xs
xsm
sm
md
lg

หุ้นเด่น:PTTAR คาด Q4/09 กำไรเพิ่มจากกำไรสต๊อกน้ำมัน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

9 เดือนที่ผ่านมา PTTAR ทำกำไรได้แล้ว 7.66 พันล้านบาท +249%YoY ผลจากธุรกิจปิโตรเคมีทีดีขึ้น รวมทั้งกำไรจากสต็อกน้ำมัน หลังราคาน้ำมันปรับขึ้นต่อเนื่อง เราประเมินว่าใน Q4 ที่เหลือของปีนี้ บริษัทจะทำไรได้ดีกว่าใน Q3 โดยเราคาดไว้ประมาณ 2.79 พันล้านบาท โดยแม้ค่าการกลั่นจะยังไม่ดี รวมทั้งคาดมาร์จิ้นของปิโตรก็จะหดแคบลงด้วย แต่เรามองบริษัทจะได้กำไรจากสต็อกน้ำมันเข้ามาช่วย หลังคาดราคาน้ำมันปลายงวดจะสูงกว่าต้นงวดแน่นอน และบริษัทก็ทำ Hedging น้ำมันในสต็อกไว้ด้วย 2.5 ล้านบาร์เรล ในช่วงราคา 70-85 เหรียญ (ดูรายละเอียดได้ข้างล่าง) ดังนั้นเมื่อรวมทั้งปี 2009 แล้ว เราคาดกำไรไว้ที่ 1.04 หมื่นล้านบาท (EPS 3.53 บาท) พลิกจากที่ขาดทุนในปีก่อนที่ 8.47 พันล้านบาท โดยสรุปก็คือ ธุรกิจปิโตรฯ ทำได้ดีในปีนี้ และได้กำไรจากสต็อกน้ำมันเข้ามา ผลจากราคาน้ำมันที่ปรับขึ้น สำหรับมุมองข้างหน้า ธุรกิจโรงกลั่นจะยังมีค่าการกลั่นที่แคบอยู่ ทั้งจากความต้องการที่ฟื้นตัวช้า และมีอุปทานใหม่เข้ามาเพิ่มทั้งจากปี 09 และในปี 2010 เช่นเดียวกับธุรกิจโรงกลั่นที่ก็น่าจะได้รับแรงกดดันจากอุปทานใหม่เข้ามา แต่ก็หวังว่าความต้องการจากจีนจะช่วยดูดซับไป รวมทั้งจะมีเรื่องของวัตถุดิบที่ตึงตัวขึ้นด้วย แต่บริษัทก็น่าจะมีกำไรจากสต็อกน้ำมันเข้ามาอีกในปีหน้า จากแนวโน้มราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น เราคาดกำไรปี 2010 ไว้ลดลงราว 6.5% เนื่องจากปี 09 บริษัทมีกำไรจาก FX และจาก Hedging เข้ามามาก เราประเมินเงินปันผลปีนี้ไว้ 1.4 บาท อิงอัตรา Payout ที่ 40% และให้ผลตอบแทน 6.1% จากราคาหุ้นปัจจุบัน ประเมินมูลค่าหุ้นโดยใช้ DFCF ที่ WACC 10.2% ได้มูลค่า 31 บาท ให้เป็นเป้าหมาย แนะนำซื้อ

Investment Theme :

คาดกำไร Q4 ดีขึ้นจาก Q3 ผลจากกำไรสต็อกน้ำมัน –
เราคาด Q4 บริษัทจะทำกำไรได้ดีกว่า Q3 โดยเราคาดไว้ประมาณ 2.79 พันล้านบาท แม้ว่าค่าการกลั่นจะยังย่ำแย่ แต่บริษัทจะได้กำไรจากสต็อกน้ำมันเข้ามาช่วยอีกครั้ง โดยเราประเมินเบื้องต้นน่าจะถึง 4 เหรียญ/บาร์เรล ผลจากราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นใน Q4 นี้ และบริษัทก็ได้ทำ Hedging สต็อกน้ำมันไว้ส่วนหนึ่งด้วย (2.5 ล้านบาร์เรล ในช่วงราคา 70-85 เหรียญ) หมายความว่าถ้าราคาน้ำมันปลายงวดขึ้นเกิน 85 เหรียญ ส่วน 2.5 ล้านบาร์เรล จะถูกตรึงไว้ที่ 85 เหรียญ แต่ส่วนที่ไม่ได้ทำ Hedging ก็จะกำไรได้ตามราคาที่ขึ้นไป ในทางตรงข้าม ถ้าหากราคาน้ำมันปลายงวด Q4 ลงต่ำกว่า 70 เหรียญ ส่วน 2.5 ล้านบาร์เรล ก็จะถูกบันทึกไว้ที่ 70 เหรียญ ทั้งนี้สต็อกน้ำมันดิบของบริษัทปลายงวด Q3 อยู่ที่ 4.65 ล้านบาร์เรล ที่ราคาเฉลี่ย 65 เหรียญ ซึ่งปัจจุบันราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ใกล้ๆ 80 เหรียญ น่าจะเห็นเค้าลางกำไรแล้ว สำหรับธุรกิจปิโตรฯ ที่ราคาลงในช่วงต้นไตรมาส ก็กลับมาขึ้นอีกในปัจจุบัน อย่างไรก็ตามเราประเมินราคาเฉลี่ย PX ใน Q4 อาจจะต่ำกว่า Q3 ราว 4-5% แต่ Spread จะลดลงมากกว่า โดยประเมิน Spread PX จะลดมากถึงกว่า 20% จาก Q3 ทำให้เรามองกำไรของปิโตรฯ จะด้อยลง

