ASTVผู้จัดการรายวัน – กรรมาธิการ ป.ป.ช. ข้องใจดอนเมืองโทลล์เวย์ขึ้นราคา ขัดกม.ร่วมทุนรัฐ ชงเรื่องสอบสวน ลั่นต้องโมฆะ หากผิดแถมร้อง ปปช.สอบด่วน ด้าน กทพ.เจรจา BECL และ NECL เร่งสรุปข้อพิพาทค่าผ่านทางด่วน ที่ฟ้องร้องเรียกค่าชดเชยกว่า 2,167 ล้านบาท โดยขอตัดชั้นคณะผู้พิจารณาลดขั้นตอนข้อพิพาท ตามเงื่อนไขอนุญาโตตุลาการ ของข้อพิพาทการปรับค่าทางด่วนขั้นที่ 2 ปี 2546 และ 2551 และสายบางปะอิน-ปากเกร็ด หลังพบไม่บรรลุวัตถุปสงค์ทำให้เสียเวลา ก่อนเสนอครม.แก้สัญญาสัมปทาน
นายชาญชัย อิสรเสนารักษ์ ส.ส.นครนายก พรรคประชาธิปัตย์ รองประธานคณะกรรมาธิการ(กมธ.)ป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ แถลงว่า กมธ.จะดำเนินการตรวจสอบสัญญาสัมปทานระหว่างรัฐกับเอกชนหลายฉบับว่าได้ผ่านกระบวนการตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ.2535 หรือไม่ โดยในเบื้องต้นจะตรวจสอบบริษัททางยกระดับดอนเมือง จำกัด(มหาชน) ผู้รับสัมปทานโครงการทางด่วนดอนเมืองโทลล์เวย์ ซึ่งกำลังจะขึ้นค่าผ่านทางในวันที่ 22 ธ.ค. ถึงแม้ว่าดอนเมืองโทลล์เวลย์จะเกิดก่อนปีพ.ศ. 2535 ก็จริง แต่เมื่อมีการต่อสัญญาหรือเพิ่มเติมเนื้องานภายหลังก็ต้องเข้าพ.ร.บ.ดังกล่าว ซึ่งจะทำให้การขึ้นค่าผ่านทางไม่สามารถทำได้โดยทันทีแต่ต้องให้ข้อมูลกับประชาชนให้รับทราบด้วยเพราะประชาชนได้รับความเดือดร้อนโดยไม่รู้เรื่อง นอกจากนี้จะยื่นคณะกรรมการป.ป.ช.สอบด้วยว่ามีการทุจริตหลบเลี่ยงกฎหมายหรือไม่
“กมธ.จะเชิญตัวแทนกระทรวงคมนาคม กรมทางหลวง ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัททางยกระดับดอนเมือง มาชี้แจงว่าสัมปทานนี้ได้ผ่านพ.ร.บ.ร่วมการงานฯ หรือไม่ ถ้าไม่ผ่านก็มีสิทธิจะกลายเป็นโฆษะ ที่ผ่านมาศาลปกครองกลาง จ.ระยอง เคยเพิกถอนสัญญาของบริษัทเอกชนรายหนึ่งที่รับสัมปทานจากการประปาส่วนภูมิภาค หลังจากที่พบว่าหลบเลี่ยงที่จะดำเนินการตามพ.ร.บ.ดังกล่าว” นายชาญชัย
***กทพ.เร่งเคลียร์ฟ้องทางด่วน 2
พันโททวีสิน รักกตัญญู ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) เปิดเผยว่า กรณีข้อพิพาทระหว่างกทพ. กับบริษัท ทางด่วนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BECL และบริษัท ทางด่วนกรุงเทพเหนือ จำกัด หรือ NECL นั้น จากการหารือเบื้องต้นของคณะกรรมการประสานงานซึ่งมีตนเป็นประธาน และมีผู้แทนของ BECL และ NECL ร่วมเป็นกรรมการด้วย เห็นว่า ควรลดขั้นตอนในการดำเนินการตามข้อพิพาทลงในชั้นของคณะผู้พิจารณา ก่อนที่จะเข้าคณะอนุญาโตตุลาการ ซึ่งอยู่ระหว่างรอคำตอบจากทั้ง BECL และ NECL อย่างเป็นทางการ โดยการยกเลิกขั้นตอนคณะผู้พิจารณาจะทำให้ข้อพิพาทได้ข้อยุติที่เร็วขึ้น
