xs
xsm
sm
md
lg

กะเทาะเปลือก 'ดูไบเวิลด์' ปราสาททรายที่พังทลายของ “ทักษิณ”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ตึกเบิร์จ ดูไบ ซึ่งมี 160 ชั้นและเป็นตึกที่สูงที่สุดในโลก (2,684 ฟุต)ที่กำลังจะเปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 4 มกราคมปีหน้า โดยตึกแห่งนี้สิ้นค่าการก่อสร้างทั้งหมดราว 4,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ดูไบคือจุดหมายปลายทางของบรรดาเศรษฐีและอภิมหาเศรษฐีของโลกมากมาย และหนึ่งในนั้นก็คือ “ทักษิณ ชินวัตร” นักโทษที่หนีคดีไปลงหลักปักฐานเพื่อเคลื่อนไหวทางการเมืองอยู่ที่นั่น โดยมีคฤหาสน์สุดหรูมูลค่ากว่าล้านเหรียญสหรัฐอยู่ที่ Emirates Hills

ดูไบเป็นมหานครที่เต็มไปด้วยความฟุ้งเฟ้อและมีเศรษฐกิจที่เป็นฟองสบู่มากที่สุดแห่งหนึ่งของโลกจากผลพวงของการเนรมิตเมืองที่มีพื้นที่แค่ 4,000 ตารางกิโลเมตร ให้เป็นเมืองที่บรรจุความฝันและสิ่งมหัศจรรย์เหนือธรรมชาติไว้มากที่สุดในโลก และหนึ่งในบริษัทยักษ์ใหญ่สังกัดรัฐบาลดูไบที่มีหน้าที่สร้างฝันให้กลายเป็นความจริงก็คือ ดูไบเวิลด์

ทว่า การเล่นกับฟองสบู่ การเล่นกับมายาภาพมากเกินไป ทำให้ในที่สุดดูไบเวิลด์ก็ไม่สามารถฝืนความจริงแห่งธรรมชาติได้ จนต้องประกาศการพักชำระหนี้ที่จะครบกำหนดชำระในวันที่ 14 ธันวาคมนี้ ออกไป 6 เดือน ช็อกตลาดเงินทั้งโลก และตลาดหุ้นใน UAE ก็ร่วงลงอย่างหนัก และซ้ำเติมด้วยสถาบันจัดอันดับ Moody's กับ S&P ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือเป็น "Junk" หรือ "ขยะ" อีกทั้งยังลดอันดับเครดิตบริษัทอีก 6 แห่งของรัฐบาลดูไบไปด้วย

แน่นอนว่า งานนี้นอกจากจะทำให้ดูไบและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ระส่ำระสายทั้งประเทศแล้ว เชื่อว่าน่าจะทำให้เงินในกระเป๋าของนช.ทักษิณอันตรธานหายไปเป็นจำนวนไม่น้อยจากเม็ดเงินที่นำไปลงทุนในดูไบ รวมทั้งอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ที่เขาซื้อ

ยินดีต้อนรับสู่ ดูไบ สวรรค์ของ นช.ทักษิณ

‘ดูไบเวิลด์’ เป็นบริษัทของรัฐบาลดูไบ ทำธุรกิจครอบคลุมหลากหลายประเภท เอาแบบเข้าใจง่ายๆ ก็คือเขาทำธุรกิจตั้งแต่สากกระเบือยันเรือรบ มีบริษัทในเครือนับ 100 แห่งทั่วโลก ประมาณการว่ามีทรัพย์สินกว่า 100,000 ล้านเหรียญสหรัฐ มีพนักงานกว่า 1 แสนคน โดยผลงานยิ่งใหญ่ตระการตาอันเป็นที่ตกตะลึงพรึงเพริดของคนทั้งโลกก็คือ 3 โคตรอภิมหาโครงการอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ครบวงจร อย่าง เดอะปาล์ม จูไมราห์, เดอะปาล์ม จูเบล อาลี, และเดอะปาล์ม เดียร่า ภายใต้โครงการใหญ่ตัวแม่ที่เรียกว่า เดอะปาล์ม ไอซ์แลนด์ส โดยการถมทะเล สร้างเกาะรูปต้นปาล์มขนาดใหญ่ใกล้ชายฝั่งเมืองดูไบ ด้วยเงินทุนประมาณ 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐ

เกาะนี้ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ อันดับ 8 ของโลก และว่ากันว่าเพราะมันดูเหมือนเกาะมหึมาหน้าตาประหลาดที่อยู่ดีๆ ก็โผล่ขึ้นมาจากทะเล ดังนั้น ความใหญ่ของมันจึงทำให้แผนที่โลกที่เคยใช้กันมามีอันต้องเปลี่ยนแปลงไป

และผู้ที่อยู่เบื้องหลังการเติบโตอย่างยิ่งใหญ่ และรวดเร็ว (ราวกับเสกทะเลทรายให้กลายเป็นทองคำได้ก็ไม่ปาน) ภายในไม่กี่ปีก็คือ เชก โมฮัมเหม็ด บิน ราชิด อัล มักทูม เจ้าผู้ครองรัฐดูไบ เขาผู้นี้เป็นผู้สั่งการให้ขุดเอาทรายจากแม่น้ำใต้ทะเลขึ้นมาเพื่อทำให้ดูไบมีชายหาดเพิ่มจาก 7 กิโลเมตรเป็น 70 กิโลเมตร และปัจจุบันดูไบมีชายหาดที่ยาวถึง 2,000 กิโลเมตร และโครงการอื่นๆ อีกมากมายที่เอามาสาธยายตรงนี้ก็คงไม่หมดง่ายๆ อย่างแน่นอน

แน่นอน ความฟุ้งเฟ้อหรูหาของดูไบ ย่อมเป็นที่ต้องตาต้องใจ นช.ทักษิณที่หนีคดีจากประเทศไทยไม่น้อย เพราะที่นี่เขาสามารถใช้เงินบันดาลความสุข และสามารถใช้ชีวิตเยี่ยงมหาราชาได้เต็มพิกัด ดังนั้น เขาจึงเลือกดูไบเป็นที่พักพิง

อย่างไรก็ตาม ขณะที่โครงการเนรมิตสวรรค์วิมานยิ่งใหญ่กลางทะเลทรายดูเหมือนกำลังไปได้สวย ไปได้ด้วยดี แต่แล้วจู่ๆ ดูไบเวิลด์ก็ออกมาประกาศเลื่อนชำระหนี้หุ้นกู้ ส่งผลทำให้สวรรค์วิมานทองคำสวยหรูกลางทะเลทราย ก็กลายมาเป็นกองขยะในบัดดล จากเมืองแห่งต้นปาล์ม เกาะหรู มีตึกที่สูงที่สุดในโลก มีวิมานเสียดฟ้า มีโรงแรมหรูหราใต้ท้องทะเล และเป็นเมืองที่มีโทรศัพท์มือถือฝังเพชรขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่า มาบัดนี้กลับทรุดลงในพริบตา

กระทั่งมีข่าวล่ำลือกันว่า บรรดาเศรษฐีน้อยใหญ่พากันหอบผ้าหอบผ่อนหนี ‘วิกฤตดูไบเวิลด์’ กันจ้าละหวั่น โดยจอดรถยนต์กว่า 5,000 คันทิ้งไว้ที่สนามบินดูไบ เปิดตูดหนีไปอย่างไม่เหลียวหลัง รวมทั้ง นช.ทักษิณ เศรษฐีหนีโทษจากเมืองไทยด้วย