ทั้งปี 09 ได้ปิโตรเคมี และกำไรจากสต็อกน้ำมันหนุน – ปี 09 ราคาน้ำมันมีทิศทางการฟื้นตัวขึ้น ตรงกันข้ามกับปีก่อนที่ราคาดิ่งลงแรงในช่วงปลายปี ทำให้บริษัทขายทุนจากสต็อกสินค้าคงคลังเป็นจำนวนมาก แม้ราคาเฉลี่ยในปีนี้ทั้งน้ำมันและปิโตรจะต่ำกว่าปีก่อน แต่ทิศทางขึ้นย่อมดีกว่าทิศทางลง ราคาอะโรเมติกส์ที่ฟื้นตัวตั้งแต่ต้นปี ผลจากความต้องการจากประเทศจีน ทำให้ PTTAR จะได้รับประโยชน์มากเนื่องจากปริมาณผลิตอะโรเมติกส์ที่เพิ่มขึ้น (AR3 เริ่มผลิตตั้งแต่ม.ค.09)ุ ด้านธุรกิจน้ำมันก็รับรู้ราคาขายผลิตภัณฑ์ที่กำลังฟื้นตัวขึ้นด้วย แม้ที่ผ่านมาราคาน้ำมันดีเซลจะตกต่ำลงไปมาก ทำให้มาร์จิ้นของน้ำมันดีเซลไม่ดี แต่ก็หวังว่าราคาดีเซลจะดีขึ้นในในช่วงปลายปีถึงต้นปีหน้า ซึ่งเป็นช่วงที่ความต้องการใช้น้ำมันดีเซลในสหรัฐจะเพิ่มขึ้นในช่วงฤดูหนาว เราประเมิน รายได้ ที่ 2.29 แสนล้านบาท -9% เนื่องจากราคาขายผลิตภัณฑ์เฉลี่ยในปีนี้ต่ำกว่าปีก่อน ทำให้รายได้ลดลง คาดค่าการกลั่นน้ำมันปกติคาดจะต่ำกว่า 3 เหรียญ ส่วน Spread เฉลี่ยปิโตรฯจะเพิ่มจากปีก่อน โดยเฉพาะ PX รวมทั้งบริษัทจะได้กำไรจากสินค้าคงคลัง หลังราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นจากปลายปีก่อน คาด EBITDA ที่ 1.65หมื่นล้านบาท พลิกจากติดลบ 9.22 พันล้านบาท และคาดกำไรที่ 1.04 หมื่นล้านบาท (EPS 3.53 บาท) จากขาดทุน 8.47 พันล้านบาทในปี 08

ย้อนดูผลประกอบการ Q3/09 ปิโตรเคมีทำได้ดี แต่โรงกลั่นแย่ลง - PTTAR ใน Q3/09 ทำกำไรได้ 1,708 ล้านบาท (EPS 0.58 บาท) -59%QoQ โรงกลั่นมี Market GRM ที่ 2.3 เหรียญ ลดลงจาก Q2 ที่ 3.3 เหรียญ และก็ต่ำกว่าปีก่อนที่ 3.5 เหรียญ แต่ในไตรมาสนี้ ก็มีกำไรจากสต็อกน้ำมันเข้ามา 1.18 เหรียญ ซึ่งลดลงมากจาก Q2 ที่มีกำไรจากสต็อกน้ำมัน 5.66 เหรียญ และในไตรมาส 3 ยังมี ขาดทุนจากการทำ Hedging เข้ามาเล็กน้อยด้วย ส่วนธุรกิจปิโตรเคมี ราคาขายอะโรเมติกส์เพิ่มขึ้นต่อเนืองจาก Q2 และทำให้ Market P2F ยังสูงที่ 8.43 เหรียญ ใกล้เคียงกับ Q2 ที่ 8.7 เหรียญ และสูงกว่าปีก่อนที่ 3.42 เหรียญ รวมทั้ง 2 ธุรกิจแล้ว Accounting GIM ทำได้ที่ 5.87 เหรียญ ลดลงจาก Q2 ที่ 10.31 เหรียญ และพลิกจากปีก่อนที่ -4.7 เหรียญ กำไรรวม 9 เดือน ทำได้ที่ 7,664 ล้านบาท (EPS 2.59 บาท) +246%YoY โดยที่ Accounting GIM เพิ่มขึ้น 57% จาก 4.97 เหรียญ มาที่ 7.81 เหรียญ

