ท่านอาจารย์หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช เคยกล่าวเอาไว้ว่าวิชายุทธศาสตร์เป็นวิชาว่าด้วยการหลอกลวง จะตีทางใต้ก็หลอกทำทีว่าจะตีทางเหนือ มีกำลังน้อยก็หลอกว่ามีกำลังมาก มีกำลังมากก็หลอกว่ามีกำลังน้อย
ความจริงวิชาว่าด้วยยุทธศาสตร์นั้นก็เป็นเรื่องหนึ่ง กลยุทธ์ในการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ทั้งสองเรื่องนี้ก็เกี่ยวเนื่องกันเพราะการดำเนินกลยุทธ์ทั้งปวงก็ย่อมเป็นไปเพื่อบรรลุเป้าหมายทางยุทธศาสตร์
ที่ว่าทำทีจะตีเหนือ แต่เข้าตีใต้ ก็คือความต้องการแท้จริงนั้นต้องการจะเข้าตีทางด้านใต้ แต่หลอกลวงทำทีทำท่าว่าจะเข้าตีทางเหนือนั้น เป็นระดับกลยุทธ์ ไม่ใช่ระดับยุทธศาสตร์ และเป็นเนื้อความในบทหนึ่งของคัมภีร์พิชัยสงคราม
วันนี้ยกเรื่องทำทีจะตีเหนือ แต่เข้าตีใต้ มาตั้งเป็นชื่อบทความก็เพราะเห็นปรากฏการณ์บางอย่างที่เกิดขึ้นในบ้านเมือง ที่เข้าลักษณะเป็นเรื่อง “ทำทีจะตีเหนือ แต่เข้าตีใต้” อยู่ถึง 2 เรื่อง และเป็นเรื่องใกล้ตัวด้วยกันทั้งนั้น
เรื่องแรก เป็นเรื่องการประชุมสุดยอดอาเซียน ซึ่งรัฐบาลหมายมั่นปั้นมือว่าจะจัดการประชุมให้สำเร็จลุล่วงและราบรื่น เพื่อกอบกู้หน้าตาของประเทศที่แตกยับเยินจากการล้มการประชุมสุดยอดอาเซียนที่พัทยามาหนหนึ่งแล้ว
ก็มีการปล่อยข่าวหรือขับเคลื่อนบางประการที่ทำให้เห็นว่าจะมีการล้มการประชุมสุดยอดอาเซียนซ้ำอีกครั้งหนึ่ง และครั้งนี้การประชุมจะมีขึ้นที่หัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งนับว่าเป็นพื้นที่สำคัญอีกพื้นที่หนึ่งของประเทศในยามนี้
เมื่อมีข่าวเช่นนั้นรัฐบาลก็ต้องป้องกันขันแข็ง ดังที่ปรากฏข่าวว่ามีการเตรียมการอย่างพร้อมพรั่งทั้งสามเหล่าทัพและตำรวจ จัดวางกำลังถึง 18,000 คน ใกล้เคียงกับจำนวนกำลังทหารสหรัฐฯ เมื่อครั้งที่เปิดศึกยึดอิรักเมื่อหลายปีก่อน
การจัดกำลังขนาดนี้ก็เห็นทีว่าแม้นกและหนูก็คงยากที่จะเล็ดลอดรุกบุกเข้าไปถึงที่ประชุมสุดยอดอาเซียนได้
แต่ในขณะเดียวกันก็มีข่าวว่าจะมีการชุมนุมขึ้นในพื้นที่กรุงเทพมหานคร บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า และทำเนียบรัฐบาล
หรือว่านี่คือกลยุทธ์ ทำทีจะตีเหนือ แต่เข้าตีใต้?