การที่ นช.ทักษิณใช้ดูไบเป็นที่พำนักพักอาศัย ปฏิเสธไม่ได้ว่า เขาจะต้องใช้เงินใช้ทองมากมายในการนี้ เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว ดูไบคงไม่ยอมให้นักโทษหนีคดีที่ทางการไทยต้องการมาซุกหัวอยู่อย่างเปิดเผย และเชื่อว่า นช.ทักษิณใช้เงินในดูไบจำนวนไม่น้อย ประจักษ์ประพยานที่ชัดๆ ก็คือการซื้อคฤหาสน์สุดหรูมูลค่าสุดแพงที่ Emirates Hills

นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายโครงการหนึ่งที่ว่ากันว่า นช.ทักษิณเป็นเจ้าของ ได้แก่ Dubai Creek The Palm Jumeira รวมถึง “เบิร์จดูไบ(Burj Dubai)”ซึ่งเป็นตึกที่สูงที่สุดในโลก และเมื่อฟองสบู่ดูไบแตก มูลค่าทรัพย์สินเหล่านี้ย่อมลดฮวบฮาบลงอย่างถนัดใจ

ที่น่าสนใจไปกว่านั้นก็คือ ล่าสุดมีกระแสข่าวที่ค่อนข้างน่าเชื่อถือได้ว่า เขากำลังเล็งหาบ้านหลังใหม่ เพราะในเมื่อ “สุลตาน อะห์เหม็ด บิน สุลาเย็ม”(Sultan Bin Sulayem) ประธานกรรมการบริหารกลุ่มบริษัทดูไบเวิลด์ และเป็นที่ปรึกษาใหญ่ 1 ใน 3 คนของผู้ครองนครดูไบถูกปลดออกจากตำแหน่งไปแล้ว ฐานที่มั่นของ นช.ในดูไบก็ดูจะคลอนแคลนลงไปด้วย

ทั้งนี้ เนื่องจาก นช.ทักษิณเองก็ไม่ได้มีความสนิทสนมหรือมีความสามารถที่จะเข้าถึงราชวงศ์มักทูมได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัว เชก โมฮัมเหม็ด บิน ราชิด อัล มักทูม หากแต่การที่เขาสามารถใช้ดูไบเป็นที่อยู่อาศัยและใช้ในการเคลื่อนไหวทางการเมืองได้ก็เป็นเพราะการที่เขารู้จักกับสุลตานผู้นี้ เนื่องจากเขาเคยพาคนๆ นี้มาปาฐกถาเรื่อง Evolutionary Reform:The Dubai Experience ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ซึ่งก็คงจะทำให้มีสายสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน

ว่ากันว่า ประเทศที่มาแรงที่สุดในเวลานี้ที่ นช.ทักษิณเตรียมไปลงหลักปักฐานใหม่ก็คือ “มอนเตเนโกร”

เวอร์-ฝืนธรรมชาติ และเฟก

หลายคนมีความเห็นที่แตกต่างกันไปจากกรณีฟองสบู่ดูไบแตก แต่สิ่งหนึ่งที่บรรดานักวิชาการและนักคิดมีความเห็นตรงกันก็คือ ดูไบเป็นเมืองที่ก่อสร้างฝืนหลักธรรมชาติ

อาจารย์เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ซึ่งเคยเดินทางไปที่ดูไบให้ความเห็นต่อปรากฏการณ์ดูไบเอาไว้อย่างน่าสนใจว่าผมมีความรู้สึกว่าตั้งแต่ไปถึงก็เห็นว่ามีสิ่งที่มันเป็นการฝืนธรรมชาติ มันฝืนธรรมชาติเยอะ หรือบางคนอาจเรียกว่าเอาชนะธรรมชาติ อย่างเช่นการขุดแม่น้ำ ทำให้น้ำทะเลไหลย้อนกลับเข้ามาเพื่อที่จะให้ดูเหมือนเป็นแม่น้ำ แล้วผมก็เห็นว่ามีการถมทะเลให้เป็นเมืองขึ้นมา มีทั้งที่ทำงาน มีทั้งโรงแรม มีทั้งอุตสาหกรรมที่ใช้วิธีถมทะเลออกไปเป็นเกาะแล้วก็เชื่อมต่อกับฝั่ง แล้วก็มีถมเป็นเมือง ถมเป็นอะไรหลายแห่ง บางแห่งก็เป็นรูปต้นปาล์ม มีต้น มีก้าน มีกิ่ง มีใบ บางอันก็เป็นแผนที่โลก มีทวีปต่างๆ ผมรู้สึกว่าแล้วมันจะคุ้มหรือ”

