นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่าคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้อนุมัติแผนการดำเนินงานปี 2553 ซึ่งมี 4 กลยุทธ์หลัก เพื่อให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ทำหน้าที่เป็นกลไกสำคัญในการเสริมสร้างศักยภาพและขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ได้แก่ 1 การเพิ่มคุณภาพและยกระดับความน่าเชื่อถือของตลาดหุ้นไทย 2 การเพิ่มสภาพคล่อง 3 การสร้างฐานสำหรับอนาคต และ 4 การเตรียมความพร้อมรับกระบวนการปฏิรูปตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นบริษัทมหาชน ในขณะเดียวกัน ยังดำเนินโครงการเพื่อการพัฒนาตลาดทุนไทยในระยะยาวต่อเนื่อง ผ่านสถาบันกองทุนเพื่อพัฒนาตลาดทุน (CMDF)
ทั้งนี้ ตลท.ตั้งเป้าเพิ่มมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เกตแคป)อีก 100,000 ล้านบาท จากบริษัทจดทะเบียนเข้าใหม่ (ไอพีโอ) และ การออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ได้แก่ สัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้า 10 บาท ( โกลด์ฟิวเจอร์ส) ที่คาดจะออกได้ในไตรมาส 1/53 สัญญาซื้อขายล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ย ( Interest Rate Futures ) ในไตรมาส 4/53 และการจัดตั้งกองทุนอีทีเอฟ (ETFs) ใหม่อีก 4 หลักทรัพย์ เพื่อเพิ่มโอกาสการลงทุน และเป็นเครื่องมือบริหารความเสี่ยงให้แก่ผู้ลงทุน
นอกจากนี้ ยังตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนการถือครองหุ้นของผู้ลงทุนสถาบันในประเทศเป็น 12-15% จาก ณ มิ.ย. 2552 มีสัดส่วน 9.85% ของมูลค่าตลาดรวม โดยจะสนับสนุนให้ทางกองทุนรวมเข้ามาลงทุนในตลาดอนุพันธ์มากขึ้น จากปัจจุบันที่ยังมีสัดส่วนที่ต่ำ เพื่อเป็นการเพิ่มเสถียรภาพตลาดทุนไทย และตั้งเป้าหมายมูลค่าซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ย 17,500–22,000 ล้านบาทต่อวัน ซึ่งคาดว่ามูลค่าการซื้อขายปีนี้อยู่ที่ 18,000 ล้านบาท/วัน จากภาวะตลาดในช่วงไตรมาส3-4 ที่มีเสถียรภาพ แต่เป็นการคาดการณ์ที่ยังไม่รวมผลกระทบของดูไบเวิร์ล และจำนวนสัญญา SET50 Index Futures ที่ซื้อขายเฉลี่ยต่อวันเพิ่มเป็น 10,000-12,000 สัญญา
ด้านนางสาวโสภาวดี เลิศมนัสชัย รองผู้จัดการ สายงานการตลาดและงานบริการหลังการซื้อขายหลักทรัพย์ กล่าวถึงกลยุทธ์การเพิ่มสภาพคล่องว่า นอกจากการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ และเพิ่มสภาพคล่องให้ผลิตภัณฑ์เดิมแล้ว จะเน้นเพิ่มสภาพคล่องให้แก่หุ้นขนาดกลางที่มีผลประกอบการดีต่อเนื่อง รวมถึง การเพิ่มสัดส่วนผู้ลงทุนสถาบันในหุ้น และเน้นเพิ่มปริมาณในตลาดอนุพันธ์ โดยพัฒนาช่องทางและปรับปรุงเกณฑ์ต่างๆ ตลอดจนจะผลักดันให้ธนาคารแห่งประเทศไทยอนุญาตให้มีการวางหลักประกันเป็นเงินสกุลต่างประเทศได้ เพื่อลดต้นทุน ลดความเสี่ยงจากการผันผวนของค่าเงิน และส่งเสริมให้บริษัทสมาชิกตลาดอนุพันธ์ ดำเนินธุรกรรมการลงทุนพอร์ตเทรดมากขึ้น
นางนงราม วงษ์วานิช รองผู้จัดการ สายงานปฏิบัติการและเทคโนโลยีสารสนเทศ กล่าวถึงกลยุทธ์การสร้างฐานสำหรับอนาคต ว่า แผนหลักในการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT Master Plan) ซึ่งจะแล้วเสร็จในปี 2552 นี้ จะเป็นการวางโครงสร้างเพื่อพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของอุตสาหกรรมหลักทรัพย์ให้สามารถรองรับธุรกรรมในอนาคตได้
