วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม 2552 พรุ่งนี้ก็จะเป็นวันพ่อแห่งชาติ เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและเป็นวันชาติ ซึ่งในปีนี้ทั้งรัฐบาลและประชาชนได้พร้อมใจกันจัดงานเฉลิมฉลองเป็นครั้งใหญ่โตมโหฬารที่สุดในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา
จึงได้ตั้งชื่อบทความวันนี้ว่า “ทรงสรงพระเสโทต่างอุทกธารา” ซึ่งแปลง่ายๆ ว่าทรงอาบเหงื่อต่างน้ำนั่นเอง
ความอันมีนัยดังกล่าวนี้เป็นข้อความเก่า ที่สมัยหนึ่งท่านอาจารย์หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้เขียนบทความเฉลิมพระเกียรติพระคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวลงในหนังสือพิมพ์สยามรัฐ รวมทั้งได้ใช้ในการปาฐกถาที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เนื่องในโอกาสที่มีการเฉลิมพระชนมพรรษาเช่นเดียวกันนี้
หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นราชนิกูล เป็นปราชญ์และเป็นบัณฑิตคนสำคัญของประเทศ มีความใกล้ชิดและมีความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์เป็นอย่างยิ่ง เป็นแบบเป็นอย่างให้คนทั้งหลายได้ประพฤติปฏิบัติตามมาเป็นเวลาช้านาน
จัดเป็นข้าแผ่นดินที่รู้ร้อนรู้หนาว รู้เจ็บร้อนด้วยแผ่นดิน รู้เจ็บร้อนด้วยพระมหากษัตริย์ และไม่ยอมให้ผู้ใดกระทบกระทั่งจาบจ้วงล่วงเกินเป็นอันขาด เมื่อใดก็ตามที่มีการจาบจ้วงล่วงเกินหรือกระทบต่อพระบรมเดชานุภาพแล้ว ถึงแม้จะตัวคนเดียว มีแต่ปากกาเป็นอาวุธ หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ก็พร้อมหาญกล้าท้าทายปกป้องพิทักษ์สถาบันพระมหากษัตริย์โดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
ไม่เคยคิดถนอมตัวสงวนตนเพื่อผลประโยชน์ใดๆ ของตนเองเลย น้ำใจดังนี้จึงเป็นแบบอย่างที่ดีงามให้กับผองชาวไทยที่มีความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ได้ประพฤติปฏิบัติตลอดไป
เมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จออกผนวช และสำนักอยู่ที่วัดบวรนิเวศนั้น ก็หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช นี่แหละที่ได้ถวายตัวเป็นคฤหัสถ์พี่เลี้ยง คอยติดตามรับใช้ในระหว่างทรงผนวชนั้น
ดังนั้นในรัชกาลปัจจุบันนี้จึงถือได้ว่าหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช คือบุคคลสำคัญที่ได้รู้ได้เห็นวัตรปฏิบัติและพระราชกรณียกิจทั้งหลายทั้งปวงในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ได้ทรงอุทิศพระองค์เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม ดังที่ทรงประกาศเป็นพระปฐมบรมราชโองการเมื่อครั้งเสด็จขึ้นเสวยสิริราชสมบัติเมื่อ 60 ปีก่อนโน้น
เพราะรู้เห็นกระจ่างใจเช่นนั้น หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช จึงได้กล่าวและได้เขียนถึงพระองค์ท่านไว้ในครั้งนั้นว่า ทรงอาบเหงื่อต่างน้ำ หรือทรงสรงพระเสโทต่างอุทกธารา
