xs
xsm
sm
md
lg

ปอกเปลือก “อนุพงษ์” กับ 'เกมยึดเก้าอี้' ผบ.ทบ.และกึ๋นสั่งสอน“เสธ.แดง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดาในวันที่ต้องบากหน้าพบทหารพรานค่ายปักธงชัย จ.นครราชสีมา เพื่อสกัดกั้นการเข้าร่วมกับกลุ่มคนเสื้อแดงตามที่ “เสธ.แดง” กล่าวอ้าง พร้อมมอบเงินกองทุนให้อีก 5 ล้านบาท
แม้ว่าถนนสายนี้จะไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบกก็ยังคงครอง 'เกมและเก้าอี้' ผ่านอุปสรรคมาได้ด้วยดีเสมอ ตัวอย่างที่ผ่านมาก็มีให้เห็น ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น หรือการเมืองจะพลิกขั้ว เปลี่ยนข้างไปทางไหน พล.อ.อนุพงษ์ก็ยังดูมั่นคงสดใสอยู่ในเก้าอี้ ผบ.ทบ.ได้เสมอ

แม้แต่ห้วงเวลาที่ นายสมัคร สุนทรเวช ได้รับเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อช่วงต้นปี 51 ซึ่งเป็นการปลุกผีร่างทรงทักษิณขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งทำให้การรัฐประหารของ คมช.ที่เขามีส่วนร่วมด้วยแพ้ยับเยิน แต่พล.อ.อนุพงษ์ก็ยังคงผงาดอยู่ในเก้าอี้ ผบ.ทบ.ได้โดยไม่มีอาการสั่นคลอน

ทั้งนี้ ถ้าหากไล่เรียงดูจะพบข้อมูลที่น่าทึ่งว่า พล.อ.อนุพงษ์นั้น เป็นผบ.ทบ.ที่ผ่านนายกรัฐมนตรีถึง 4 คนด้วยกันคือ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายสมัคร สุนทรเวช นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

คำถามก็คือ อะไรทำให้ผบ.ทบ.ชื่ออนุพงษ์ยึดเก้าอี้ตัวนี้เอาไว้ได้

ที่สำคัญคือการขยับตัวครั้งล่าสุดต่อกรณีทหารพรานนั้น ทำให้สังคมจับตามองบทบาทของผบ.ทบ.อีกครั้งหลังจากที่เขามักแทงกั๊กทางการเมืองมาโดยตลอดว่า เพราะเป็นการขยับตัวในช่วงที่คนไทยกำลังมีความสุขจากการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงหายจากพระอาการประชวร และพระราชทานพระราชดำรัสที่มีค่ายิ่งต่อปวงชนชาวไทย

ลับ ลวง พราง เกมแห่งอำนาจของบิ๊กป็อก

พล.อ.อนุพงษ์ก้าวขึ้นมาดำรงตำแหน่งผบ.ทบ.สืบต่อจาก “บิ๊กบัง” พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ภายหลังจากร่วมมือกันโค่นอำนาจของ นช.ทักษิณ ชินวัตร ด้วยการทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 ก.ย.49 พร้อมๆ กับความผิดหวังของ 2 นายทหารตัวเต็งที่มีรายชื่อเป็นแคนดิเดต นั่นก็คือ พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตรและพล.อ.มนตรี สังขทรัพย์

2 ปีเศษบนเก้าอี้ ผบ.ทบ.มีคำถามเกิดขึ้นมากมายกับ พล.อ.อนุพงษ์ว่า แท้ที่จริงแล้วจุดยืนของเขาคืออะไรกันแน่ เพราะยิ่งนับวันดูเหมือนเขาจะยิ่งลอยตัวอยู่เหนือปัญหา เว้นแต่เหตุการณ์นั้นจะทำให้ภาพลักษณ์ของเขาเป็นบวก เขาจึงออกมาแสดงความคิดเห็น

จนมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมาว่า เหตุที่พล.อ.อนุพงษ์เป็นเช่นนี้ก็เพราะเขาต้องการนั่งอยู่บนเก้าอี้ผบ.ทบ.ไปจนกว่าจะเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 ก.ย.53 ซึ่งถ้าหากลูกพี่ใหญ่แห่ง “กลุ่มบูรพาพยัคฆ์” ของเขา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณยังนั่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