สำหรับโครงการ ASEAN Linkage ในปี 2553 จะเป็นปีที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ทำงานร่วมกับตลาดหลักทรัพย์พันธมิตรอย่างเข้มข้นด้านการพัฒนาระบบให้รองรับการซื้อขายที่จะเกิดขึ้นในไตรมาสแรกของปี 2554 นอกจากนี้ ยังมุ่งยกระดับความร่วมมือในประเทศกลุ่มอินโดจีน ในการให้บริการร่วมกันหรือการจดทะเบียนสองตลาดแบบ Dual Listing เพื่อมุ่งสู่การเป็น Gateway สู่อินโดจีน ตามกรอบกลยุทธ์ 5 ปี
**หวังปี53กฎหมายปฏิรูปตลท.ผ่าน **
นาย วิรไท สันติประภพ รองผู้จัดการ สายงานพัฒนาและวางแผนกลยุทธ์องค์กร กล่าวถึงการเตรียมการเพื่อการปฏิรูปตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งเป็นหนึ่งใน 8 มาตรการของแผนพัฒนาตลาดทุนไทยว่า ในปี 2553 จะมีการดำเนินการให้มีการผ่านกฎหมายปฏิรูปตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งจะมีการทำงานร่วมกับกระทรวงการคลังในการแก้ไขกฎหมาย พร้อมสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับบทบาทตลาดหลักทรัพย์ฯ และการปฏิรูปตลาดหลักทรัพย์ฯ แก่กลุ่มเป้าหมายและสาธารณชน นอกจากนี้ จะทำงานร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. เพื่อกำหนดบทบาทหน้าที่ระหว่างกัน และโครงสร้างการกำกับดูแลหลังการปฏิรูปตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อป้องกันความขัดแย้งทางผลประโยชน์
ขณะเดียวกัน มองว่า เรื่องดังกล่าวจะส่งผลดีทำให้บริษัทจดทะเบียน(บจ.)ไทยมีผลประกอบการดีขึ้นจากการที่เศรษฐกิจไทยมีการฟื้นตัว ซึ่งนักวิเคราะห์ประเมินว่ากำไรของบจ.ปีหน้าจะเพิ่มขึ้น 20% จากปีนี้ และจะมีเม็ดเงินลงทุนต่างประเทศไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นในแถบเอเซีย รวมถึงไทยมากขึ้น
ส่วนนาย พันธ์ศักดิ์ เวชอนุรักษ์ รองกรรมการผู้อำนวยการ สถาบันกองทุนเพื่อพัฒนาตลาดทุน ศูนย์ส่งเสริมการพัฒนาความรู้ตลาดทุน กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะทำงานร่วมกับธนาคารพาณิชย์และสมาคมนักวางแผนการเงินไทย เจาะกลุ่มผู้มีเงินออมเพื่อสร้างฐานผู้ลงทุนใหม่ โดยการให้ความรู้ด้านการลงทุนแก่ลูกค้าธนาคารพาณิชย์ ซึ่งปัจจุบันมีกลุ่มผู้ฝากเงินที่มีศักยภาพในการลงทุนประมาณ 1.7 ล้านบัญชี โดยดำเนินการผ่านโครงการ Wealth Manager @ Bank และโครงการ Wealth Customer @ Bank
ทั้งนี้ ตลท.ตั้งเป้าเพิ่มมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เกตแคป)อีก 100,000 ล้านบาท จากบริษัทจดทะเบียนเข้าใหม่ (ไอพีโอ) และ การออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ได้แก่ สัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้า 10 บาท ( โกลด์ฟิวเจอร์ส) ที่คาดจะออกได้ในไตรมาส 1/53 สัญญาซื้อขายล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ย ( Interest Rate Futures ) ในไตรมาส 4/53 และการจัดตั้งกองทุนอีทีเอฟ (ETFs) ใหม่อีก 4 หลักทรัพย์ เพื่อเพิ่มโอกาสการลงทุน และเป็นเครื่องมือบริหารความเสี่ยงให้แก่ผู้ลงทุน
นอกจากนี้ ยังตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนการถือครองหุ้นของผู้ลงทุนสถาบันในประเทศเป็น 12-15% จาก ณ มิ.ย. 2552 มีสัดส่วน 9.85% ของมูลค่าตลาดรวม โดยจะสนับสนุนให้ทางกองทุนรวมเข้ามาลงทุนในตลาดอนุพันธ์มากขึ้น จากปัจจุบันที่ยังมีสัดส่วนที่ต่ำ เพื่อเป็นการเพิ่มเสถียรภาพตลาดทุนไทย และตั้งเป้าหมายมูลค่าซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ย 17,500–22,000 ล้านบาทต่อวัน ซึ่งคาดว่ามูลค่าการซื้อขายปีนี้อยู่ที่ 18,000 ล้านบาท/วัน จากภาวะตลาดในช่วงไตรมาส3-4 ที่มีเสถียรภาพ แต่เป็นการคาดการณ์ที่ยังไม่รวมผลกระทบของดูไบเวิร์ล และจำนวนสัญญา SET50 Index Futures ที่ซื้อขายเฉลี่ยต่อวันเพิ่มเป็น 10,000-12,000 สัญญา