“หากเอกชนเห็นด้วยกับแนวทางดังกล่าว จะต้องหารือกันให้ได้ข้อยุติที่ชัดเจน และจะต้องเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อขอยกเว้นการดำเนินการตามขั้นตอนอนุญาโตตุลาการ เนื่องจากสัญญาระหว่างกทพ.กับ BECL และ NECL นั้นเป็นสัญญาเก่ามีเงื่อนไขการใช้อนุญาโตตุลาการในการระงับข้อพิพาทหากมีการเปลี่ยนแปลงจะต้องขออนุมัติจากครม.”พันโททวีสินกล่าว
อย่างไรก็ตาม การทำสัญญาระหว่างกทพ.กับเอกชน ต่อจากนี้ ไม่ต้องใช้เงื่อนไขอนุญาโตตุลาการในการระงับข้อพิพาท ตามมติครม.วันที่ 28 ก.ค. 52 เช่นเดียวกับทุกหน่วยงาน ซึ่งโครงการของกทพ.จะใช้เงินกู้ในประเทศ จึงไม่มีปัญหากับแหล่งเงินกู้ แต่อย่างใด
ด้านนายอัยยณัฐ ถินอภัย รองผู้ว่าการฝ่ายกฎหมายและกรรมสิทธิ์ที่ดิน กทพ. กล่าวว่า คณะกรรมการประสานงานข้อพิพาทระหว่างกทพ.กับ BECL กรณีการปรับค่าผ่านทางด่วนขั้นที่ 2 ปี 2546 และ 2551 และข้อพิพาทกับ NECL สัญญาโครงการทางด่วนสายบางปะอิน-ปากเกร็ด ประชุมเมื่อเดือนต.ค.ที่ผ่านมา เห็นว่าชั้นคณะผู้พิจารณา ซึ่งเป็นกระบวนการไกล่เกลี่ย ก่อนไปสู่ชั้นอนุญาโตตุลาการไม่สามารถบรรลุตามวัตถุประสงค์ของสัญญาได้ และทำให้เสียเวลามาก จึงเกิดแนวคิดที่จะตัดขั้นตอนคณะผู้พิจารณาออก
นายอัยยณัฐกล่าวว่า การข้ามขั้นตอนคณะผู้พิจารณาจะต้องเสนอครม.เนื่องจากจะต้องมีการแก้ไขสัญญาระหว่าง กทพ.กับ BECL และ NECL ทำให้ข้อพิพาทเหลือขั้นตอนอนุญาโตตุลาการและศาลชั้นต้นและศาลฎีกา และในอนาคตอาจจะมีการเจรจาเพื่อเพื่อตัดขั้นตอนอนุญาโตตุลาการ เพื่อให้เหลือขั้นตอนของศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา ซึ่งจะทำให้ข้อพิพาทได้ข้อยุติเร็วขึ้นอีก
สำหรับข้อพิพาทระหว่างกทพ.กับ BECL มีรวม 11 เรื่อง อยู่ในชั้น คณะผู้พิจารณา 2 เรื่อง ชั้นอนุญาโตตุลาการ 8 เรื่อง ชั้นศาล 1 เรื่อง ข้อพิพาทระหว่างกทพ.กับNECL รวม 3 เรื่อง ในชั้นอนุญาโตตุลาการ 2 เรื่อง ชั้นศาล 1 เรื่อง โดยข้อพิพาทกับ BECLในชั้นคณะผู้พิจารณา คือ ข้อพิพาท/คดีหมายเลขดำที่ 24/2552 BECL เป็นผู้เรียกร้องให้กทพ.ชดใช้ค่าเสียหายแป็นเงินผลต่างระหว่างอัตราค่าผ่านทางรถยนต์แต่ละประเภทของทางด่วนขั้นที่ 2 ส่วนดี จำนวน 325,300,621.67 บาท และชดใช้เงินค่าเสียหายเป็นเงินผลต่างระหว่างอัตราค่าผ่านทางรถยนต์แต่ละประเภทของทางด่วนขั้นที่ 2 ส่วนดี ตามประกาศกระทรวงคมนาคม ฉบับลงวันที่ 15 ส.ค. 2551 นับตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค. 2552 เป็นต้นไป จนกว่า กทพ.จะดำเนินการปรับค่าผ่านทางตามสัญญา
ข้อพิพาท/คดีหมายเลขดำที่ 30/2552 BECL เรียกร้องให้กทพ.ชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงินผลต่างอัตราค่าผ่านทางของโครงข่ายในเขตเมืองและนอกเมืองของทางด่วนขั้นที่ 2 ตามประกาศกระทรวงคมนาคม ฉบับลงวันที่ 15 ส.ค.2551 ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. 2551 – 28 ก.พ. 2552 เป็นเงิน 804,068,460 บาท
