“เด็ดดอกไม้รายทาง”
โดย...อัญชะลี ไพรีรัก
“โทษคนอื่นเท่าขุนเขา แต่โทษของเราเท่าเม็ดทราย”
สุภาษิตนี้น่าจะนำมาใช้ได้กับเหตุการณ์ปัจจุบัน เมื่อ ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง หน้ามืด – ตาใส ใส่ไฟว่า กรณี “มาบตาพุด” และ “ การรถไฟ” เป็นการชุมนุม-ประท้วง ที่รับจ็อบมาจาก “พรรคการเมืองหนึ่ง” เพื่อดิสเครดิตรัฐบาลประชาธิปัตย์
เสียงแรกมาจากนายประมวล เอมเปีย จากชลบุรี ประชาธิปัตย์
เสียงสงสัยถัดมา คือ นายอาคม เอ่งฉ้วน จากกระบี่ ประชาธิปัตย์
คนแรกอาจพูดไม่คิด แต่คนหลังโชกโชนกว่า น่าจะคิดก่อนออกมาพูด แต่กลับไม่ เพราะอาคมเร่งปฏิกิริยาให้เกิดปัญหาบานปลายด้วยการ ยุยงให้พี่น้องการรถไฟ และ ประชาชน กดดันให้ “จัดการ” กับสาวิทย์ แก้วหวาน ประธานสหภาพการรถไฟฯ ในฐานะหัวขบวนของการเรียกร้องให้พัฒนาการรถไฟและคัดค้านการแปรรูป
จริงอยู่ที่สาวิทย์ แก้วหวาน ผูกพันกับ “พันธมิตรฯ” ในฐานะแกนนำรุ่น 2 ที่เคียงบ่าเคียงไหล่มากับพ่อแม่พี่น้องตลอดการชุมนุม 2 ครั้งเพื่อโค่นระบอบทักษิณกินเมือง แถมยังมี “เสน่ห์ หงส์ทอง” เป็นภรรยา และ เป็นว่าที่กรรมการบริหารพรรคการเมืองใหม่
แต่อย่าลืมว่า สาวิทย์ แก้วหวาน เป็นนักต่อสู้ภาคประชาชนมาช้านาน ไม่ใช่วันสองวัน จนสามารถกล่าวหากันลอยๆโดยปราศจากหลักฐานอย่างนี้ได้...ดูถูกกันเกินไปหน่อย
จริงอยู่ที่สมศักดิ์ โกศัยสุข อดีตประธานสหภาพการรถไฟฯ แกนนำพันธมิตรฯรุ่น 1 เป็นขุนศึกร่วมรบทัพจับศึกมากับพี่น้องประชาชนทั้งสองครั้งแห่งการร่วมทวงคืนประเทศไทย และเป็นอดีตหัวหน้าพรรคการเมืองใหม่และว่าที่รองหัวหน้าพรรคคนที่ 1 ในชุดของ “สนธิ ลิ้มทองกุล” ที่รอ ก.ก.ต.รับรองอยู่
จริงอีกเช่นกันที่แกนนำสหภาพการรถไฟ ฯ และ พี่น้องการรถไฟ ซึ่งเป็นหนึ่งในมวลชนพันธมิตรฯ ร่วมกับสหภาพรัฐวิสาหกิจที่แข็งแกร่งเกรียงไกรต่อกรกับระอบอบทักษิณ จนสามารถช่วยแก้วิกฤติไม่ให้รัฐวิสาหกิจ เช่น น้ำ ไฟฟ้า และ การรถไฟ ตกไปอยู่ในมือนักการเมืองโกงชาติ และ เอกชนเอารัดเอาเปรียบได้
เหมือนๆ กับความจริงที่ว่า สุทธิ อัชฌาศัย แกนนำกลุ่มระยองรักษ์สิ่งแวดล้อม เป็นทั้งมวลชนพันธมิตรฯ และ ว่าที่กรรมการบริหารพรรคการเมืองใหม่ ที่เดินหน้าท้าทายความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของรัฐบาลมาแล้วหลายยุคหลายสมัยเพื่อปลดปล่อยระยอง และ เขตพื้นที่อุตสาหกรรมทั่วไทยให้เป็นนิคมอุตสาหกรรมสะอาดเหมือนบ้านอื่นเมืองอื่นที่เจริญแล้วเขาทำ