วจนะหรือพจน์อันเป็นภาษาเขียนอาจนึกภาพไม่ออก แต่ถ้าใครสนใจที่จะเห็นให้เป็นภาพก็สามารถเห็นได้เพราะมีพระบรมฉายาลักษณ์อยู่ภาพหนึ่งซึ่งทรงฉลองพระองค์ชุดลำลองสวมสูท ในพระหัตถ์ถือดินสอ แต่เบื้องพระพักตร์ตรงปลายพระนาสิกมีหยดเหงื่อประดุจหยดน้ำเกาะอยู่และกำลังจะหล่นนั่นแล้วจะเห็นได้ชัดถึงความเหน็ดเหนื่อยพระวรกายของพระมหากษัตริย์ที่ทรงอุทิศพระองค์เพื่อพสกนิกรของพระองค์
พระราชกรณียกิจและพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงแผ่ปกป้องอาณาประชาราษฎรตลอดระยะเวลากว่า 60 ปี ที่ทรงเสวยสิริราชสมบัตินั้นเป็นอเนกอนันต์นัก ดังนั้นในวันนี้แม้ยังทรงประทับรักษาพระองค์อยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช แต่อาณาประชาราษฎร์ก็ยังถวิลหา
เฝ้าตั้งตารอคอยที่จะได้เฝ้ารับเสด็จฯ ที่จะได้เห็นการเสด็จฯ ออกมหาสมาคมเพื่อชมพระบารมีเช่นที่ผ่านมาทุกๆ ปี
ในมหามงคลสมัยเช่นนี้ ผองชนชาวไทยพึงน้อมนำรำลึกอย่างไรเล่าเพื่อเป็นทางแห่งการตั้งความคิดในการสนองพระเดชพระคุณให้สมกับที่ได้เกิดมาในแผ่นดินนี้
เพราะเหตุที่วันที่ 5 ธันวาคม เป็นวันสำคัญ มีความสำคัญซ้อนกันอยู่ถึง 3 เรื่อง คือเป็นวันชาติที่หลายคนอาจจะลืมเลือนไปแล้ว เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเป็นวันพ่อแห่งชาติด้วย
ดังนั้นผองชนชาวไทยจึงพึงน้อมนำรำลึกในความสำคัญของวันดังกล่าวนี้ในประการดังต่อไปนี้เป็นอย่างน้อย
ประการแรก รำลึกถึงชาติและปิตุภูมิหรือแผ่นดินพ่อหรือแผ่นดินเกิดที่ได้กำเนิดเกิดมาในแผ่นดินนี้ แผ่นดินที่บรรพบุรุษได้ตั้งหลักปักฐานปกป้องคุ้มครองพิทักษ์รักษาไว้ด้วยเลือดเนื้อและชีวิตรุ่นแล้วรุ่นเล่า จนคนไทยได้อาศัยเป็นแดนเกิด แดนกิน แดนอยู่และแดนตาย เป็นพระคุณล้นฟ้ามหาสมุทร
แผ่นดินไหนในโลกกว้าง แม้ยิ่งใหญ่ศิวิไลซ์เพียงใดก็ตามทีก็ไม่มีแผ่นดินใดที่ให้ความอบอุ่นใจ ให้ความร่มเย็นเป็นสุข ให้ความอิ่มเอิบใจและภาคภูมิใจเหมือนแผ่นดินไทยนี้เลย
ดังนั้นขอผองเราชาวไทยจึงพึงตั้งใจน้อมนำรำลึกสำนึกในบุญคุณแผ่นดิน และต้องใช้หนี้แผ่นดิน ดังที่ประธานองคมนตรีพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ได้กล่าวและได้รณรงค์เป็นนิตย์มาว่าเกิดเป็นคนต้องทดแทนคุณแผ่นดินนั่นแล้ว
ประการที่สอง รำลึกถึงพ่อของแผ่นดินคือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระมหาราชเจ้าผู้ทรงทศพิธราชธรรม ผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตาคุณ พระมหากรุณาธิคุณ และพระวิสุทธิคุณ พระผู้ทรงเสียสละและอุทิศพระองค์ทุกสิ่งอย่างเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม
แหล่งน้ำมากหลายที่เสื่อมสิ้นสลายตื้นเขิน ได้รับกระแสพระราชดำริให้ฟื้นฟูสร้างเสริมและจัดทำขึ้นมาใหม่ เพื่อให้อาณาประชาราษฎรและสรรพสัตว์ได้ดื่มกินไม่สิ้นเลย รวมทั้งการฟื้นฟูและสร้างแหล่งทรัพยากรอาหารทั้งในผืนแผ่นดินและในทะเลเพื่อความอุดมสมบูรณ์ของภักษาหารและมังสาหารของพสกนิกรทั่วราชอาณาจักร
