เอเอฟพี – แท่นขุดเจาะน้ำมันนอกชายฝั่งออสเตรเลีย ของ ปตท.สผ. ยังคงเกิดเพลิงลุกไหม้อย่างไม่อาจควบคุมได้เมื่อวานนี้(2) และกำลังกลายเป็นเหตุเพลิงไหม้ร้ายแรงที่สุดในรอบ 25 ปี ของการขุดเจาะน้ำมันนอกชายฝั่งในแดนจิงโจ้ อีกทั้งยังสร้างความเสียหายให้แก่สิ่งแวดล้อมลามไปถึงเขตอินโดนีเซียแล้ว โดยเจ้าหน้าที่หลายคนเตือนว่า คงไม่สามารถดับไฟได้หากไม่อาจอุดรูรั่วที่มีน้ำมันดิบไหลออกมาเป็นจำนวนมากตลอดช่วง 10 สัปดาห์ที่ผ่านมา
ขณะที่รัฐบาลออสเตรเลียสั่งสอบสวนเหตุเพลิงไหม้รุนแรงครั้งนี้เป็นการฉุกเฉิน พวกนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมก็เตือนว่า หากไฟยังลุกไหม้ต่อไปและไม่สามารถอุดรูรั่วที่น้ำมันจากใต้ทะเลไหลออกมาได้ ก็จะเป็นการทำลายท้องทะเลอันบริสุทธิ์นอกชายฝั่งทางตะวันตกเฉียงเหนือของออสเตรเลีย ซึ่งเป็นแหล่งที่อยู่ของวาฬและโลมา
ทั้งนี้ แท่นขุดเจาะน้ำมัน “เวสต์ แอตลาส” แห่งนี้ ได้เกิดเพลิงไหม้ตั้งแต่วันอาทิตย์ (1) ระหว่างที่กำลังมีการพยายามอุดรูรั่วซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 21 สิงหาคมที่ผ่านมา และทำให้มีน้ำมันหลายพันบาร์เรลไหลลงสู่ทะเลติมอร์
บริษัทผู้ดำเนินการแท่นขุดเจาะน้ำมันดังกล่าวคือ พีทีทีอีพี ออสเตรเลเชีย ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. ระบุว่าการอุดรูรั่วเป็นหนทางเดียวที่จะหยุดเพลิงที่โหมท่วมแท่นขุดเจาะและหลุมพัฒนานอกชายฝั่งไปราว 250 กิโลเมตร และบริษัทจะพยายามอุดรูรั่วนี้อีกครั้งหนึ่งในวันอังคาร(3)
“วิธีดีที่สุดและปลอดภัยที่สุดในการดับไฟก็คือ ปิดหลุมด้วยการอัดโคลนปริมาณมากๆ เข้าไปในหลุมที่มีรูรั่วเสีย” โฮเซ มาร์ตินส์ ผู้อำนวยการของพีทีทีอีพีกล่าว
“โคลนตามสูตรที่เราผสมขึ้นนี้จะไหลย้อนไปยังหลุมที่มีรูรั่ว และหยุดก๊าซกับน้ำมันที่ระดับพื้นผิวของหลุมเอช 1 ซึ่งจะเป็นการตัดแหล่งเชื้อเพลิงที่ทำให้ไฟลุกไหม้อยู่บนแท่นขุดเจาะ วิธีนี้ถือเป็นการปิดถมหลุมและจะดับไฟได้”
ทางด้าน มาร์ติน เฟอร์กูสัน รัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรและพลังงานออสเตรเลียกล่าวว่า อุบัติเหตุคราวนี้ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่มีขนาดใหญ่ถึงเพียงนี้ในรอบระยะเวลา 25 ปีแห่งการขุดเจาะน้ำมันนอกชายฝั่งกันมาของแดนจิงโจ้ “จะส่งผลกระทบต่อสถานภาพของอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในออสเตรเลียด้วยอย่างแน่นอน”
“ผมขอบอกเพียงว่าทันทีที่ถมปิดหลุมแล้ว แท่นขุดเจาะก็จะปลอดภัย จากนั้นผมจะดำเนินการสอบสวนเรื่องนี้อย่างละเอียดและไม่เข้าข้างฝ่ายใด เพื่อประเมินหาสาเหตุที่แท้จริงของเหตุการณ์ครั้งนี้ รวมทั้งพิจารณาเรื่องวิธีแก้ปัญหาในช่วง 10 สัปดาห์ที่ผ่านมาด้วย”