เพราะเมื่อรัฐบาลจัดกำลังพรั่งพร้อมทุกเหล่าทัพ รวมทั้งตำรวจเป็นจำนวนมากมายขนาดนั้นเพื่อรับมือกับการรักษาความปลอดภัยในพื้นที่หัวหินแล้ว ในพื้นที่กรุงเทพมหานครก็อาจจะเกิดช่องโหว่โล่งว่าง อันจะสะดวกดายต่อการเข้ายึดทำเนียบรัฐบาล หรือแม้แต่กองบัญชาการกองทัพบก และถ้าเกิดขึ้นรัฐบาลก็คงหน้าแหกหน้าแตก ดีไม่ดีการประชุมสุดยอดอาเซียนก็จะล้มครืนไปเลยก็ได้
แต่ตรงนี้อาจจะเป็นเพราะว่าการข่าวของรัฐบาลดีขึ้น หรืออาจเกิดความเฉลียวใจขึ้นมา จึงปรากฏเหตุการณ์ว่ารัฐบาลก็ได้เพิ่มความระมัดระวังในการป้องกันเหตุรุนแรงในพื้นที่กรุงเทพมหานครไปพร้อมๆ กันด้วย โดยใช้กลไกเครื่องมือทางกฎหมายและกำลังคนในการรับมือกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้
ถ้าเป็นเช่นนั้นก็หมายความว่ามีการรู้เท่าทัน และมีการเตรียมการรับมือล่วงหน้าแล้ว จึงเห็นทีว่าหากมีการใช้กลยุทธ์ ทำทีจะตีเหนือ แล้วเข้าตีใต้ในครั้งนี้ อาจใช้ไม่ได้ผลก็ได้
เรื่องที่สอง เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องทางการเมืองกับการบริหารงบประมาณแผ่นดิน ซึ่งขณะนี้งบประมาณประจำปี ซึ่งได้ผ่านการพิจารณาของรัฐสภาแล้วกำลังหลั่งไหลไปยังกระทรวงทบวงกรมต่าง ๆ เพื่อปฏิบัติการตามแผนงานที่ได้ตั้งงบประมาณเอาไว้
และยังมีงบไทยเข้มแข็งอีกหลายแสนล้านที่กำลังไหลรินโจ๊กๆ เข้าสู่ระบบการใช้จ่ายเงินของกระทรวงทบวงกรมต่างๆ
การใช้เงินจำนวนนับล้านๆ บาทเช่นนี้ ถึงแม้ว่าจะต้องการขับเคลื่อนให้ใช้จ่ายอย่างรวดเร็วสักปานใด แต่คงไม่ได้ดังใจเท่าใดนัก จะต้องเร่งผลัก เร่งดัน เร่งขับ เร่งเคลื่อนกันทั้งวันทั้งคืน ที่ถึงแม้ส่วนราชการไม่มีเงินค่าล่วงเวลาให้ปรากฏ แต่ในความเป็นจริงนั้นทั้งนักการเมืองและทั้งฝ่ายประจำต่างเร่งมือให้มีการใช้จ่ายเงินให้มากที่สุดและเร็วที่สุด
แม้กระนั้นก็ยังต้องใช้เวลาราวๆ 3-4 เดือนกว่าเงินจำนวนส่วนใหญ่จะไหลหลั่งลงไปได้เต็มที่ สถานการณ์เช่นนี้จึงไม่ต่างกับงูเหลือมกินหมู ที่ต้องใช้เวลารอย่อยระยะหนึ่ง จึงจะเลื้อยไปไหนมาไหนหรือไปจับเหยื่อรายใหม่กินได้อีก
ที่สำคัญ ในระยะเวลาเช่นนี้ สิ่งที่จำเป็นและต้องคำนึงถึงมากที่สุดก็คือการระมัดระวังป้องกันไม่ให้กระบวนการตรวจสอบใดๆ หรือข่าวคราวใดๆ ที่มีนัยสำคัญล่วงรู้ไปถึงหูของสื่อมวลชนและภาคประชาชนได้
เพราะย่อมเป็นที่รู้ดีอยู่แก่ใจว่าวงเงินมหาศาลเช่นนี้ย่อมเป็นที่สนใจจับตาเฝ้าระวังของทั้งสื่อมวลชนและภาคประชาชน