ผืนดินที่ถึงยุคสมัยสิ้นความอุดมสมบูรณ์ก็ได้รับกระแสพระราชดำริให้ปรับปรุงฟื้นฟูตลอดจนพิทักษ์บำรุงรักษาให้คงดำรงและฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ขึ้นมาใหม่ในทุกแห่งหน ฟื้นสภาพในนามีข้าวที่เขียวชะอุ่มและชูช่อเหลืองอร่ามในยามออกรวงให้กลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง แม้กระทั่งการปรับปรุงบำรุงพระแม่โพสพให้มีพืชพันธุ์ที่ดีและให้ผลมากแก่ผองเกษตรกรทั่วประเทศ
แม้กระทั่งสภาพแวดล้อม อากาศสำหรับหายใจ แม้ใครๆ ก็มองไม่เห็น แต่มิได้เว้นไปจากความใส่พระทัย ได้รับกระแสพระราชดำริให้พิทักษ์รักษาสภาพแวดล้อม พิทักษ์รักษาดินฟ้าอากาศให้เป็นปกติ มีความสดสมบูรณ์ทุกเมื่อ จนทุกลมหายใจเข้า-ออกของอาณาประชาราษฎรล้วนได้รับพระมหากรุณาธิคุณนี้ถ้วนหน้ากัน
แม้ทรงเป็นพระประมุขของชาติ เป็นจอมทัพ เป็นพระมหากษัตริย์แห่งพระมหากษัตริย์ของโลก แต่ไม่ทรงถืออำนาจเป็นใหญ่ หากถือธรรมเป็นใหญ่ ทรงเคารพธรรม ทรงปฏิบัติธรรม และทรงอาศัยธรรมในการครองแผ่นดิน
ไม่ทรงตั้งฐานะพระองค์เป็นผู้ปกครอง ซึ่งเป็นที่เพรียกร้องต้องการของคนทั้งปวง แต่ทรงตั้งพระองค์เป็นผู้ครองแผ่นดิน เป็นน้ำเนื้อเดียวกันกับอาณาประชาราษฎรและแผ่นดินที่ทรงครองนั้น กาลเวลากว่า 60 ปี ได้พิสูจน์ความจริงนี้อย่างชัดเจนเป็นที่ประจักษ์ต่อสากลโลกแล้ว
พระเดชพระคุณนี้จึงล้นฟ้าพระมหาสมุทร อันควรที่ผองชนชาวไทยจักพร้อมใจถวายความจงรักภักดีเป็นกตเวทิตาธรรมสนองพระเดชพระคุณไปตลอดกัลปาวสาน
ประการที่สาม รำลึกถึงพ่อบังเกิดเกล้าคือพ่อผู้ให้กำเนิดชีวิตนี้ การที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เป็นเวไนยสัตว์นั้น เป็นบุญล้นวาสนาล้ำกว่าสรรพสัตว์ เพราะบรรดาสัตว์ทั้งหลายไม่ว่าเหล่าใดก็ไม่มีทางได้สัมผัสกับพระศาสนา ไม่มีทางที่จะได้ลิ้มชิมรสพระธรรมอันประเสริฐ และไม่อาจเข้าถึงซึ่งภาวะสูงสุดอันมนุษย์จะพึงไปได้เลย
การได้เกิดมาเป็นมนุษย์จึงเป็นความประเสริฐนักหนา และที่เกิดมาก็ด้วยพ่อบังเกิดเกล้าเป็นผู้ให้กำเนิด เกิดมาแล้วพ่อก็ปกป้องคุ้มครองดูแลรักษาเคียงคู่อยู่กับแม่ เป็นครูคนแรกที่อบรมสั่งสอนบุตรเริ่มตั้งแต่การกิน การนอน การอยู่ การเรียน การครองตน การครองคู่ แม้กระทั่งหน้าที่การงานทั้งปวง
พ่อบังเกิดเกล้านี่แล้วจึงเป็นพรหมของบุตร เป็นพระอรหันต์ของบุตร ที่แม้นบุตรใดได้ปรนนิบัติ ได้ดูแลรับใช้บำรุงรักษายามแก่เฒ่าชรา ย่อมนับว่าเป็นผู้มีบุญ เพราะมีโอกาสได้บำรุงปรนนิบัติพระพรหมและพระอรหันต์ ใครที่ยังมีโอกาสได้ทำการดังนี้ย่อมนับว่ายังมีบุญมาก อย่าละโอกาสนั้นให้ผ่านพ้นไปโดยไร้ประโยชน์เลย
ขอผองเราได้พร้อมน้ำใจกันรำลึกถึงแผ่นดินพ่อ ถึงพ่อของแผ่นดิน และพ่อบังเกิดเกล้าในประการดังพรรณนานี้เถิด จักบังเกิดความเป็นสิริมงคลแก่ตน จักเป็นที่รักของเทพยดาและมนุษย์ทั้งหลาย จักไม่พ่ายแพ้ในที่ทั้งปวง จักเป็นผู้ชนะในที่ทั้งปวง ถึงซึ่งความสวัสดีแล.