หากย้อนกลับไปดูพฤติกรรมของพล.อ.อนุพงษ์ในช่วงที่บ้านเมืองตกอยู่ภายใต้วิกฤติและต้องการความเห็นหรือการตัดสินใจ เขากลับมินำพากับปัญหาที่เกิดขึ้น ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ กองทัพบกภายใต้การนำของเขาปล่อยให้ตำรวจยิงถล่มประชาชนได้ตลอดทั้งวันในเหตุการณ์ 7 ตุลาเลือดปี 2551

กระทั่งต่อมาได้มีการแก้เกมด้วยการออกมาเปิดใจให้สัมภาษณ์ว่า มีความคิดให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ลาออก เพราะเชื่อว่าจะทำให้สถานการณ์บ้านเมืองดีขึ้นและเป็นการแสดงความรับผิดชอบ

หรือในช่วงที่มีประเด็นความขัดแย้งเรื่องเขาพระวิหาร ที่ประเทศไทยอาจต้องเสียพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรไปให้กับเขมร พล.อ.อนุพงษ์ก็เพียงออกมากำชับว่า จุดยืนของกองทัพเป็นไปตามนโยบายรัฐบาลโดยใช้การเจรจาทวิภาคี โดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารจะรักษาอธิปไตย ส่วนการเคลื่อนไหวของกลุ่มมวลชนที่ขึ้นไปประท้วงนั้น น่าจะส่งผลกระทบต่อการเจรจาทวิภาคี

แม้แต่เหตุการณ์ที่คนไทยสุดจะทนทานกับการที่นช.ทักษิณให้สัมภาษณ์ไทมส์ออนไลน์จาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ ผบ.ทบ.ผู้นี้ก็ทำได้แค่ฮึ่มฮั่มไปตามบทแล้วทุกอย่างก็เงียบหายไป

นอกเหนือจากเรื่องท่าทีของ พล.อ.อนุพงษ์แล้ว การทำหน้าที่ผบ.ท.บ.ของเขาดูเหมือนว่าจะไม่ประสบความสำเร็จเท่าใดนัก โดยเฉพาะความพยายามในการแก้ปัญหาความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เนื่องจากยังคงมีข่าวการฆ่ารายวันปรากฏให้เห็นอยู่อย่างต่อเนื่อง

และตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวชัดๆ ก็คือ การเกิดเหตุระเบิดและมีผู้เสียชีวิตในระหว่างการเดินทางไปภาคใต้ร่วมกันของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีไทยและนายราจิบ ราซัก นายกรัฐมนตรีประเทศมาเลเซีย

อย่างไรก็ตาม ตัวตนของ พล.อ.อนุพงษ์มีความเด่นชัดขึ้นว่า แท้ที่จริงแล้วเขารักเก้าอี้ผบ.ทบ.เหนือสิ่งอื่นใด เมื่อการเมืองเดินทางมาถึงจุดที่ต้องเปลี่ยนขั้ว เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่า เขาและบิ๊กป้อม-พี่ใหญ่แห่งบูรพาพยัคฆ์อยู่เบื้องหลังการดึง 32 ส.ส.จากกลุ่มเนวินมาเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคประชาธิปัตย์ และผลักดันให้นายอภิสิทธิ์ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี

ผลงานของเขาทำให้เก้าอี้ผบ.ทบ.มั่นคงยิ่งกว่าผนังทองแดงกำแพงเหล็ก กระทั่งเป็นที่รับรู้กันว่า เขากับพี่ป้อมและเนวินคือกลุ่มอำนาจใหม่ที่ทรงพลัง และกุมชะตากรรมของรัฐบาลอภิสิทธิ์เอาไว้อย่างอยู่หมัด ซึ่งนั่นคือสิ่งที่เขาพอใจที่สุดแล้ว