ยิ่งภาพลักษณ์ของนักการเมืองปัจจุบันถูกมองในทางลบอย่างยิ่ง ถึงขนาดมีการเปลี่ยนชื่อเรียกขานนักการเมืองว่าเป็นนักโกงเมืองไปแล้ว ก็ยิ่งเพิ่มความระมัดระวังและความละเอียดรอบคอบ ตลอดจนจังหวะก้าวต่างๆ มากขึ้นกว่าเก่าหลายเท่านัก
ดังนั้นจึงก่อความจำเป็นที่จะต้องสร้างเรื่องราวขึ้นมาเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของสื่อมวลชนและภาคประชาชน ให้หันเหออกไปจากเรื่องการใช้จ่ายงบประมาณให้มากที่สุด ให้ยุ่งที่สุดเข้าไว้ ก็จะเปิดโอกาสให้แก่การย่อยงบประมาณจำนวนมหาศาลให้เป็นไปราบรื่นได้ดังประสงค์
และในยามนี้ก็ไม่มีเรื่องไหนดีไปกว่าเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นเรื่องทางการเมืองโดยแท้
ดังนั้นปากถ้อยร้อยคำของบรรดาท่านผู้มีวาสนาทั้งหลายที่ครองอำนาจบ้านเมืองอยู่ในเวลานี้จึงพรั่งพรูสอดรับประสานกันราวกับได้นัดหมายกันไว้เป็นอย่างดี โหมกระแสเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญจนครืนครั่นไปทั้งบ้านทั้งเมือง ยิ่งกว่าเสียงคลื่นในทะเลยามเกิดพายุใหญ่เสียอีก
มันดังสนั่นหวั่นไหวทั้งวันทั้งคืน ทุกวันเวลาตลอดสัปดาห์ ตลอดเดือน ตั้งแต่เมื่อสองเดือนก่อนก็โหมกระแสหนักหน่วงจนล่วงมาถึงวันเวลานี้ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดหย่อนลงเลย
ประเดี๋ยวแก้ ประเดี๋ยวจะไม่แก้ ประเดี๋ยวจะมีประชามติ ประเดี๋ยวก็จะไม่มีประชามติ ประเดี๋ยวก็อย่างนั้น ประเดี๋ยวก็อย่างนี้ สุดที่จะเสกสรรปั้นแต่งเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นข่าวดังลั่นสนั่นเมืองอย่างต่อเนื่อง และจะยังคงดำเนินการต่อไป
ผู้คนทั้งปวงที่ห่วงใยบ้านเมืองก็หันเหความสนใจมาที่รัฐธรรมนูญ เพราะรู้ว่าเป็นเรื่องใหญ่ของบ้านเมืองที่มีผลกระทบต่อปัจจุบันและอนาคตของประเทศชาติและประชาชน
ฝ่ายค้านก็ผสมโรงประหนึ่งว่าจะรู้เห็นเป็นใจในเกมแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วย แต่แท้จริงไม่ว่าฝ่ายค้านจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับการแก้รัฐธรรมนูญ หรือว่าจะล้มรัฐธรรมนูญ 2550 แล้วหันไปหยิบเอารัฐธรรมนูญ 2540 มาใช้ใหม่ก็ตาม ก็ยังคงตกอยู่ในกระแสแก้รัฐธรรมนูญอยู่นั่นเอง
ดังนั้นในวันนี้ทั้งภาคประชาชนและฝ่ายค้านจึงมีชะตากรรมที่ตกลงไปในกระแสแห่งการแก้ไขรัฐธรรมนูญเหมือนกัน แม้ว่าเป้าหมายบางอย่างจะตรงกันและบางอย่างจะไม่ตรงกันก็ตามที
นี่คือการถูกหลอก ถูกแหกตา ตามกลยุทธ์ทำทีจะตีเหนือ แต่เข้าตีใต้นั่นเอง
ทำไมถึงพูดราวกับว่าไม่เกรงใจใคร หรือประหนึ่งดูหมิ่นความคิดสติปัญญาของผู้อื่นถึงปานนี้เล่า?