จึงได้ตั้งชื่อบทความวันนี้ว่า “ทรงสรงพระเสโทต่างอุทกธารา” ซึ่งแปลง่ายๆ ว่าทรงอาบเหงื่อต่างน้ำนั่นเอง
ความอันมีนัยดังกล่าวนี้เป็นข้อความเก่า ที่สมัยหนึ่งท่านอาจารย์หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้เขียนบทความเฉลิมพระเกียรติพระคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวลงในหนังสือพิมพ์สยามรัฐ รวมทั้งได้ใช้ในการปาฐกถาที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เนื่องในโอกาสที่มีการเฉลิมพระชนมพรรษาเช่นเดียวกันนี้
หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นราชนิกูล เป็นปราชญ์และเป็นบัณฑิตคนสำคัญของประเทศ มีความใกล้ชิดและมีความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์เป็นอย่างยิ่ง เป็นแบบเป็นอย่างให้คนทั้งหลายได้ประพฤติปฏิบัติตามมาเป็นเวลาช้านาน
จัดเป็นข้าแผ่นดินที่รู้ร้อนรู้หนาว รู้เจ็บร้อนด้วยแผ่นดิน รู้เจ็บร้อนด้วยพระมหากษัตริย์ และไม่ยอมให้ผู้ใดกระทบกระทั่งจาบจ้วงล่วงเกินเป็นอันขาด เมื่อใดก็ตามที่มีการจาบจ้วงล่วงเกินหรือกระทบต่อพระบรมเดชานุภาพแล้ว ถึงแม้จะตัวคนเดียว มีแต่ปากกาเป็นอาวุธ หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ก็พร้อมหาญกล้าท้าทายปกป้องพิทักษ์สถาบันพระมหากษัตริย์โดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
ไม่เคยคิดถนอมตัวสงวนตนเพื่อผลประโยชน์ใดๆ ของตนเองเลย น้ำใจดังนี้จึงเป็นแบบอย่างที่ดีงามให้กับผองชาวไทยที่มีความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ได้ประพฤติปฏิบัติตลอดไป
เมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จออกผนวช และสำนักอยู่ที่วัดบวรนิเวศนั้น ก็หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช นี่แหละที่ได้ถวายตัวเป็นคฤหัสถ์พี่เลี้ยง คอยติดตามรับใช้ในระหว่างทรงผนวชนั้น
ดังนั้นในรัชกาลปัจจุบันนี้จึงถือได้ว่าหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช คือบุคคลสำคัญที่ได้รู้ได้เห็นวัตรปฏิบัติและพระราชกรณียกิจทั้งหลายทั้งปวงในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ได้ทรงอุทิศพระองค์เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม ดังที่ทรงประกาศเป็นพระปฐมบรมราชโองการเมื่อครั้งเสด็จขึ้นเสวยสิริราชสมบัติเมื่อ 60 ปีก่อนโน้น
เพราะรู้เห็นกระจ่างใจเช่นนั้น หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช จึงได้กล่าวและได้เขียนถึงพระองค์ท่านไว้ในครั้งนั้นว่า ทรงอาบเหงื่อต่างน้ำ หรือทรงสรงพระเสโทต่างอุทกธารา
วจนะหรือพจน์อันเป็นภาษาเขียนอาจนึกภาพไม่ออก แต่ถ้าใครสนใจที่จะเห็นให้เป็นภาพก็สามารถเห็นได้เพราะมีพระบรมฉายาลักษณ์อยู่ภาพหนึ่งซึ่งทรงฉลองพระองค์ชุดลำลองสวมสูท ในพระหัตถ์ถือดินสอ แต่เบื้องพระพักตร์ตรงปลายพระนาสิกมีหยดเหงื่อประดุจหยดน้ำเกาะอยู่และกำลังจะหล่นนั่นแล้วจะเห็นได้ชัดถึงความเหน็ดเหนื่อยพระวรกายของพระมหากษัตริย์ที่ทรงอุทิศพระองค์เพื่อพสกนิกรของพระองค์
พระราชกรณียกิจและพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงแผ่ปกป้องอาณาประชาราษฎรตลอดระยะเวลากว่า 60 ปี ที่ทรงเสวยสิริราชสมบัตินั้นเป็นอเนกอนันต์นัก ดังนั้นในวันนี้แม้ยังทรงประทับรักษาพระองค์อยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช แต่อาณาประชาราษฎร์ก็ยังถวิลหา
เฝ้าตั้งตารอคอยที่จะได้เฝ้ารับเสด็จฯ ที่จะได้เห็นการเสด็จฯ ออกมหาสมาคมเพื่อชมพระบารมีเช่นที่ผ่านมาทุกๆ ปี
ในมหามงคลสมัยเช่นนี้ ผองชนชาวไทยพึงน้อมนำรำลึกอย่างไรเล่าเพื่อเป็นทางแห่งการตั้งความคิดในการสนองพระเดชพระคุณให้สมกับที่ได้เกิดมาในแผ่นดินนี้
เพราะเหตุที่วันที่ 5 ธันวาคม เป็นวันสำคัญ มีความสำคัญซ้อนกันอยู่ถึง 3 เรื่อง คือเป็นวันชาติที่หลายคนอาจจะลืมเลือนไปแล้ว เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเป็นวันพ่อแห่งชาติด้วย
ดังนั้นผองชนชาวไทยจึงพึงน้อมนำรำลึกในความสำคัญของวันดังกล่าวนี้ในประการดังต่อไปนี้เป็นอย่างน้อย
ประการแรก รำลึกถึงชาติและปิตุภูมิหรือแผ่นดินพ่อหรือแผ่นดินเกิดที่ได้กำเนิดเกิดมาในแผ่นดินนี้ แผ่นดินที่บรรพบุรุษได้ตั้งหลักปักฐานปกป้องคุ้มครองพิทักษ์รักษาไว้ด้วยเลือดเนื้อและชีวิตรุ่นแล้วรุ่นเล่า จนคนไทยได้อาศัยเป็นแดนเกิด แดนกิน แดนอยู่และแดนตาย เป็นพระคุณล้นฟ้ามหาสมุทร
แผ่นดินไหนในโลกกว้าง แม้ยิ่งใหญ่ศิวิไลซ์เพียงใดก็ตามทีก็ไม่มีแผ่นดินใดที่ให้ความอบอุ่นใจ ให้ความร่มเย็นเป็นสุข ให้ความอิ่มเอิบใจและภาคภูมิใจเหมือนแผ่นดินไทยนี้เลย
ดังนั้นขอผองเราชาวไทยจึงพึงตั้งใจน้อมนำรำลึกสำนึกในบุญคุณแผ่นดิน และต้องใช้หนี้แผ่นดิน ดังที่ประธานองคมนตรีพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ได้กล่าวและได้รณรงค์เป็นนิตย์มาว่าเกิดเป็นคนต้องทดแทนคุณแผ่นดินนั่นแล้ว
ประการที่สอง รำลึกถึงพ่อของแผ่นดินคือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระมหาราชเจ้าผู้ทรงทศพิธราชธรรม ผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตาคุณ พระมหากรุณาธิคุณ และพระวิสุทธิคุณ พระผู้ทรงเสียสละและอุทิศพระองค์ทุกสิ่งอย่างเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม
แหล่งน้ำมากหลายที่เสื่อมสิ้นสลายตื้นเขิน ได้รับกระแสพระราชดำริให้ฟื้นฟูสร้างเสริมและจัดทำขึ้นมาใหม่ เพื่อให้อาณาประชาราษฎรและสรรพสัตว์ได้ดื่มกินไม่สิ้นเลย รวมทั้งการฟื้นฟูและสร้างแหล่งทรัพยากรอาหารทั้งในผืนแผ่นดินและในทะเลเพื่อความอุดมสมบูรณ์ของภักษาหารและมังสาหารของพสกนิกรทั่วราชอาณาจักร