เขาคือ นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และ นักรบประชาชนที่ทำงานภาคประชาชนมาหลายปีดีดัก ไม่ใช่ชั่วครู่ชั่วยาม จนสามารถดูถูกกันง่ายๆชนิดไร้ยางอายอย่างนี้
ล่าสุดเมื่อบ้านเมืองบอบช้ำในทุกๆด้านด้วยระบอบทักษิณ พวกเขาก็ไม่นั่งนิ่งดูดาย ยอมเปลืองเนื้อเปลืองตัวออกมาต่อสู้ เพื่อทวงคืนบ้านเมืองที่เปี่ยมคุณธรรม และ ประชาธิปไตยกลับคืนมาสู่พี่น้อง แม้ตายก็ยอม ซึ่งเราๆท่านๆก็เห็นกันอยู่ในการต่อสู้ทั้งสองครั้ง จากเมืองไทยรายสัปดาห์ถึง 193 วัน
หลังการต่อสู้ที่แลกมาด้วยหยดเหงื่อ หยาดน้ำตา คราบเลือด และ ความตาย ก่อเกิดรัฐบาลพลิกขั้วจากทักษิณสู่อภิสิทธิ์ วันนั้นพันธมิตรฯก็ถูกการเมืองโสมมเล่นงานว่า “รับจ๊อบ” พรรคประชาธิปัตย์มาโค่นรัฐบาลทักษิณ และรัฐบาลหุ่นเชิดขายชาติสมัคร-สมชาย ทีอย่างนี้ทำไมไม่มีใครออกมาพูดสักแอะ
โดนทั้งขึ้นทั้งล่อง โดนทุบถองจนน่วม แม้ไม่กลัวเจ็บ ไม่กลัวตาย แต่ก็บอบช้ำพอเนื้อพอตัว
หนักเข้าคงต้องพูดจาประสาคนเคยรู้จักบ้าง พอให้เห็นหน้า เห็นหลัง เห็นความตั้งใจ เพราะ เริ่มทนฟังไม่ได้เมื่อ สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์หลายคนชี้นิ้วกล่าวหา “มาบตาพุด” และ “การรถไฟ” ว่า รับจ๊อบพรรคการเมืองใหม่ ไม่พูดก็เหมือน ไม่ระบุก็ชัดเจน อย่าต้องอ้อมค้อมกันอีก
วันนี้ รถไฟ สายมาบตาพุด เลยต้องมาหานะเธอ จะได้ไม่ต้องมาสงสัย พูดกันตรงนี้ วันนี้ให้สิ้นกระบวนความ
เพราะด้านหนึ่ง พี่น้องพันธมิตรฯภายใต้การนำของสุทธิ อัชฌาศัย เดินเท้ามาไกลจากระยอง เพื่อต่อต้านโรงงานอุตสาหกรรมปล่อยสารพิษ และ การขยายอีก 76 โรงงานที่ขาดการดูแลเอาใจใส่ด้านสิ่งแวดล้อม พวกเขาไปยื่นหนังสือกับนายกรัฐมนตรี และยืนหยัดต่อสู้ที่หน้าสำนักงานสหประชาชาติ กรุงเทพ ด้านสะพานมัฆวานฯถิ่นเก่า
อีกด้านหนึ่งขณะที่กำลังมีการเจรจาเพื่อแก้ไข ม้าเหล็กที่รับใช้ชาติประชาชนมาเป็นร้อยปี ให้มีสภาพดีเพื่อป้องกันชีวิตผู้โดยสาร ก็บังเกิดว่า ผู้บริหารการรถไฟที่มีเงาของนักการเมืองควบคุมอยู่ ไล่พนักงานที่สถานีหาดใหญ่ออก 6 คน และทำท่าจะไม่หยุด โดยไม่พูดถึงปัญหาความล้าหลังของการรถไฟไทยที่ต้องการพัฒนามากกว่าแปรรูป
ฟากรัฐบาลเองยังเดินหน้าว่าด้วยการแบ่งซอยการรถไปออกเป็น 4 บริษัทใหญ่ ทั้งบริษัทเดินรถโดยสาร บริษัทขนส่งสินค้า บริษัทแอร์พอร์ท ลิงค์ และ บริษัทบริหารทรัพย์สินมูลค่ามหาศาลของการรถไฟ อันประกอบด้วยรายได้ กับที่ดินกว่า 2 แสนไร่ทั่วประเทศให้ภาคเอกชนเข้ามาจัดการ!!??