ขออย่าได้คิดไปไกลถึงเพียงนั้นเลย นี่เป็นการพูดสะกิดใจให้ได้ตั้งสติแล้วพิจารณาไตร่ตรองดูโดยแยบคาย ก็อาจเห็นคล้อยตามความที่ว่าก็เป็นได้
จะตรองดูง่ายเข้าถ้าได้กล่าวเสียตรงนี้ว่า วันนี้เป็นวันที่ 16 ตุลาคม 2552 แล้ว เหลือเวลาเพียงไม่ถึงเดือน รัฐสภาก็จะปิดสมัยประชุมแล้ว หากจะนับเวลานัดประชุมรัฐสภาก็เหลือเวลาเพียง 5-6 ครั้งเท่านั้น
การแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องพิจารณาโดยรัฐสภา ต้องพิจารณาเป็น 3 วาระ คือวาระแรกเป็นวาระรับหลักการ จากนั้นก็ตั้งคณะกรรมาธิการเพื่อทำการแปรญัตติ เสร็จแล้วก็นัดประชุมพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญที่ผ่านการแปรญัตติแล้วเป็นรายมาตรา เป็นวาระที่สอง จากนั้นก็ต้องลงมติในวาระที่สาม และอาจจะถูกส่งไปตีความที่ศาลรัฐธรรมนูญอีก
ยังไม่รวมถึงระยะเวลาที่จะต้องใช้ในการลงประชามติ ซึ่งหากปกติก็ต้องใช้เวลาราว 7-9 เดือน แต่ขณะนี้ใครจะร่างรัฐธรรมนูญที่จะแก้ไขกันก็ยังไม่แน่ชัด และจะร่างเสร็จเมื่อใดก็ไม่มีใครรู้
นั่นคือรู้ๆ กันอยู่แล้วว่าถึงอย่างไรก็ไม่มีทางที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ภายในปีนี้ แล้วที่มาโหมกระแสแก้รัฐธรรมนูญกันครืนๆ นั้นประสงค์สิ่งใดเล่า? หากมิใช่ต้องการเบี่ยงเบนความสนใจจากการขับเคลื่อนผลักดันใช้เงินงบประมาณจำนวนมหาศาลดังที่ว่ามาข้างต้น
นี่ก็คือกลยุทธ์ “ทำทีจะตีเหนือ แต่เข้าตีใต้” นั่นเอง แล้วประชาชนเราจะยอมให้เขาหลอกกระนั้นหรือ?
ความจริงวิชาว่าด้วยยุทธศาสตร์นั้นก็เป็นเรื่องหนึ่ง กลยุทธ์ในการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ทั้งสองเรื่องนี้ก็เกี่ยวเนื่องกันเพราะการดำเนินกลยุทธ์ทั้งปวงก็ย่อมเป็นไปเพื่อบรรลุเป้าหมายทางยุทธศาสตร์
ที่ว่าทำทีจะตีเหนือ แต่เข้าตีใต้ ก็คือความต้องการแท้จริงนั้นต้องการจะเข้าตีทางด้านใต้ แต่หลอกลวงทำทีทำท่าว่าจะเข้าตีทางเหนือนั้น เป็นระดับกลยุทธ์ ไม่ใช่ระดับยุทธศาสตร์ และเป็นเนื้อความในบทหนึ่งของคัมภีร์พิชัยสงคราม
วันนี้ยกเรื่องทำทีจะตีเหนือ แต่เข้าตีใต้ มาตั้งเป็นชื่อบทความก็เพราะเห็นปรากฏการณ์บางอย่างที่เกิดขึ้นในบ้านเมือง ที่เข้าลักษณะเป็นเรื่อง “ทำทีจะตีเหนือ แต่เข้าตีใต้” อยู่ถึง 2 เรื่อง และเป็นเรื่องใกล้ตัวด้วยกันทั้งนั้น
เรื่องแรก เป็นเรื่องการประชุมสุดยอดอาเซียน ซึ่งรัฐบาลหมายมั่นปั้นมือว่าจะจัดการประชุมให้สำเร็จลุล่วงและราบรื่น เพื่อกอบกู้หน้าตาของประเทศที่แตกยับเยินจากการล้มการประชุมสุดยอดอาเซียนที่พัทยามาหนหนึ่งแล้ว
ก็มีการปล่อยข่าวหรือขับเคลื่อนบางประการที่ทำให้เห็นว่าจะมีการล้มการประชุมสุดยอดอาเซียนซ้ำอีกครั้งหนึ่ง และครั้งนี้การประชุมจะมีขึ้นที่หัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งนับว่าเป็นพื้นที่สำคัญอีกพื้นที่หนึ่งของประเทศในยามนี้
เมื่อมีข่าวเช่นนั้นรัฐบาลก็ต้องป้องกันขันแข็ง ดังที่ปรากฏข่าวว่ามีการเตรียมการอย่างพร้อมพรั่งทั้งสามเหล่าทัพและตำรวจ จัดวางกำลังถึง 18,000 คน ใกล้เคียงกับจำนวนกำลังทหารสหรัฐฯ เมื่อครั้งที่เปิดศึกยึดอิรักเมื่อหลายปีก่อน
การจัดกำลังขนาดนี้ก็เห็นทีว่าแม้นกและหนูก็คงยากที่จะเล็ดลอดรุกบุกเข้าไปถึงที่ประชุมสุดยอดอาเซียนได้
แต่ในขณะเดียวกันก็มีข่าวว่าจะมีการชุมนุมขึ้นในพื้นที่กรุงเทพมหานคร บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า และทำเนียบรัฐบาล
หรือว่านี่คือกลยุทธ์ ทำทีจะตีเหนือ แต่เข้าตีใต้?