จัดระเบียบ “เสธ.แดง”บทที่จำเป็นต้องแสดง

จากนั้น พล.อ.อนุพงษ์ก็นั่งเก้าอี้ ผบ.ท.บ.อย่างสบายๆ พร้อมวางระยะห่างจากการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองและปัญหาความมั่นคง ประหนึ่งว่า เขามินำพากับปัญหาของบ้านเมือง และแทงกั๊กในการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองมาโดยตลอด กระทั่งเพิ่งลุกออกมาจากถ้ำจากกรณีที่ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผลหรือเสธ.แดง ให้ข้อมูลว่าจะมีทหารพรานจากค่ายปักธงชัยที่เคยเป็นของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธมาร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดงในวันที่ 10 ธ.ค.

และนั่นดูเหมือนว่าจะเป็นครั้งแรกที่พล.อ.อนุพงษ์พูดจาได้อย่างหนักแน่นสมกับเป็นผู้นำกองทัพ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ปล่อยให้ เสธ.แดงก่นด่าและสำแดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมอย่างมิรู้ร้อนรู้หนาว รวมทั้งคำพูดที่หลายคนอาจอยากได้ยินมานานว่า "ผมขอใช้คำว่าประณาม เพราะคนในกองทัพทำงานเพื่อชาติเพื่อแผ่นดินกันทุกคน ไม่มีใครทำงานหนักหรือเบากว่ากัน เพียงแต่ไม่กล่าวอ้างเท่านั้น กองทัพเป็นสถาบันหลัก ไม่ใช่ของผม ไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่งที่จะไปกล่าวอ้าง กองทัพเป็นทหารของประเทศชาติ เป็นทหารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไม่มีสิทธิ์ที่จะเอาไปทำอะไรทั้งสิ้น มันแย่มาก เข้าขั้นที่ว่าเป็นแนวความคิดที่ไม่ควรออกมาจากปากของคนที่เป็นทหาร...”

พร้อมทั้งเตรียมสอบสวนวินัยทหารกับเสธ.แดงด้วย

แต่นั่นก็ดูเหมือนจะไม่ได้ทำให้ผู้ทรงคุณวุฒิแห่งกองทัพบกเกรงกลัวแต่อย่างไร แถมยังตอกกลับมาด้วยประโยคดุเดือดเข้าใส่ผู้บัญชาการทหารบกด้วยว่า "กูทำอะไรให้มึง กูนี่แหละออกมาช่วยมึงคนเดียวทั้งกองทัพ มาใช้อำนาจมิชอบแบบนี้ ก็ให้อยู่แต่ในกองทัพบก อย่าออกมาก็แล้วกัน ไม่ได้ขู่นาย แต่ถ้าทำผมแบบนั้น ก็ไม่ใช่นายผม"

และในวันที่ 10 ธ.ค.ก็ลูบคมพล.อ.อนุพงษ์อย่างไม่ไว้หน้าด้วยการนำนักรบดำมาเปิดแถลงข่าวให้เห็นกันจะจะ จนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีทนไม่ไหวถึงกับต้องออกมาให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อสาธารณะให้พล.อ.อนุพงษ์จับตาเสธ.แดงอย่างใกล้ชิด

เสธ.แดง-ป็อกเงื่อนงำแห่งความสัมพันธ์

อย่างไรก็ตาม ท่าทีประกาศกร้าวของพล.อ.อนุพงษ์ที่จะจัดการกับพฤติกรรมนอกรีตนอกรอยของเสธ.แดงครั้งนี้ จะเอาจริงเอาจังแค่ไหนก็ไม่รู้ เพราะที่ผ่านมาไม่ว่าเสธ.แดงจะพูดและทำอะไรที่ไม่เหมาะสมกับการเป็นนายทหารกับการเป็นผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ก็ไม่เห็นกฎระเบียบวินัยทางทหารจะจัดการกับทหารนอกรีตผู้นี้ได้สักที ยกตัวอย่าง เช่น กรณีเหตุระเบิดที่เกิดกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หลายครั้งหลายครา นับตั้งแต่ชุมนุมที่สะพานมัฆวานรังสรรค์, ทำเนียบรัฐบาล, สนามบินดอนเมือง, และสนามบินสุวรรณภูมิ หรือแม้กระทั่งล่าสุด การชุมนุมเพื่อปกป้องชาติและสถาบันกษัตริย์ที่สนามหลวงเมื่อ 15 พ.ย. ที่ผ่านมา ล้วนแล้วแต่ชวนให้สงสัยว่า เสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ซึ่งเป็นผู้ที่ฝึก 'นักรบพระเจ้าตาก' ให้กับคนเสื้อแดง มีส่วนเกี่ยวข้องกับการลอบทำร้ายผู้ชุมนุมพันธมิตรฯ หรือไม่? สุดท้ายก็ไม่เห็นจะจับมือใครดมได้ และพล.อ.อนุพงษ์ ก็เล่นบทใจเย็นเหมือนเดิม