“แล้วมันก็มีโรงแรมที่แพงที่สุดในโลก มีตึกสูงที่สุดในโลก มีการทำสโนว์เทียมกลางทะเลทราย ซึ่งถึงแม้จะทำในอาคารแต่ว่ามันก็ฝืน เพราะหิมะมันก็ต้องเกิดกับอุณหภูมิประมาณศูนย์หรือต่ำกว่า แล้วก็มีความชื้นในอากาศ แต่นี่แห้ง ความชื้นในอากาศก็ไม่มี อุณหภูมิก็สูง 40-50 องศาเซลเซียส ก็ดันทำ ผมก็เลยรู้สึกว่ามันเวอร์ๆ ส่วนคนที่ไปซื้อสิ่งก่อสร้างมหัศจรรย์เหล่านั้น ผมมีความคิดว่าจะไหวหรือเปล่า หรือจะอยู่ได้ในระยะยาวจริงหรือ เพราะต้นทุนมันมหาศาลเหลือเกิน...”

อาจารย์เจิมศักดิ์ให้ทัศนะเพิ่มเติมว่า ดูไบมีความพยายามที่จะทำให้เหมือนสิงคโปร์ คือทำให้เป็นศูนย์กลางธุรกิจ ศูนย์กลางการค้าอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นแนวคิดที่ชวนให้สงสัยว่าจะเป็นไปได้หรือเปล่า เพราะดูแล้วมันฝืนธรรมชาติมาก

“โดยสรุป ผมมีความรู้สึกมาตลอดว่าเขาพยายาม แต่ว่ามันจะคุ้มทุน มันจะอยู่ได้ไหม หรือว่าวันหนึ่งมันอาจจะล้ม ถ้าล้มแล้วมันก็จะส่งผลต่อตัวอื่น แล้วก็จะล้มต่อๆ กัน”

เมื่อถามถึง นช.ทักษิณ ซึ่งไปกบดานอยู่ที่นั่น อาจารย์เจิมศักดิ์ตอบสั้นๆ ว่า เชื่อว่าทักษิณคงมีการลงทุนอยู่ที่นั่นอย่างแน่นอน แต่ว่ามีแค่ไหนไม่รู้

“...ผมรู้แต่ว่าสิ่งที่เห็นมันเวอร์ มันฝืนธรรมชาติ มันเฟก” อาจารย์เจิมศักดิ์กล่าว

'สิงคโปร์โมเดล' กับการ 'ปั้นดูไบ' ให้เป็นดั่งฝัน

เช่นเดียวกับ “สมภพ มานะรังสรรค์” อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับปรากกฎการฟองสบู่แตกที่ดูไบครั้งนี้ว่า จริงๆ แล้วมันเป็นเรื่องของกลยุทธ์ทางการพัฒนาของดูไบเองที่ต้องการทำในสิ่งที่ค่อนข้างจะฝืนจากความเป็นจริง โดยพยายามที่จะปั้นดูไบให้เป็นไปอย่างที่ต้องการ ซึ่งใช้เวลาต่อเนื่องไม่ต่ำกว่าสิบปีนับตั้งแต่ที่ “เชก มักทูม” ผู้พ่อเริ่มขึ้นปกครองดูไบมาตั้งแต่ปี 1958 แล้วก็มาเสียชีวิตไปในปี 1990 จากนั้นก็ตามด้วย “อัล มักทูม” พี่ชายของผู้ครองนครดูไบในปัจจุบัน ก็ปกครองดูไบต่อหลังจากนั้นช่วงปี 1990 จนถึงปี 2006 แล้วก็เสียชีวิตไป ตามมาด้วย เชก โมฮัมเหม็ด บิน ราชิด อัล มักทูม คนปัจจุบันที่เป็นเจ้าผู้ครองนครดูไบ

