป่วยมีอาการโรคจิต และต่อพนักงานสอบสวนยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งปล่อยตัว นพ.ประกิตเผ่า ซึ่งมีจำเลย ขึ้นเบิกความต่อศาลอาญา ซึ่งศาลไต่สวนแล้วมีคำสั่งยกคำร้อง
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ในความผิดฐานหมิ่นมาทนั้น ต้องฟ้องภายในระยะเวลา 3 เดือนนับแต่วันที่รู้ว่าตนเองถูกกระทำให้ได้รับความเสียหาย มิเช่นนั้นคดีมีอันขาดอายุความ จากพยานหลักฐานที่นำสืบโจทก์ทั้งสองทราบว่าจำเลยแจ้งความกับพนักงานสอบสวน กล่าวหาโจทก์ทั้งสองกักขังหน่วงเหนี่ยว นพ.ประกิตเผ่า ขอให้ศาลปล่อยตัวตั้งแต่วันที่ 20 ก.พ.50 แต่กลับนำคดีมายื่นฟ้องเมื่อวันที่ 28 พ.ค.50 คดีจึงขาดอายุความ ส่วนความผิดฐานแจ้งความเท็จในคดีอาญาเพื่อกลั่นแกล้งให้ผู้อื่นได้รับโทษนั้น เห็นว่าโจทก์ไม่ได้นำสืบให้เห็นว่าจำเลยแจ้งข้อความใดที่เป็นเท็จกับพนักงานสอบสวน อีกทั้งจำเลย เบิกความยืนยันว่าได้รับโทรศัพท์ จาก นพ.ประกิตเผ่า ว่าถูกกลุ่มบุคคลนำตัวไปกักขัง ขอให้ช่วยเหลือ และพยานที่เป็นผู้ช่วยผู้ป่วย รพ.ศรีธัญญา ยังยืนยันว่าให้โทรศัพท์เคลื่อนที่ นพ.ประกิตเผ่า ยืมใช้ เชื่อว่าจำเลยทราบเหตุดังกล่าวจึงไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน จึงเป็นการแจ้งความตามข้อเท็จจริงและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนั้น สำหรับความผิดฐานเบิกความเท็จนั้น มุ่งคุ้มครองเจ้าพนักงานในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งในคดีนี้คือ รพ.ศรีธัญญา โจทก์ร่วมทั้งสองไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรง พิพากษายกฟ้อง
ภายหลัง น.ส.เปมิกา กล่าวว่า ขอบคุณศาลที่ให้โอกาสชี้แจงข้อเท็จจริง และพิสูจน์ตัวเอง ส่วนคดีอื่นที่มีการฟ้องร้องกับครอบครัวทมทิตชงค์ตอนนี้ยังอยู่ในชั้นพิจารณาของศาล และยังไม่มีการจ่ายเงิน 2 ล้านบาท ให้นางอลิสา ทมทิตชงค์ ภรรยาของนายแพทย์ ประกิตเผ่า ฐานแสดงตนมีความสัมพันธ์ในเชิงชู้สาวกับสามี ตามคำสั่งศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง เนื่องจากแต่ละคดีข้อเท็จจริงมีความเชื่อมโยมกันต้องรอให้คดีถึงที่สุดเสียก่อน