Update ธุรกิจโรงกลั่นและอะโรเมติกส์ – น้ำมันดิบมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นในปีหน้า แต่จะมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากภาวะเศรษฐกิจด้วย เราประเมินว่าน้ำมันดิบจะเพิ่มราว 25% มาที่เฉลี่ย 77 เหรียญ ซึ่งจะเป็นผลดีต่อธุรกิจผู้ผลิตน้ำมัน แต่ในส่วนธุรกิจโรงกลั่น น่าจะต้องเผชิญแรงกดดันจากค่าการกลั่นที่แคบอยู่ แม้จะคาดหวังความต้องการใช้น้ำมันจะเพิ่มขึ้น แต่ในด้านอุปทานก็มีทั้งที่เพิ่มเข้ามาใหม่ และของเดิมที่ผลิตไม่อัตราที่ต่ำอยู่ในปัจจุบัน ที่พร้อมจะผลิตเพิ่มด้วย แต่ถ้าค่าการกลั่นยังแคบอยู่ผู้ผลิตเดิมที่โรงกลั่นมีประสิทธิภาพต่ำหรือหรือธุรกิจไม่ครบวงจร ก็จะเสียเปรียบ และคงต้องหยุดหรือลดการผลิตต่อไป สำหรับปริมาณอุปทานใหม่จากโรงกลั่นในภูมิภาคที่เข้ามามากถึง 1.576 ล้านบาร์เรล/วัน ในปี 2009 และคาดอีก 1.01 ล้านบาร์เรล/วัน ในปี 2010 แม้จะมีอีกหลายโรงที่เลื่อนการผลิตออกไปอีก ดังนั้นเราคงจะเห็นค่าการกลั่นที่ยังรับแรงกดดันอยู่ในปีหน้า

ในส่วนอะโรเมติกส์ จะมีผลโยงมาจากโรงงกลั่นด้วย จากกรณีที่โรงกลั่นลดการผลิตลง จะทำให้วัตถุดิบสำหรับผลิต PX และ BX ลดลงไปด้วย ซึ่งก็จะมีผลต่อปริมาณ PX และ BZ ที่ออกมา รวมทั้งต้นทุนด้วย แม้ว่ากำลังการผลิตใหม่จะมีเข้ามาในปี 2009-10 จากจีนและตะวันออกกลาง แต่ความต้องการใช้ PX จากจีนจะเพิ่มขึ้น จากโรงผลิต PTA ที่เพิ่มขึ้น ทำให้ต้องนำเข้า PX เพิ่มขึ้นด้วย ด้าน BZ ก็ต้องหวังการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ฉุดอุตสาหกรรมรถยนต์ให้ดีขึ้นด้วย แต่เรายังเผื่อว่าความต้องการใช้ BZ จะยังไม่ดีนักในปีหน้า

โครงการลงทุน – บริษัทตั้งงบลงทุนปี 2009 ไปถึงปี 2013 ที่ประมาณ 420 ล้านเหรียญ โดยในปี 2009 อยู่ที่ 178 ล้านเหรียญ ใช้ไปแล้ว 86 ล้านเหรียญ และที่เหลืออีก 92 ล้านเหรียญ โครงการใหญ่ที่จะทำคือ DHDS (Euro IV) มูลค่ากว่า 220 ล้านเหรียญ ตามแผนก็จะเสร็จในปลายปี 2011 ก่อนที่มาตรฐานยูโรโฟร์ จะมีผลบังคับใช้ในต้นปี 2012 หรือ พ.ศ.2555 นอกนั้นเงินลงทุนที่เหลือ จะใช้ในการซ่อมบำรุงประจำปี รวมถึงการหยุดซ่อมบำรุงใหญ่ตามแผนด้วย โดยขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างทบทวนแผนซ่อมบำรุงใหญ่ในปีหน้า จากเดิมมีแผนหยุดซ่อมบำรุง 2 โรงงาน คือการหยุดโรงอะโรเมติกส์ ใน Q1 และโรงกลั่นน้ำมันใน Q4(บทวิเคราะห์ฉบับนี้ ฝ่ายวิจัยวิเคราะห์ในวันที่ 20 พ.ย. 2552)

   เอกพิทยา เอี่ยมคงเอก และทีมงานฝ่ายวิจัย/บล.บีฟิท
กำลังโหลดความคิดเห็น