ด้านนางสาวโสภาวดี เลิศมนัสชัย รองผู้จัดการ สายงานการตลาดและงานบริการหลังการซื้อขายหลักทรัพย์ กล่าวถึงกลยุทธ์การเพิ่มสภาพคล่องว่า นอกจากการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ และเพิ่มสภาพคล่องให้ผลิตภัณฑ์เดิมแล้ว จะเน้นเพิ่มสภาพคล่องให้แก่หุ้นขนาดกลางที่มีผลประกอบการดีต่อเนื่อง รวมถึง การเพิ่มสัดส่วนผู้ลงทุนสถาบันในหุ้น และเน้นเพิ่มปริมาณในตลาดอนุพันธ์ โดยพัฒนาช่องทางและปรับปรุงเกณฑ์ต่างๆ ตลอดจนจะผลักดันให้ธนาคารแห่งประเทศไทยอนุญาตให้มีการวางหลักประกันเป็นเงินสกุลต่างประเทศได้ เพื่อลดต้นทุน ลดความเสี่ยงจากการผันผวนของค่าเงิน และส่งเสริมให้บริษัทสมาชิกตลาดอนุพันธ์ ดำเนินธุรกรรมการลงทุนพอร์ตเทรดมากขึ้น
นางนงราม วงษ์วานิช รองผู้จัดการ สายงานปฏิบัติการและเทคโนโลยีสารสนเทศ กล่าวถึงกลยุทธ์การสร้างฐานสำหรับอนาคต ว่า แผนหลักในการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT Master Plan) ซึ่งจะแล้วเสร็จในปี 2552 นี้ จะเป็นการวางโครงสร้างเพื่อพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของอุตสาหกรรมหลักทรัพย์ให้สามารถรองรับธุรกรรมในอนาคตได้
สำหรับโครงการ ASEAN Linkage ในปี 2553 จะเป็นปีที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ทำงานร่วมกับตลาดหลักทรัพย์พันธมิตรอย่างเข้มข้นด้านการพัฒนาระบบให้รองรับการซื้อขายที่จะเกิดขึ้นในไตรมาสแรกของปี 2554 นอกจากนี้ ยังมุ่งยกระดับความร่วมมือในประเทศกลุ่มอินโดจีน ในการให้บริการร่วมกันหรือการจดทะเบียนสองตลาดแบบ Dual Listing เพื่อมุ่งสู่การเป็น Gateway สู่อินโดจีน ตามกรอบกลยุทธ์ 5 ปี
**หวังปี53กฎหมายปฏิรูปตลท.ผ่าน **
นาย วิรไท สันติประภพ รองผู้จัดการ สายงานพัฒนาและวางแผนกลยุทธ์องค์กร กล่าวถึงการเตรียมการเพื่อการปฏิรูปตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งเป็นหนึ่งใน 8 มาตรการของแผนพัฒนาตลาดทุนไทยว่า ในปี 2553 จะมีการดำเนินการให้มีการผ่านกฎหมายปฏิรูปตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งจะมีการทำงานร่วมกับกระทรวงการคลังในการแก้ไขกฎหมาย พร้อมสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับบทบาทตลาดหลักทรัพย์ฯ และการปฏิรูปตลาดหลักทรัพย์ฯ แก่กลุ่มเป้าหมายและสาธารณชน นอกจากนี้ จะทำงานร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. เพื่อกำหนดบทบาทหน้าที่ระหว่างกัน และโครงสร้างการกำกับดูแลหลังการปฏิรูปตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อป้องกันความขัดแย้งทางผลประโยชน์
ขณะเดียวกัน มองว่า เรื่องดังกล่าวจะส่งผลดีทำให้บริษัทจดทะเบียน(บจ.)ไทยมีผลประกอบการดีขึ้นจากการที่เศรษฐกิจไทยมีการฟื้นตัว ซึ่งนักวิเคราะห์ประเมินว่ากำไรของบจ.ปีหน้าจะเพิ่มขึ้น 20% จากปีนี้ และจะมีเม็ดเงินลงทุนต่างประเทศไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นในแถบเอเซีย รวมถึงไทยมากขึ้น
ส่วนนาย พันธ์ศักดิ์ เวชอนุรักษ์ รองกรรมการผู้อำนวยการ สถาบันกองทุนเพื่อพัฒนาตลาดทุน ศูนย์ส่งเสริมการพัฒนาความรู้ตลาดทุน กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะทำงานร่วมกับธนาคารพาณิชย์และสมาคมนักวางแผนการเงินไทย เจาะกลุ่มผู้มีเงินออมเพื่อสร้างฐานผู้ลงทุนใหม่ โดยการให้ความรู้ด้านการลงทุนแก่ลูกค้าธนาคารพาณิชย์ ซึ่งปัจจุบันมีกลุ่มผู้ฝากเงินที่มีศักยภาพในการลงทุนประมาณ 1.7 ล้านบัญชี โดยดำเนินการผ่านโครงการ Wealth Manager @ Bank และโครงการ Wealth Customer @ Bank