ในชั้นอนุญาโตตุลาการ ข้อพิพาทหมายเลขดำที่ 53/2551 BECL เรียกร้อง เรื่องการปรับอัตราค่าผ่านทางปี 2546 (โครงข่ายในเมืองและนอกเมืองของระบบทางด่วนขั้นที่ 2 ) วงเงิน 5,980,283,827.52 บาท และข้อพิพาทหมายเลขดำที่ 67/2551 BECL เรียกร้องการปรับอัตราค่าผ่านทางปี 2546 ตามสัญญาโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 2 (ส่วนดี) วงเงิน 1,048,239,250.58 บาท
นายชาญชัย อิสรเสนารักษ์ ส.ส.นครนายก พรรคประชาธิปัตย์ รองประธานคณะกรรมาธิการ(กมธ.)ป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ แถลงว่า กมธ.จะดำเนินการตรวจสอบสัญญาสัมปทานระหว่างรัฐกับเอกชนหลายฉบับว่าได้ผ่านกระบวนการตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ.2535 หรือไม่ โดยในเบื้องต้นจะตรวจสอบบริษัททางยกระดับดอนเมือง จำกัด(มหาชน) ผู้รับสัมปทานโครงการทางด่วนดอนเมืองโทลล์เวย์ ซึ่งกำลังจะขึ้นค่าผ่านทางในวันที่ 22 ธ.ค. ถึงแม้ว่าดอนเมืองโทลล์เวลย์จะเกิดก่อนปีพ.ศ. 2535 ก็จริง แต่เมื่อมีการต่อสัญญาหรือเพิ่มเติมเนื้องานภายหลังก็ต้องเข้าพ.ร.บ.ดังกล่าว ซึ่งจะทำให้การขึ้นค่าผ่านทางไม่สามารถทำได้โดยทันทีแต่ต้องให้ข้อมูลกับประชาชนให้รับทราบด้วยเพราะประชาชนได้รับความเดือดร้อนโดยไม่รู้เรื่อง นอกจากนี้จะยื่นคณะกรรมการป.ป.ช.สอบด้วยว่ามีการทุจริตหลบเลี่ยงกฎหมายหรือไม่
“กมธ.จะเชิญตัวแทนกระทรวงคมนาคม กรมทางหลวง ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัททางยกระดับดอนเมือง มาชี้แจงว่าสัมปทานนี้ได้ผ่านพ.ร.บ.ร่วมการงานฯ หรือไม่ ถ้าไม่ผ่านก็มีสิทธิจะกลายเป็นโฆษะ ที่ผ่านมาศาลปกครองกลาง จ.ระยอง เคยเพิกถอนสัญญาของบริษัทเอกชนรายหนึ่งที่รับสัมปทานจากการประปาส่วนภูมิภาค หลังจากที่พบว่าหลบเลี่ยงที่จะดำเนินการตามพ.ร.บ.ดังกล่าว” นายชาญชัย
***กทพ.เร่งเคลียร์ฟ้องทางด่วน 2
พันโททวีสิน รักกตัญญู ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) เปิดเผยว่า กรณีข้อพิพาทระหว่างกทพ. กับบริษัท ทางด่วนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BECL และบริษัท ทางด่วนกรุงเทพเหนือ จำกัด หรือ NECL นั้น จากการหารือเบื้องต้นของคณะกรรมการประสานงานซึ่งมีตนเป็นประธาน และมีผู้แทนของ BECL และ NECL ร่วมเป็นกรรมการด้วย เห็นว่า ควรลดขั้นตอนในการดำเนินการตามข้อพิพาทลงในชั้นของคณะผู้พิจารณา ก่อนที่จะเข้าคณะอนุญาโตตุลาการ ซึ่งอยู่ระหว่างรอคำตอบจากทั้ง BECL และ NECL อย่างเป็นทางการ โดยการยกเลิกขั้นตอนคณะผู้พิจารณาจะทำให้ข้อพิพาทได้ข้อยุติที่เร็วขึ้น
“หากเอกชนเห็นด้วยกับแนวทางดังกล่าว จะต้องหารือกันให้ได้ข้อยุติที่ชัดเจน และจะต้องเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อขอยกเว้นการดำเนินการตามขั้นตอนอนุญาโตตุลาการ เนื่องจากสัญญาระหว่างกทพ.กับ BECL และ NECL นั้นเป็นสัญญาเก่ามีเงื่อนไขการใช้อนุญาโตตุลาการในการระงับข้อพิพาทหากมีการเปลี่ยนแปลงจะต้องขออนุมัติจากครม.”พันโททวีสินกล่าว