สตีเฟน เคฟนาจ ช่างภาพคนหนึ่งซึ่งขึ้นเครื่องบินสำรวจสถานการณ์ครั้งนี้ด้วย ระบุว่าเป็นเหตุเพลิงไหม้รุนแรงที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมาในชีวิต
“มันเป็นเหตุเพลิงไหม้ขนาดใหญ่มากจนเราต้องบินวนดูสถานการณ์ถึงสองหรือสามรอบ ตอนหลังพอผมวางกล้องลง แล้วมองดูจากทางหน้าต่าง ผมตกใจมากที่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น” เขาเล่า
กลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมต่างๆ พากันออกมาวิจารณ์รัฐบาลออสซี่เกี่ยวกับการแก้ปัญหาน้ำมันรั่วครั้งนี้ โดยบอกว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นการคุกคามชีวิตนกและสัตว์น้ำที่อาศัยอยู่นอกชายฝั่งทางตอนเหนือของออสเตรเลียตะวันตกซึ่งเป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์
“เราจัดอันดับเหตุการณ์นี้เป็นหายนภัยร้ายแรงทางด้านสิ่งแวดล้อม” จอห์น แครีย์ โฆษกของกลุ่ม “Pew Environment Group” กล่าวและเสริมว่าน้ำมันเป็นเพชฌฆาตที่ทำลายสิ่งมีชีวิตในท้องทะเลอย่างเงียบๆ และช้าๆ
ยิ่งกว่านั้น บริเวณที่เกิดเหตุเพลิงไหม้ครั้งนี้เป็น “ทางด่วนของสัตว์น้ำหลายสายพันธุ์ที่เดินทางผ่านไปมาในแถบนั้น จึงถือว่าเป็นพื้นที่ที่มีความสำคัญยิ่งต่อโลก และยังเป็นบริเวณที่วาฬและโลมาราวหนึ่งในสี่ของโลกอาศัยอยู่ด้วย”
กิสเลน เลเวลลิน นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของ WWF Australia ได้ออกสำรวจพื้นที่เกิดเหตุเป็นเวลาสามวัน เธอกล่าวว่าขนาดของเพลิงที่ลุกไหม้และระยะเวลาที่มีน้ำมันรั่วออกมาในทะเลทำให้สัตว์น้ำและนกในแถบนั้นมีความเสี่ยงที่จะได้รับอันตรายอย่างสูง
เธอบอกอีกว่าเราอาจไม่พบความรุนแรงในลักษณะที่มีสัตว์ลอยน้ำตายเป็นจำนวนมาก หรือถูกคลื่นชัดไปติดตามชายหาด แต่สัตว์จำนวนมากจะจมลงไปตายในน้ำเมื่อตัวเปื้อนคราบน้ำมัน
“การดำเนินธุรกิจในพื้นที่ห่างไกล ไม่ได้มีข้อยกเว้นเรื่องการที่จะต้องเฝ้าระวัง จัดเจ้าหน้าที่ดูแล และจัดหน่วยสนับสนุนให้พร้อมอยู่เสมอ” เลเวลลินกล่าว
ส่วนสมาคมอนุรักษ์สัตว์น้ำแห่งออสเตรเลียก็คาดหวังว่าการสอบสวนของรัฐบาลจะกดดันให้ผู้ประกอบธุรกิจปรับปรุงการบริหารจัดการกับอุบัติเหตุให้ดีขึ้นกว่าเดิม
“เราไม่รู้ว่าหายนภัยครั้งนี้เกิดขึ้นจากสาเหตุใด และเราต้องการทำความเข้าใจเพื่อที่จะป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุทำนองนี้อีกในอนาคต” ดาร์เรน คินด์ลีไซด์ กรรมการของสมาคมกล่าว
อนึ่ง เฟอร์ดี ตาโนนี แห่งมูลนิธิเวสต์ติมอร์แคร์ ซึ่งให้การสนับสนุนพวกชาวประมงยากจนในแถบภาคตะวันออกของอินโดนีเซีย แถลงเมื่อวานนี้ว่า น้ำมันจำนวนมากที่รั่วไหลลงสู่ทะเลติมอร์เหล่านี้ กำลังแพร่ลามมาสร้างความเสียหายให้แก่พวกหมู่บ้านประมงยากจนในจังหวัดนูซา เตงราการา ตะวันออก ของอินโดนีเซียแล้ว โดยน้ำมันเหล่านี้ทำให้สัตว์น้ำเสียชีวิต และรายได้ของชาวประมงที่มีอยู่ราว 7,000 คนก็ตกต่ำลงทุกที จากที่ลดลงราว 40% ในตอนแรกๆ พอถึงสัปดาห์ที่แล้วก็ต่ำลงถึง 80%
