ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร วานนี้ (15 ต.ค.) มีการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ หลังจากที่คณะกรรมาธิการวิสามัญสามัญฯ (กมธ.) พิจารณาเสร็จสิ้นโดยเห็นควรจำกัดไว้เฉพาะให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจตามรัฐธรรมนูญและ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญบัญญัติเท่านั้น
นายเจริญ จรรย์โกมล ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญ ได้ชี้แจงว่า ทาง กมธ.ได้พิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบกว่า 40 ครั้ง เชิญกฤษฎีกา สภาผู้แทนราษฎร ศาลรัฐธรรมนูญมาชี้แจงข้อคิดเห็นและข้อเท็จจริงในการปฎิบัติการบริหาร ซึ่งล้วนเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา
อย่างไรก็ตาม ส.ส.จาพรรคประชาธิปัตย์ ต่างไม่เห็นด้วย ที่ กมธ.เสียงข้างมาก แก้ไขคำว่า คดี ให้เป็น เรื่องพิจารณา และมีการเพิ่มเติมคำว่า กระบวนการพิจารณา และ กมธ.แก้ไขรายละเอียดมากแทบทุกมาตราจะทำให้กฎหมาย ไม่สามารรถปฎิบัติได้ และอาจทำให้เกิดปัญหาการทำงานของศาลยุติธรรมในอนาคต จึงขอเสนอให้แก้ไขให้กลับไปใช้ตามร่างเดิมที่มีการเสนอ
ขณะที่ในซีก พรรคเพื่อไทย ต่างอภิปรายเห็นด้วยกับกรรมาธิการเสียงข้างมาก ที่ได้มีการแก้ไขล้วนเห็นว่าเป็นการให้อำนาจวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญมากเกินไป จึงควรแก้ไขเพิ่มเติมให้เหมาะสมสอดคล้องให้สามารถปฎิบัติได้ และเห็นว่าการแก้ไขคำว่าคดีออกไปให้สอดคล้องเพราะชื่อร่างระบุชัดว่า เป็นวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญไม่มีคดีเข้ามาเกี่ยวข้อง จึงควรใช้คำว่า เป็น เรื่องพิจารณา
นอกจากนี้ ส.ส.จากพรรคภูมิใจไทย อาทิ นายจุมภฏ บุญใหญ่ ส.ส.สกลนคร และ นายทวีวัฒน์ ฤทธิ์ฤาชัย ส.ส.สกลกร ต่างอภิปรายสนับสนุนการแก้ไขเพิ่มเติมของคณะกรรมาธิการเสียงข้างมากด้วย
นายสุนัย จุลพงษธร ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย กล่าวว่าในอดีตศาลไม่ก้าวก่าย ในฝ่ายนิติบัญญัติ แต่หลังมีการยึดอำนาจ 19 กันยายน2549 และมีรัฐธรรมนูญ 2550 ทำให้ศาลขยายอำนาจมากขึ้น ให้สถาบันตุลาการเสนอกฎหมายได้ โดยไม่ผ่านรัฐบาลและศาลรัฐธรรมนูญ มีอำนาจปลดนายกรัฐมนตรี และยุบพรรคการเมือง วันนี้พรรคการเมืองอยู่อย่างลำบาก ซึ่งเดิมศาลรัฐธรรมนูญ มีไว้ในการตีความรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ชี้ขาดคดีอาญาคดีแพ่ง จึงไม่มีคำว่า คดี เข้ามาใช้ในศาลรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด อยากเห็นว่าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสูงสุด
หลังจากที่ประชุมพิจารณามาเป็นเวลา 2 ชั่วโมงเศษ พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย รองประธานสภาฯทำหน้าที่ประธานฯได้ขอเลื่อนไปพิจารณาต่อในสัปดาห์ และได้สั่งปิดประชุมเมื่อเวลา17.50 น.
นายเจริญ จรรย์โกมล ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญ ได้ชี้แจงว่า ทาง กมธ.ได้พิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบกว่า 40 ครั้ง เชิญกฤษฎีกา สภาผู้แทนราษฎร ศาลรัฐธรรมนูญมาชี้แจงข้อคิดเห็นและข้อเท็จจริงในการปฎิบัติการบริหาร ซึ่งล้วนเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา
อย่างไรก็ตาม ส.ส.จาพรรคประชาธิปัตย์ ต่างไม่เห็นด้วย ที่ กมธ.เสียงข้างมาก แก้ไขคำว่า คดี ให้เป็น เรื่องพิจารณา และมีการเพิ่มเติมคำว่า กระบวนการพิจารณา และ กมธ.แก้ไขรายละเอียดมากแทบทุกมาตราจะทำให้กฎหมาย ไม่สามารรถปฎิบัติได้ และอาจทำให้เกิดปัญหาการทำงานของศาลยุติธรรมในอนาคต จึงขอเสนอให้แก้ไขให้กลับไปใช้ตามร่างเดิมที่มีการเสนอ
ขณะที่ในซีก พรรคเพื่อไทย ต่างอภิปรายเห็นด้วยกับกรรมาธิการเสียงข้างมาก ที่ได้มีการแก้ไขล้วนเห็นว่าเป็นการให้อำนาจวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญมากเกินไป จึงควรแก้ไขเพิ่มเติมให้เหมาะสมสอดคล้องให้สามารถปฎิบัติได้ และเห็นว่าการแก้ไขคำว่าคดีออกไปให้สอดคล้องเพราะชื่อร่างระบุชัดว่า เป็นวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญไม่มีคดีเข้ามาเกี่ยวข้อง จึงควรใช้คำว่า เป็น เรื่องพิจารณา
นอกจากนี้ ส.ส.จากพรรคภูมิใจไทย อาทิ นายจุมภฏ บุญใหญ่ ส.ส.สกลนคร และ นายทวีวัฒน์ ฤทธิ์ฤาชัย ส.ส.สกลกร ต่างอภิปรายสนับสนุนการแก้ไขเพิ่มเติมของคณะกรรมาธิการเสียงข้างมากด้วย
นายสุนัย จุลพงษธร ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย กล่าวว่าในอดีตศาลไม่ก้าวก่าย ในฝ่ายนิติบัญญัติ แต่หลังมีการยึดอำนาจ 19 กันยายน2549 และมีรัฐธรรมนูญ 2550 ทำให้ศาลขยายอำนาจมากขึ้น ให้สถาบันตุลาการเสนอกฎหมายได้ โดยไม่ผ่านรัฐบาลและศาลรัฐธรรมนูญ มีอำนาจปลดนายกรัฐมนตรี และยุบพรรคการเมือง วันนี้พรรคการเมืองอยู่อย่างลำบาก ซึ่งเดิมศาลรัฐธรรมนูญ มีไว้ในการตีความรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ชี้ขาดคดีอาญาคดีแพ่ง จึงไม่มีคำว่า คดี เข้ามาใช้ในศาลรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด อยากเห็นว่าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสูงสุด
หลังจากที่ประชุมพิจารณามาเป็นเวลา 2 ชั่วโมงเศษ พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย รองประธานสภาฯทำหน้าที่ประธานฯได้ขอเลื่อนไปพิจารณาต่อในสัปดาห์ และได้สั่งปิดประชุมเมื่อเวลา17.50 น.