เพราะเมื่อรัฐบาลจัดกำลังพรั่งพร้อมทุกเหล่าทัพ รวมทั้งตำรวจเป็นจำนวนมากมายขนาดนั้นเพื่อรับมือกับการรักษาความปลอดภัยในพื้นที่หัวหินแล้ว ในพื้นที่กรุงเทพมหานครก็อาจจะเกิดช่องโหว่โล่งว่าง อันจะสะดวกดายต่อการเข้ายึดทำเนียบรัฐบาล หรือแม้แต่กองบัญชาการกองทัพบก และถ้าเกิดขึ้นรัฐบาลก็คงหน้าแหกหน้าแตก ดีไม่ดีการประชุมสุดยอดอาเซียนก็จะล้มครืนไปเลยก็ได้
แต่ตรงนี้อาจจะเป็นเพราะว่าการข่าวของรัฐบาลดีขึ้น หรืออาจเกิดความเฉลียวใจขึ้นมา จึงปรากฏเหตุการณ์ว่ารัฐบาลก็ได้เพิ่มความระมัดระวังในการป้องกันเหตุรุนแรงในพื้นที่กรุงเทพมหานครไปพร้อมๆ กันด้วย โดยใช้กลไกเครื่องมือทางกฎหมายและกำลังคนในการรับมือกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้
ถ้าเป็นเช่นนั้นก็หมายความว่ามีการรู้เท่าทัน และมีการเตรียมการรับมือล่วงหน้าแล้ว จึงเห็นทีว่าหากมีการใช้กลยุทธ์ ทำทีจะตีเหนือ แล้วเข้าตีใต้ในครั้งนี้ อาจใช้ไม่ได้ผลก็ได้
เรื่องที่สอง เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องทางการเมืองกับการบริหารงบประมาณแผ่นดิน ซึ่งขณะนี้งบประมาณประจำปี ซึ่งได้ผ่านการพิจารณาของรัฐสภาแล้วกำลังหลั่งไหลไปยังกระทรวงทบวงกรมต่าง ๆ เพื่อปฏิบัติการตามแผนงานที่ได้ตั้งงบประมาณเอาไว้
และยังมีงบไทยเข้มแข็งอีกหลายแสนล้านที่กำลังไหลรินโจ๊กๆ เข้าสู่ระบบการใช้จ่ายเงินของกระทรวงทบวงกรมต่างๆ
การใช้เงินจำนวนนับล้านๆ บาทเช่นนี้ ถึงแม้ว่าจะต้องการขับเคลื่อนให้ใช้จ่ายอย่างรวดเร็วสักปานใด แต่คงไม่ได้ดังใจเท่าใดนัก จะต้องเร่งผลัก เร่งดัน เร่งขับ เร่งเคลื่อนกันทั้งวันทั้งคืน ที่ถึงแม้ส่วนราชการไม่มีเงินค่าล่วงเวลาให้ปรากฏ แต่ในความเป็นจริงนั้นทั้งนักการเมืองและทั้งฝ่ายประจำต่างเร่งมือให้มีการใช้จ่ายเงินให้มากที่สุดและเร็วที่สุด
แม้กระนั้นก็ยังต้องใช้เวลาราวๆ 3-4 เดือนกว่าเงินจำนวนส่วนใหญ่จะไหลหลั่งลงไปได้เต็มที่ สถานการณ์เช่นนี้จึงไม่ต่างกับงูเหลือมกินหมู ที่ต้องใช้เวลารอย่อยระยะหนึ่ง จึงจะเลื้อยไปไหนมาไหนหรือไปจับเหยื่อรายใหม่กินได้อีก
ที่สำคัญ ในระยะเวลาเช่นนี้ สิ่งที่จำเป็นและต้องคำนึงถึงมากที่สุดก็คือการระมัดระวังป้องกันไม่ให้กระบวนการตรวจสอบใดๆ หรือข่าวคราวใดๆ ที่มีนัยสำคัญล่วงรู้ไปถึงหูของสื่อมวลชนและภาคประชาชนได้
เพราะย่อมเป็นที่รู้ดีอยู่แก่ใจว่าวงเงินมหาศาลเช่นนี้ย่อมเป็นที่สนใจจับตาเฝ้าระวังของทั้งสื่อมวลชนและภาคประชาชน