อย่างไรก็ตาม การทำสัญญาระหว่างกทพ.กับเอกชน ต่อจากนี้ ไม่ต้องใช้เงื่อนไขอนุญาโตตุลาการในการระงับข้อพิพาท ตามมติครม.วันที่ 28 ก.ค. 52 เช่นเดียวกับทุกหน่วยงาน ซึ่งโครงการของกทพ.จะใช้เงินกู้ในประเทศ จึงไม่มีปัญหากับแหล่งเงินกู้ แต่อย่างใด
ด้านนายอัยยณัฐ ถินอภัย รองผู้ว่าการฝ่ายกฎหมายและกรรมสิทธิ์ที่ดิน กทพ. กล่าวว่า คณะกรรมการประสานงานข้อพิพาทระหว่างกทพ.กับ BECL กรณีการปรับค่าผ่านทางด่วนขั้นที่ 2 ปี 2546 และ 2551 และข้อพิพาทกับ NECL สัญญาโครงการทางด่วนสายบางปะอิน-ปากเกร็ด ประชุมเมื่อเดือนต.ค.ที่ผ่านมา เห็นว่าชั้นคณะผู้พิจารณา ซึ่งเป็นกระบวนการไกล่เกลี่ย ก่อนไปสู่ชั้นอนุญาโตตุลาการไม่สามารถบรรลุตามวัตถุประสงค์ของสัญญาได้ และทำให้เสียเวลามาก จึงเกิดแนวคิดที่จะตัดขั้นตอนคณะผู้พิจารณาออก
นายอัยยณัฐกล่าวว่า การข้ามขั้นตอนคณะผู้พิจารณาจะต้องเสนอครม.เนื่องจากจะต้องมีการแก้ไขสัญญาระหว่าง กทพ.กับ BECL และ NECL ทำให้ข้อพิพาทเหลือขั้นตอนอนุญาโตตุลาการและศาลชั้นต้นและศาลฎีกา และในอนาคตอาจจะมีการเจรจาเพื่อเพื่อตัดขั้นตอนอนุญาโตตุลาการ เพื่อให้เหลือขั้นตอนของศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา ซึ่งจะทำให้ข้อพิพาทได้ข้อยุติเร็วขึ้นอีก
สำหรับข้อพิพาทระหว่างกทพ.กับ BECL มีรวม 11 เรื่อง อยู่ในชั้น คณะผู้พิจารณา 2 เรื่อง ชั้นอนุญาโตตุลาการ 8 เรื่อง ชั้นศาล 1 เรื่อง ข้อพิพาทระหว่างกทพ.กับNECL รวม 3 เรื่อง ในชั้นอนุญาโตตุลาการ 2 เรื่อง ชั้นศาล 1 เรื่อง โดยข้อพิพาทกับ BECLในชั้นคณะผู้พิจารณา คือ ข้อพิพาท/คดีหมายเลขดำที่ 24/2552 BECL เป็นผู้เรียกร้องให้กทพ.ชดใช้ค่าเสียหายแป็นเงินผลต่างระหว่างอัตราค่าผ่านทางรถยนต์แต่ละประเภทของทางด่วนขั้นที่ 2 ส่วนดี จำนวน 325,300,621.67 บาท และชดใช้เงินค่าเสียหายเป็นเงินผลต่างระหว่างอัตราค่าผ่านทางรถยนต์แต่ละประเภทของทางด่วนขั้นที่ 2 ส่วนดี ตามประกาศกระทรวงคมนาคม ฉบับลงวันที่ 15 ส.ค. 2551 นับตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค. 2552 เป็นต้นไป จนกว่า กทพ.จะดำเนินการปรับค่าผ่านทางตามสัญญา
ข้อพิพาท/คดีหมายเลขดำที่ 30/2552 BECL เรียกร้องให้กทพ.ชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงินผลต่างอัตราค่าผ่านทางของโครงข่ายในเขตเมืองและนอกเมืองของทางด่วนขั้นที่ 2 ตามประกาศกระทรวงคมนาคม ฉบับลงวันที่ 15 ส.ค.2551 ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. 2551 – 28 ก.พ. 2552 เป็นเงิน 804,068,460 บาท
ในชั้นอนุญาโตตุลาการ ข้อพิพาทหมายเลขดำที่ 53/2551 BECL เรียกร้อง เรื่องการปรับอัตราค่าผ่านทางปี 2546 (โครงข่ายในเมืองและนอกเมืองของระบบทางด่วนขั้นที่ 2 ) วงเงิน 5,980,283,827.52 บาท และข้อพิพาทหมายเลขดำที่ 67/2551 BECL เรียกร้องการปรับอัตราค่าผ่านทางปี 2546 ตามสัญญาโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 2 (ส่วนดี) วงเงิน 1,048,239,250.58 บาท