ขณะที่รัฐบาลออสเตรเลียสั่งสอบสวนเหตุเพลิงไหม้รุนแรงครั้งนี้เป็นการฉุกเฉิน พวกนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมก็เตือนว่า หากไฟยังลุกไหม้ต่อไปและไม่สามารถอุดรูรั่วที่น้ำมันจากใต้ทะเลไหลออกมาได้ ก็จะเป็นการทำลายท้องทะเลอันบริสุทธิ์นอกชายฝั่งทางตะวันตกเฉียงเหนือของออสเตรเลีย ซึ่งเป็นแหล่งที่อยู่ของวาฬและโลมา
ทั้งนี้ แท่นขุดเจาะน้ำมัน “เวสต์ แอตลาส” แห่งนี้ ได้เกิดเพลิงไหม้ตั้งแต่วันอาทิตย์ (1) ระหว่างที่กำลังมีการพยายามอุดรูรั่วซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 21 สิงหาคมที่ผ่านมา และทำให้มีน้ำมันหลายพันบาร์เรลไหลลงสู่ทะเลติมอร์
บริษัทผู้ดำเนินการแท่นขุดเจาะน้ำมันดังกล่าวคือ พีทีทีอีพี ออสเตรเลเชีย ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. ระบุว่าการอุดรูรั่วเป็นหนทางเดียวที่จะหยุดเพลิงที่โหมท่วมแท่นขุดเจาะและหลุมพัฒนานอกชายฝั่งไปราว 250 กิโลเมตร และบริษัทจะพยายามอุดรูรั่วนี้อีกครั้งหนึ่งในวันอังคาร(3)
“วิธีดีที่สุดและปลอดภัยที่สุดในการดับไฟก็คือ ปิดหลุมด้วยการอัดโคลนปริมาณมากๆ เข้าไปในหลุมที่มีรูรั่วเสีย” โฮเซ มาร์ตินส์ ผู้อำนวยการของพีทีทีอีพีกล่าว
“โคลนตามสูตรที่เราผสมขึ้นนี้จะไหลย้อนไปยังหลุมที่มีรูรั่ว และหยุดก๊าซกับน้ำมันที่ระดับพื้นผิวของหลุมเอช 1 ซึ่งจะเป็นการตัดแหล่งเชื้อเพลิงที่ทำให้ไฟลุกไหม้อยู่บนแท่นขุดเจาะ วิธีนี้ถือเป็นการปิดถมหลุมและจะดับไฟได้”
ทางด้าน มาร์ติน เฟอร์กูสัน รัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรและพลังงานออสเตรเลียกล่าวว่า อุบัติเหตุคราวนี้ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่มีขนาดใหญ่ถึงเพียงนี้ในรอบระยะเวลา 25 ปีแห่งการขุดเจาะน้ำมันนอกชายฝั่งกันมาของแดนจิงโจ้ “จะส่งผลกระทบต่อสถานภาพของอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในออสเตรเลียด้วยอย่างแน่นอน”
“ผมขอบอกเพียงว่าทันทีที่ถมปิดหลุมแล้ว แท่นขุดเจาะก็จะปลอดภัย จากนั้นผมจะดำเนินการสอบสวนเรื่องนี้อย่างละเอียดและไม่เข้าข้างฝ่ายใด เพื่อประเมินหาสาเหตุที่แท้จริงของเหตุการณ์ครั้งนี้ รวมทั้งพิจารณาเรื่องวิธีแก้ปัญหาในช่วง 10 สัปดาห์ที่ผ่านมาด้วย”
สตีเฟน เคฟนาจ ช่างภาพคนหนึ่งซึ่งขึ้นเครื่องบินสำรวจสถานการณ์ครั้งนี้ด้วย ระบุว่าเป็นเหตุเพลิงไหม้รุนแรงที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมาในชีวิต
“มันเป็นเหตุเพลิงไหม้ขนาดใหญ่มากจนเราต้องบินวนดูสถานการณ์ถึงสองหรือสามรอบ ตอนหลังพอผมวางกล้องลง แล้วมองดูจากทางหน้าต่าง ผมตกใจมากที่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น” เขาเล่า
กลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมต่างๆ พากันออกมาวิจารณ์รัฐบาลออสซี่เกี่ยวกับการแก้ปัญหาน้ำมันรั่วครั้งนี้ โดยบอกว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นการคุกคามชีวิตนกและสัตว์น้ำที่อาศัยอยู่นอกชายฝั่งทางตอนเหนือของออสเตรเลียตะวันตกซึ่งเป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์
“เราจัดอันดับเหตุการณ์นี้เป็นหายนภัยร้ายแรงทางด้านสิ่งแวดล้อม” จอห์น แครีย์ โฆษกของกลุ่ม “Pew Environment Group” กล่าวและเสริมว่าน้ำมันเป็นเพชฌฆาตที่ทำลายสิ่งมีชีวิตในท้องทะเลอย่างเงียบๆ และช้าๆ
ยิ่งกว่านั้น บริเวณที่เกิดเหตุเพลิงไหม้ครั้งนี้เป็น “ทางด่วนของสัตว์น้ำหลายสายพันธุ์ที่เดินทางผ่านไปมาในแถบนั้น จึงถือว่าเป็นพื้นที่ที่มีความสำคัญยิ่งต่อโลก และยังเป็นบริเวณที่วาฬและโลมาราวหนึ่งในสี่ของโลกอาศัยอยู่ด้วย”
กิสเลน เลเวลลิน นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของ WWF Australia ได้ออกสำรวจพื้นที่เกิดเหตุเป็นเวลาสามวัน เธอกล่าวว่าขนาดของเพลิงที่ลุกไหม้และระยะเวลาที่มีน้ำมันรั่วออกมาในทะเลทำให้สัตว์น้ำและนกในแถบนั้นมีความเสี่ยงที่จะได้รับอันตรายอย่างสูง
เธอบอกอีกว่าเราอาจไม่พบความรุนแรงในลักษณะที่มีสัตว์ลอยน้ำตายเป็นจำนวนมาก หรือถูกคลื่นชัดไปติดตามชายหาด แต่สัตว์จำนวนมากจะจมลงไปตายในน้ำเมื่อตัวเปื้อนคราบน้ำมัน
“การดำเนินธุรกิจในพื้นที่ห่างไกล ไม่ได้มีข้อยกเว้นเรื่องการที่จะต้องเฝ้าระวัง จัดเจ้าหน้าที่ดูแล และจัดหน่วยสนับสนุนให้พร้อมอยู่เสมอ” เลเวลลินกล่าว
ส่วนสมาคมอนุรักษ์สัตว์น้ำแห่งออสเตรเลียก็คาดหวังว่าการสอบสวนของรัฐบาลจะกดดันให้ผู้ประกอบธุรกิจปรับปรุงการบริหารจัดการกับอุบัติเหตุให้ดีขึ้นกว่าเดิม
“เราไม่รู้ว่าหายนภัยครั้งนี้เกิดขึ้นจากสาเหตุใด และเราต้องการทำความเข้าใจเพื่อที่จะป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุทำนองนี้อีกในอนาคต” ดาร์เรน คินด์ลีไซด์ กรรมการของสมาคมกล่าว
อนึ่ง เฟอร์ดี ตาโนนี แห่งมูลนิธิเวสต์ติมอร์แคร์ ซึ่งให้การสนับสนุนพวกชาวประมงยากจนในแถบภาคตะวันออกของอินโดนีเซีย แถลงเมื่อวานนี้ว่า น้ำมันจำนวนมากที่รั่วไหลลงสู่ทะเลติมอร์เหล่านี้ กำลังแพร่ลามมาสร้างความเสียหายให้แก่พวกหมู่บ้านประมงยากจนในจังหวัดนูซา เตงราการา ตะวันออก ของอินโดนีเซียแล้ว โดยน้ำมันเหล่านี้ทำให้สัตว์น้ำเสียชีวิต และรายได้ของชาวประมงที่มีอยู่ราว 7,000 คนก็ตกต่ำลงทุกที จากที่ลดลงราว 40% ในตอนแรกๆ พอถึงสัปดาห์ที่แล้วก็ต่ำลงถึง 80%