ทั้งนี้ หากพิจารณานโยบายของตระกูลอัล มักทูม ที่ปกครองดูไบก็จะเห็นความจริงประการหนึ่งว่า เขาต้องการใช้สิ่งที่เรียกว่า 'สิงคโปร์โมเดล' ในการปั้นดูไบขึ้นมาให้เป็นศูนย์กลางของโลจิสติกส์ในกัลฟ์สเตท ในบริเวณแถวอ่าวเปร์เซีย เพราะต้องการให้ดูไบเป็นศูนย์กลางของกลุ่ม GCC (Gulf Cooperation Council) ซึ่งมีอยู่หกประเทศคือ ซาอุดีอาระเบีย โอมาน บาห์เรน กาตาร์ คูเวต และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) โดยใช้กลยุทธ์ชูคำขวัญว่า Open for business environment

อาจารย์สมภพบอกว่า ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมดูไบเวิลด์จึงปั้นโครงการเรียลเอสเตทต่างๆ มากมาย อย่างเช่น มีการชักจูงให้ ไทเกอร์ วูดส์ ไปสร้างไปลงทุนสนามกอล์ฟในดูไบ และขณะเดียวกันก็มีการสร้างศูนย์กลางการเงินใหม่ขึ้นมา ซึ่งเติบโตอย่างรวดเร็วมากโดยใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่ปี...

“วิสัยทัศน์ของผู้ปกครองดูไบมันได้เลวร้ายหรอก และกล่าวได้เลยว่าเป็นวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลมาก และเขาไม่ใช่เพียงแต่พูดเฉยๆ แต่เขายังทำอีก 4-5 เรื่องประกอบกันเพื่อหวังจะปั้นดูไบ”

ถึงแม้จะมีวิสัยทัศน์กว้างไกลเพียงใด แต่ความผิดพลาดของดูไบก็เกิดขึ้น ซึ่งในความเห็นของอาจารย์สมภพ ความผิดพลาดของดูไบคือ ทำการเกินตัว 1 คือการทำการเกินตัวภายในรัฐของเขาเอง 2.การออกไปลงทุนทั่วโลกอย่างมากมายมหาศาล เช่น ลงทุนภายในประเทศก็มีการสร้างโครงการเรียลเอสเตทยักษ์ใหญ่ ที่แข่งกันระหว่างกลุ่มที่สร้างต้นปาล์มลงไปในทะเล กับอีกกลุ่มหนึ่งคือพวกที่สร้างตึกเรือใบกลางทะเล...

“เป็นการแข่งกันที่ โอ้โห ใช้เงินมหาศาลเลย แล้วอีกอย่างก็คือ พยายามปั้นให้ดูไบเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวของโลกอาหรับ หรือประเทศต่างๆ ทั่วโลกด้วย เช่นไปสร้างสกีในที่ร่ม อินดอร์สกี อะไรพวกนี้ คือทำอะไรทุกอย่างที่ธรรมชาติมันไม่ได้เอื้ออำนวยให้ทำ แต่ก็พยายามทำ แล้วก็ไปถมเกาะ 300 เกาะ จำลองแผนที่โลกเพื่อเอามาจัดสรรขาย คำถามก็คือ แล้วทำไมเขาจึงระดมเงินได้เยอะแยะมากมายขนาดนี้ และทำไมขาใหญ่ของระบบการเงินโลกจึงยอมปล่อยกู้ให้เขา เราไปดูสิครับว่า เจ้าหนี้ของดูไบเวิลด์เป็นใครบ้าง ผมว่าแบงก์ยักษ์ใหญ่ทั่วโลกแทบไม่มีรายไหนเลยที่ไม่ปล่อยกูให้ดูไบเวิลด์ ไม่ว่าจะเป็นของยุโรป โดยเฉพาะ อังกฤษ ลองไปไล่ดูนะครับ สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด ฮ่องกงเซี่ยงไฮ้แบงก์ ลอยด์แบงก์ บาร์เคลย์ และรอยัล แบงก์ ออฟ สกอตแลนด์ พวกนี้ปล่อยกู้ให้แก่ดูไบเวิลด์มากมายมหาศาล หรือแม้แต่แบงก์ยักษ์ใหญ่สามสี่แบงก์ของญี่ปุ่น เขาก็ปล่อยกู้กันแบงก์ละหลายๆ ร้อยล้านเหรียญทั้งสิ้น แล้วก็แบงก์ที่มาจากสิงคโปร์ จากสหรัฐอเมริกา และจากที่อื่นๆ”