กรณีทหารพราน เสธ.แดงถึงกับลำเลิกบุญคุณเอาซึ่งๆ หน้ากับพล.อ.อนุพงษ์ว่า จริงๆ แล้ว เขาเป็นคนเดียวในกองทัพที่ออกมาปกป้องพล.อ.อนุพงษ์ตลอดเวลา ตั้งแต่การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ด่าพล.อ.อนุพงษ์บนเวที เขาก็ด่าให้ รวมถึงการโจมตีเรื่องจัดซื้อยานเกราะล้อยาง เขาแก้ต่างให้ตลอด แต่พล.อ.อนุพงษ์แปรเจตนาผิดตลอดเช่นกัน ที่เขามีเรื่องกับพันธมิตรฯ ก็เพราะพล.อ.อนุพงษ์

รวมถึงกรณีที่ เสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก แอบลอดลวดหนามข้ามเข้าไปเลียขา นช.ทักษิณ ถึงในเขมร แล้วออกมาแก้ตัวหน้าด้านๆ ว่าภาพที่ออกมานั้นไม่ใช่ตัวเอง แต่เป็นคนหน้าเหมือน มีแต่คนที่กินหญ้าเหมือนเสธ.แดงเท่านั้นที่จะเชื่อ

นายทหารใต้บังคับบัญชาทำงามหน้าได้ขนาดนี้ ก็ไม่เห็น พล.อ.อนุพงษ์ จะว่าอะไร อย่างมากก็ทำได้แค่เสียงขู่ “ฮึ่มๆ!” ไปวันๆ นอกนั้นก็ไม่มีอะไรในกอไผ่ พล.อ.อนุพงษ์ก็ยังนิ่งเฉยอยู่ได้เหมือนเดิม ขนาดเว็บไซต์ส่วนตัวของ เสธ.แดง มีการโพสต์ข้อความขู่ฆ่าคนตลอดเวลา ก็ไม่เห็นพล.อ.อนุพงษ์จะว่าอย่างไร จนทำให้หลายคนสงสัยและไม่เข้าใจว่า ผบ.ทบ. จะเก็บนายทหารผู้นี้ไว้ทำอะไร

เพราะการนิ่งเฉยโดยไม่จัดการอะไรกับ เสธ.แดง สักทีมันก็อาจทำให้คนเขาคิดได้ว่า กองทัพกำลังใช้ เสธ.แดง เป็นเครื่องมือเพื่อทำอะไรบางอย่างที่ต้องอาศัยความถ่อยเถื่อนที่เป็นกมลสันดานของนายทหารผู้นี้ใช่หรือไม่

ขณะที่อีกจำนวนไม่น้อยก็คิดเลยเถิดไปถึงว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา พล.อ.อนุพงษ์ ยังทำเป็นนิ่งเฉยอยู่ได้นั้นเป็นเพราะเสธ.แดง เป็นผู้กุมความลับสุดยอดอะไรไว้ หรือมีผลประโยชน์อะไรบางอย่างร่วมกัน?