ส่วน 76 โรงงานที่มาบตาพุดก็อยู่ในนโยบายที่ต้องสานต่อ โดยไม่สนใจจะคุยเรื่อง มลภาวะเป็นพิษ และ โรคร้าย ที่คุกคามพลเมืองในท้องถิ่นและใกล้เคียง มัวแต่ห่วงใยตัวเลขการเติบโตของเศรษฐกิจ มากกว่าชีวิตประชาชนและสถานที่ท่องเที่ยวอันเป็นทรัพย์ในดินสินในน้ำที่ประชาชนใช้ทำมาหากินมาช้านาน
ปัญหาของมาบตาพุดไม่เคยถูกหยิบยกมาพูดถึงกระบวนการแก้ไขสิ่งแวดล้อม ด้วยระบบโรงงานสะอาด พลังงานทางเลือก การจำกัดขอบเขตของพื้นที่โรงงานอุตสาหกรรม การกำจัดกากของเสียเพื่อปกป้องน้ำ และ ดิน มีแต่พูดเรื่องการชะงักงันของการลงทุน และ ตัวเลขเอ็น พี แอล หากโครงการเหล่านี้ต้องยุติ คือ ความผิดของผู้ชุมนุม
นี่คือส่วนหนึ่งของปัญหารากเหง้า อันเป็นผลพวงจากการเมืองเก่า ที่นักการเมืองเห็นแก่ตัวร่วมมือกับ ภาคเอกชนเอาแต่ได้ และ มีข้าราชการตอแหลฉ้อฉลช่วยเหลือ คนเหล่านี้รวมพลังกันรีดนาทาเร้นประเทศไทยมาแรมปี ปีแล้วก็ปีเล่า ...วันนี้เราต้องช่วยกันหยุด...บอกกับพวกเขาว่า พอกันที สอนให้เขารู้สำนึกว่า เจ้าของประเทศเมาทวงคืนแล้ว
ก่อนหน้านี้เรามักถูกสั่งสอนว่า เกษตรกรรมธรรมชาติ คือ ตัวถ่วงความเจริญ จะก้าวหน้าต้องแปรสภาพไปเป็นเมืองอุตสาหกรรม เราถูกชักจูงให้หลงผิด และ เห่อกระแสตะวันตก จนดูถูกตัวเองและทิ้งรากเหง้าของเรา เพื่อวิ่งตามก้นคนอื่นจนประเทศแทบล่มจมยับเยิน ต่อไปจะเอาดินดำน้ำชุ่มที่ไหนให้ลูกหลานได้เพาะปลูกเก็บเกี่ยว
ที่ผ่านๆมาเรามักถูกเสี้ยมสอนเสมอๆว่า อะไรก็ตามที่เป็นของภาครัฐ จะอุ้ยอ้ายเชื่องช้าไม่ทำกำไร ต้องยกให้เอกชนไปทำมาหากิน จะทันสมัย รวดเร็ว และสร้างกำไรมหาศาล โดยมองข้ามไปว่า ต้นทุนที่อยู่ในอากาศ น้ำ ดิน เหล่านี้เป็นของส่วนรวมมิใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง ที่นึกจะยกให้ใครก็ง่ายดาย โดยคนการเมือง และ ภาคราชการหลายคน ดอดตีประตูหลังหากินกันโครมๆ
วันนี้คนรถไฟลุกขึ้นมาเพื่อทวงสิทธิด้านความปลอดภัยให้พี่น้อง ความชะล่าใจทำให้ถูกผู้บริหารคิดคดทรยศตีตลบท้ายขบวน ทำให้สหภาพการรถไฟฯ กับ ประชาชนบาดหมางใจกัน เมื่อเขาหยุดไม่ใช่ไม่วิ่ง เมื่อเขาเรียกร้องไม่ใช่จะทอดทิ้งพี่น้องประชาชน แต่คนซื่อโดนคนซิกแซกรังแก และวันนี้ถึงทีขี่แพะไล่ “ไล่เขาออก”
ไม่มีคำตอบที่ถูกต้องตรงเป้าหมาย ในนามการพัฒนาจากคนในรัฐบาล มีแต่จะยกประโยชน์ให้เอกชนไม่ลืมหูลืมตา ดูที่อังกฤษโน่นสิ ผ่านไป 6 ปีที่รถไฟไปเป็นของเอกชน แพงขึ้นแต่เจ๊งไม่เป็นท่า จนรัฐบาลต้องออกรับหน้า เอาภาษีประชาชนไปโปะกระเป๋าที่ขาดพรุน
ไม่ต้องพูดถึงอาร์เจนติน่า ที่ประชาชนร้องครวญครางเมื่อน้ำ ไฟ รถเมล์ รถไฟ ไปเป็นของเอกชนหมด...ปล้นสมบัติชาติไปให้คนอื่นมาขูดรีดประชาชนในชาติ...ตัวอย่างมีเห็นๆ
การยกรัฐวิสาหกิจพื้นฐานให้เอกชนบริหารไม่ใช่คำตอบเสมอไป และ ประเทศยุคใหม่เขาใส่ใจสิ่งแวดล้อมกันหมดแล้ว
ศึกรถไฟบานปลาย ศึกมาบตาพุดกำลังเดือด สนามรบสำคัญสองเรื่องนี้ กำลังท้าทายความสามารถของรัฐบาลอภิสิทธิ์ ยังไม่นับศึกทักษิณซี้ฮุนเซนที่รอตีท้ายครัวอยู่เหยงๆ
ศึกเหนือเสือใต้รุมถล่มอย่างนี้ ไม่แก้ไขด้วยความซื่อสัตย์ กล้าหาญ เด็ดขาด และทำงานเป็น
เห็นทีจะให้รอดตลอดปีนี้...ท่าจะยาก