“เหตุที่แบงก์เหล่านี้ปล่อยก็เพราะว่าในช่วง 6-7 ปีที่แล้วที่เขาปั้นให้เกิดดูไบไฟแนนเชียลเซ็นเตอร์ขึ้นมา มันทำให้ตลาดหุ้นของดูไบเกิดขึ้นมาชั่วพริบตานะครับ เรียกง่ายๆ เลยว่าไม่มีประเทศไหนในโลกที่สามารถสร้างตลาดหุ้นได้เร็วขนาดนั้น เพราะว่าเขาสามารถขี่สถานการณ์ขาขึ้นของฟองสบู่ได้ คงจำกันได้ว่าการปั่นฟองสบู่ของจอร์จ ดับเบิลยู บุช หลังจากที่อเมริกาเกิดดอตคอมไครซิสในปี 2001 (วิกฤตการณ์ดอตคอม) หลังจากนั้นบุชเองที่เพิ่งขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีใหม่ๆ ก็เรียกได้เลยว่ามีการปั่นฟองสบู่เต็มที่ โดยการใช้นโยบายทั้งการเงินและการคลังที่ผ่อนคลายมากๆ”

อาจารย์สมภพให้ข้อมูลต่อว่า จากนั้นในปี 2004 ฟองสบู่ก็เริ่มขึ้นเพราะมีเงินล้นเกินในระบบมากมาย เงินเป็นที่หาง่ายและถูกในดูไบ ขณะเดียวกันในช่วงเวลาเดียวกัน ดูไบไฟแนนเชียลเซ็นเตอร์ก็เปิดขึ้นมาพอดี และส่งผลทำให้เม็ดเงินทั่วโลกหลั่งไหลเข้าไปในดูไบเพื่อหาประโยชน์จากโครงการสารพัดที่มีการสร้างกันขึ้นมา

ทว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ ดูไบไฟแนนเชียลเซ็นเตอร์มีแต่เงิน แต่ไม่มีคนกู้ พูดง่ายๆ ก็คือมีแต่อุปทานของเงินทุน แต่ว่าไม่มีดีมานด์ของเงินทุน เพราะเราก็รู้ว่าในตะวันออกกลางโอกาสในการลงทุนมันก็ไม่ได้มีมากมาย

แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาสำหรับกลุ่มดูไบเวิลด์และดูไบอิงค์ เพราะเม็ดเงินที่หลั่งไหลเข้ามาทำให้พวกเขาสามารถระดมเงินทุนได้มากมายเพื่อนำไปใช้ในโครงการต่างๆ ที่สร้างขึ้นในดูไป ขณะเดียวกันก็นำเงินเหล่านี้ไปใช้นอกประเทศ เช่น เอาไปซื้อท่าเรือ 49 ท่าเรือ เอาไปสร้างกาสิโนยักษ์ใหญ่ ที่พ่วงกาสิโนในลาสเวกัส เอาไปลงทุนในสนามกอล์ฟต่างๆ ทั่วโลมากมาย รวมถึงนำลงทุนในการซื้อหุ้นมากเลย รวมถึงไปซื้อกิจการอื่นๆ เยอะแยะมากมายทั่วโลก