และในที่สุดข้อสงสัยถึงความสัมพันธ์ระหว่างพล.อ.อนุพงษ์กับเสธ.แดงว่า แท้ที่จริงแล้วอยู่ในระดับไหนกันแน่ก็เริ่มเห็นเค้าลางมากขึ้น เพราะขณะที่พล.อ.อนุพงษ์ประกาศเล่นงานเสธ.แดง แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้สังคมเข้าใจว่า พล.อ.อนุพงษ์เล่นไปตามเกมที่เสธ.แดงกำหนดไว้ ราวกับรับลูกส่งลูกกันยังไงยังงั้น

หากยังจำกันได้ เสธ.แดงออกมาทำนายล่วงหน้าว่ากองทัพจะเอาเงินไปแจกที่ค่ายปักธงชัย อ้างเพื่อเป็นการทำบุญให้มูลนิธิทหารพราน และก็เป็นไปตามคำทำนายของหมอแดง เพราะหลังจากนั้น พล.อ.อนุพงษ์ก็ได้เดินทางไปพบปะกำลังพลอาสาสมัครทหารพราน และอดีตอาสาสมัครทหารพรานที่ค่ายปักธงชัย พร้อมประเดิมมอบเงินสด 5 ล้านตั้งกองทุนช่วยเหลือ อย่างที่เสธ.แดงฟันธง ว่าไว้จริงๆ

และสุดท้าย เสธ.แดงออกมาให้สัมภาษณ์จากปากของตัวเองว่า "โดยส่วนตัว ผมกับ พล.อ.อนุพงษ์ ก็เป็นเพื่อนกัน เรียนกวดวิชามารุ่นเดียวกัน เป็นรุ่น 11 เหมือนกัน เพียงแต่ พล.อ.อนุพงษ์ สอบได้ก่อนเท่านั้น"

คำให้สัมภาษณ์ของเสธ.แดง ทำให้สังคมเริ่มประติดประต่อข้อมูลได้ว่า ทำไม พล.อ.อนุพงษ์ถึงไม่จัดการเสธ.แดงเสียที

ส่วนคำกล่าวอ้างเรื่องความเป็นเพื่อนกันนั้น จะเป็นจริงแค่ไหน กาลเวลาเท่านั้นที่จะเป็นเครื่องพิสูจน์

**************************

ฟัง “เสธ.แดง” ด่า “อนุพงษ์” ที่สนามหลวง

“ผบ.ทบ. (พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา) มาสั่งให้หยุด... ตกลงมึงเป็นพวกใครกันแน่วะ ไอ้ xxx มึงพวกรัฐบาลหรือพวกพันธมิตรฯ แล้วมึงก็โดนด่าทุกวัน พันธมิตรฯ ด่าไอ้ขี้โกง ไอ้โกงรถยูเครน มึงเอาเงิน 50 ล้านทักษิณมาส่งลูกสาวเรียน ผมก็ไม่เข้าใจว่ามันไม่ได้ยินนะเวลาเขาด่ามัน แต่เวลาผมช่วยพูดให้มันมันเสือกได้ยิน มาสอบสวนผม ผมช่วยมันแต่มันเสือกมาสอบสวนผมเอง ผมก็งงเหมือนกัน...”

เสธ. แดงหัวเราะร่วน ก่อนพูดต่อว่า “ตายห่าเลย ฉิบหาย ห้ามด่า ผบ.ทบ. เพราะว่าเดี๋ยวถูกปลด อ้าวฉิบหายด่าไปหมดแล้ว เอ้า ... เขาเบรกดีแล้ว ... เอ้า ผบ.ทบ. คนเก่ง คนชม ชมแม่งก่อน เอ้ยบ้าฉิบหาย ช่วยมันมันเสือกมาสอบสวนเรา ก็เหมือนพระเจ้าตากสินกับลูกน้องพระเจ้าตากสิน กับลูกน้อง 500 คน ก็ต้องหนีออกอยุธยาเพราะอะไร เพราะยิงปืนใหญ่จึงถูกสอบสวน ตงลงไอ้ XXX พม่าไม่ใช่ศัตรูเป็นเพื่อนมึงใช่ไหม …”

เสธ.แดงในวันที่เดินทางไปพบ นช.ทักษิณ ที่เขมร
เสธ.แดงนำนักรบดำมาชุมนุมร่วมกับกลุ่มคนเสื้อแดงเมื่อวันที่ 10 ธ.ค.
กำลังโหลดความคิดเห็น