ผืนดินที่ถึงยุคสมัยสิ้นความอุดมสมบูรณ์ก็ได้รับกระแสพระราชดำริให้ปรับปรุงฟื้นฟูตลอดจนพิทักษ์บำรุงรักษาให้คงดำรงและฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ขึ้นมาใหม่ในทุกแห่งหน ฟื้นสภาพในนามีข้าวที่เขียวชะอุ่มและชูช่อเหลืองอร่ามในยามออกรวงให้กลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง แม้กระทั่งการปรับปรุงบำรุงพระแม่โพสพให้มีพืชพันธุ์ที่ดีและให้ผลมากแก่ผองเกษตรกรทั่วประเทศ
แม้กระทั่งสภาพแวดล้อม อากาศสำหรับหายใจ แม้ใครๆ ก็มองไม่เห็น แต่มิได้เว้นไปจากความใส่พระทัย ได้รับกระแสพระราชดำริให้พิทักษ์รักษาสภาพแวดล้อม พิทักษ์รักษาดินฟ้าอากาศให้เป็นปกติ มีความสดสมบูรณ์ทุกเมื่อ จนทุกลมหายใจเข้า-ออกของอาณาประชาราษฎรล้วนได้รับพระมหากรุณาธิคุณนี้ถ้วนหน้ากัน
แม้ทรงเป็นพระประมุขของชาติ เป็นจอมทัพ เป็นพระมหากษัตริย์แห่งพระมหากษัตริย์ของโลก แต่ไม่ทรงถืออำนาจเป็นใหญ่ หากถือธรรมเป็นใหญ่ ทรงเคารพธรรม ทรงปฏิบัติธรรม และทรงอาศัยธรรมในการครองแผ่นดิน
ไม่ทรงตั้งฐานะพระองค์เป็นผู้ปกครอง ซึ่งเป็นที่เพรียกร้องต้องการของคนทั้งปวง แต่ทรงตั้งพระองค์เป็นผู้ครองแผ่นดิน เป็นน้ำเนื้อเดียวกันกับอาณาประชาราษฎรและแผ่นดินที่ทรงครองนั้น กาลเวลากว่า 60 ปี ได้พิสูจน์ความจริงนี้อย่างชัดเจนเป็นที่ประจักษ์ต่อสากลโลกแล้ว
พระเดชพระคุณนี้จึงล้นฟ้าพระมหาสมุทร อันควรที่ผองชนชาวไทยจักพร้อมใจถวายความจงรักภักดีเป็นกตเวทิตาธรรมสนองพระเดชพระคุณไปตลอดกัลปาวสาน
ประการที่สาม รำลึกถึงพ่อบังเกิดเกล้าคือพ่อผู้ให้กำเนิดชีวิตนี้ การที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เป็นเวไนยสัตว์นั้น เป็นบุญล้นวาสนาล้ำกว่าสรรพสัตว์ เพราะบรรดาสัตว์ทั้งหลายไม่ว่าเหล่าใดก็ไม่มีทางได้สัมผัสกับพระศาสนา ไม่มีทางที่จะได้ลิ้มชิมรสพระธรรมอันประเสริฐ และไม่อาจเข้าถึงซึ่งภาวะสูงสุดอันมนุษย์จะพึงไปได้เลย
การได้เกิดมาเป็นมนุษย์จึงเป็นความประเสริฐนักหนา และที่เกิดมาก็ด้วยพ่อบังเกิดเกล้าเป็นผู้ให้กำเนิด เกิดมาแล้วพ่อก็ปกป้องคุ้มครองดูแลรักษาเคียงคู่อยู่กับแม่ เป็นครูคนแรกที่อบรมสั่งสอนบุตรเริ่มตั้งแต่การกิน การนอน การอยู่ การเรียน การครองตน การครองคู่ แม้กระทั่งหน้าที่การงานทั้งปวง
พ่อบังเกิดเกล้านี่แล้วจึงเป็นพรหมของบุตร เป็นพระอรหันต์ของบุตร ที่แม้นบุตรใดได้ปรนนิบัติ ได้ดูแลรับใช้บำรุงรักษายามแก่เฒ่าชรา ย่อมนับว่าเป็นผู้มีบุญ เพราะมีโอกาสได้บำรุงปรนนิบัติพระพรหมและพระอรหันต์ ใครที่ยังมีโอกาสได้ทำการดังนี้ย่อมนับว่ายังมีบุญมาก อย่าละโอกาสนั้นให้ผ่านพ้นไปโดยไร้ประโยชน์เลย
ขอผองเราได้พร้อมน้ำใจกันรำลึกถึงแผ่นดินพ่อ ถึงพ่อของแผ่นดิน และพ่อบังเกิดเกล้าในประการดังพรรณนานี้เถิด จักบังเกิดความเป็นสิริมงคลแก่ตน จักเป็นที่รักของเทพยดาและมนุษย์ทั้งหลาย จักไม่พ่ายแพ้ในที่ทั้งปวง จักเป็นผู้ชนะในที่ทั้งปวง ถึงซึ่งความสวัสดีแล.