“สรุปก็คือ ดูไบขี่ฟองสบู่ขึ้นมาโต ตัวเองปั่นฟองสบู่ด้วย แล้วก็ขี่ฟองสบู่โลกด้วย ทำให้มีหนี้สิน ฉะนั้นพอถึงจุดหนึ่ง ฟองสบู่ก็แตก โพละ!แน่นอนล่ะ ในเมื่อทุนของคุณมันเป็นแหล่งที่ทุนจากทั่วโลกไปหากินอยู่ที่นั่น มันมีการปั่นให้เกิดการโป่งพองในสินทรัพย์ขึ้นมา แล้วมันก็หดตัวลงมาอย่างนี้ เมื่อมันหดตัวลงมามันก็สร้างความเสียหาย ผมว่าที่เขาดึงสถานการณ์ผ่านมาได้ถึงประมาณสักปี ผมว่าเขาเก่งมาก เพราะว่ามันเริ่มเข้าเนื้อมันเริ่มเกิดฟองสบู่ก็ตั้งแต่ประมาณกลางๆ ปี ถึงไตรมาสที่สามของปีที่แล้ว แล้วเขาดึงมาได้ถึงปลายปี ก่อนที่จะมาเลื่อนการชำระหนี้ในปลายเดือนพฤศจิกายน ก็เรียกว่าสุดสายป่านจริงๆ ก่อนหน้านั้นเขาคงได้รับความช่วยเหลือจากที่ต่างๆ ที่ไม่ต้องการให้ดูไบมีอันเป็นไป”อาจารย์สมภพให้ข้อมูล

จากดูไบถึงเมืองไทย วิกฤตครั้งนี้มีผลกระทบ

อาจารย์สมภพยังให้ความเห็นอีกว่า วิกฤตครั้งนี้ส่งผลกระทบกระเทือนไปทั่วโลก เพราะทันทีที่บอนด์ของดูไบเวิลด์เป็นจังก์บอนด์ (Junk bond - ระดับของพันธบัตรขยะ) จังก์บอนด์เหล่านี้ก็ส่งกลิ่นไปตามที่ต่างๆ ข้ามไปสิงคโปร์ ข้ามไปที่ลอนดอน ข้ามไปที่นิวยอร์ก ข้ามไปที่โตเกียว

“ตอนที่มีปัญหา เศรษฐี นักธุรกิจทั้งหลายมันขับรถไปที่สนามบิน แล้วก็ทิ้งรถ 4-5พันคัน อย่างที่เป็นข่าว จนกระทั่งฝุ่นจับหนาเตอะ ทีนี้เราคิดดูง่ายๆ ขณะที่เศรษฐีเหล่านี้มันขับรถไปทิ้งแล้วมันก็หนีกลับประเทศตัวเอง แล้วระหว่างหลายๆ ปีที่มาอยู่ในฟองสบู่ของดูไบ มันจะต้องไปลงทุนไปสร้างหนี้ไว้ขนาดไหน เศรษฐีเหล่านี้มันมาจากทั่วโลก ฉะนั้นคำถามก็คือว่า เศรษฐีเหล่านี้มันกู้เงินจากใคร ถ้ามันไม่กู้เงินจากบรรดาสถาบันการเงิน กองทุนทั้งหลาย ที่เป็นขาใหญ่ของโลก”

“เราต้องยอมรับว่าการเคลียร์ปัญหาของแฮมเบอร์เกอร์ไครซิสมันยังไม่เสร็จสิ้น ที่อยู่ได้ขนาดนี้ก็เพราะมันมีการสาดกระสุนกันออกมามากมายเหลือเกิน จากบรรดาประเทศต่างๆ ที่นำโดยอเมริกา ฉะนั้นเมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว ผลของดูไบเวิลด์มันก็จะมีผลที่ต่อเนื่อง ไม่ใช่ว่าแบงก์ชาติของอาบูดาบี ของยูเออี มารับประกันเงินฝากแล้วทุกอย่างจะจบสิ้น ผมว่ามันไม่ใช่ง่ายๆ อย่างนั้นหรอก เพราะว่าเงิน 3,500 ล้านเหรียญฯ คุณยังไม่สามารถหามาจ่ายได้ (ที่ต้องเลื่อนชำระอยู่ขณะนี้) แล้วอีกสองปีข้างหน้าลองไปเช็กดูว่ามีหนี้ที่ต้องจ่ายที่มันครบดีลอีกไม่ต่ำกว่า 3,2000 ล้านเหรียญฯ แล้วลองคิดต่อดูซิว่า อีกสองปีข้างหน้ามันจะเกิดอะไรขึ้น”

ขณะที่ผลกระทบกับไทยนั้น อาจารย์สมภพบอกว่า โดยเชิงเปรียบเทียบมันไม่มาก เพราะว่าไทยไม่ได้ไปลงทุนในดูไบมากมาย ประเทศไทยไม่ได้โตมาจากภาคการเงิน ไม่ได้โตมาจากกการมีกองทุนเยอะแยะมากมายที่สามารถไปลงทุนได้เหมือนกับอีกหลายประเทศ...

“แต่ผมคิดว่าที่เราต้องระวังก็คือผลในทางอ้อม คือมันกระทบต่อเศรษฐกิจการเงินโลก แล้วเศรษฐกิจการเงินโลกมันก็คงทำให้โลกซึมตัวลง แต่ในช่วงที่ผ่านมามันทำท่าที่จะฟื้นตัวขึ้นมาด้วยการอัดฉีดแรงๆ ของการปล่อยเงินออกมา คราวนี้มันจะทำให้โลกเริ่มตื่นขึ้นมาว่ามันฟื้นตัวได้จริงหรือเปล่า ในเมื่อดูไบเวิลด์กลายเป็นจังก์บอนด์ ตอนนี้มันก็ทำท่าว่าจะมีจังก์บอนด์ตามมาอีกเยอะเลย”

ส่วนเมื่อถามว่า นช.ทักษิณ จะเจ็บตัวจากวิกฤตดูไบเวิลด์ครั้งนี้หรือเปล่า อาจารย์สมภพบอกว่า “ไม่น่าจะพ้น ถ้าคุณขนเงินไปลงทุนที่นั่น ขึ้นอยู่กับว่าเขาเอาเงินไปลงทุนที่นั่นมากน้อยแค่ไหน มันก็ทำให้เกิดการหดตัวของสินทรัพย์อย่างรุนแรง ผมคิดว่านะ ใครก็ตามที่ลงทุนก็น่าจะเจ็บตัวทั้งนั้น ยิ่งลงทุนมากก็ยิ่งเจ็บตัวมาก และยิ่งลงทุนในภาคเก็งกำไร เช่น อสังหาริมทรัพย์ ตลาดหุ้น ผมว่าพวกนี้เจ็บตัวเป็นพิเศษ เจ็บตัวกันอีกยาว อย่างยืดเยื้อยาวนาน”

ถึงตรงนี้ คงต้องบอกว่า ฟองสบู่ดูไบที่เกิดขึ้นนั้น เป็น ดั่งโศกนาฏกรรมพายุทะเลทราย บางคนบอกว่าเพราะมันเวอร์! บางคนบอกว่ามันบ้า บางคนบอกว่ามันเป็นการฝืนธรรมชาติ และบางคนถึงขนาดบอกว่านี่คือการลงโทษจากพระเจ้า



ภาพของดูไบในอดีตเมื่อปี 1990 เมื่อเทียบกับปัจจุบัน(ภาพล่าง)

 นช.ทักษิณ ชินวัตร กับ สุลตาน อะห์เหม็ด บิน สุลาเย็ม
โครงการเดอะปาล์ม
กำลังโหลดความคิดเห็น