ยิ่งภาพลักษณ์ของนักการเมืองปัจจุบันถูกมองในทางลบอย่างยิ่ง ถึงขนาดมีการเปลี่ยนชื่อเรียกขานนักการเมืองว่าเป็นนักโกงเมืองไปแล้ว ก็ยิ่งเพิ่มความระมัดระวังและความละเอียดรอบคอบ ตลอดจนจังหวะก้าวต่างๆ มากขึ้นกว่าเก่าหลายเท่านัก
ดังนั้นจึงก่อความจำเป็นที่จะต้องสร้างเรื่องราวขึ้นมาเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของสื่อมวลชนและภาคประชาชน ให้หันเหออกไปจากเรื่องการใช้จ่ายงบประมาณให้มากที่สุด ให้ยุ่งที่สุดเข้าไว้ ก็จะเปิดโอกาสให้แก่การย่อยงบประมาณจำนวนมหาศาลให้เป็นไปราบรื่นได้ดังประสงค์
และในยามนี้ก็ไม่มีเรื่องไหนดีไปกว่าเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นเรื่องทางการเมืองโดยแท้
ดังนั้นปากถ้อยร้อยคำของบรรดาท่านผู้มีวาสนาทั้งหลายที่ครองอำนาจบ้านเมืองอยู่ในเวลานี้จึงพรั่งพรูสอดรับประสานกันราวกับได้นัดหมายกันไว้เป็นอย่างดี โหมกระแสเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญจนครืนครั่นไปทั้งบ้านทั้งเมือง ยิ่งกว่าเสียงคลื่นในทะเลยามเกิดพายุใหญ่เสียอีก
มันดังสนั่นหวั่นไหวทั้งวันทั้งคืน ทุกวันเวลาตลอดสัปดาห์ ตลอดเดือน ตั้งแต่เมื่อสองเดือนก่อนก็โหมกระแสหนักหน่วงจนล่วงมาถึงวันเวลานี้ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดหย่อนลงเลย
ประเดี๋ยวแก้ ประเดี๋ยวจะไม่แก้ ประเดี๋ยวจะมีประชามติ ประเดี๋ยวก็จะไม่มีประชามติ ประเดี๋ยวก็อย่างนั้น ประเดี๋ยวก็อย่างนี้ สุดที่จะเสกสรรปั้นแต่งเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นข่าวดังลั่นสนั่นเมืองอย่างต่อเนื่อง และจะยังคงดำเนินการต่อไป
ผู้คนทั้งปวงที่ห่วงใยบ้านเมืองก็หันเหความสนใจมาที่รัฐธรรมนูญ เพราะรู้ว่าเป็นเรื่องใหญ่ของบ้านเมืองที่มีผลกระทบต่อปัจจุบันและอนาคตของประเทศชาติและประชาชน
ฝ่ายค้านก็ผสมโรงประหนึ่งว่าจะรู้เห็นเป็นใจในเกมแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วย แต่แท้จริงไม่ว่าฝ่ายค้านจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับการแก้รัฐธรรมนูญ หรือว่าจะล้มรัฐธรรมนูญ 2550 แล้วหันไปหยิบเอารัฐธรรมนูญ 2540 มาใช้ใหม่ก็ตาม ก็ยังคงตกอยู่ในกระแสแก้รัฐธรรมนูญอยู่นั่นเอง
ดังนั้นในวันนี้ทั้งภาคประชาชนและฝ่ายค้านจึงมีชะตากรรมที่ตกลงไปในกระแสแห่งการแก้ไขรัฐธรรมนูญเหมือนกัน แม้ว่าเป้าหมายบางอย่างจะตรงกันและบางอย่างจะไม่ตรงกันก็ตามที
นี่คือการถูกหลอก ถูกแหกตา ตามกลยุทธ์ทำทีจะตีเหนือ แต่เข้าตีใต้นั่นเอง
ทำไมถึงพูดราวกับว่าไม่เกรงใจใคร หรือประหนึ่งดูหมิ่นความคิดสติปัญญาของผู้อื่นถึงปานนี้เล่า?
ขออย่าได้คิดไปไกลถึงเพียงนั้นเลย นี่เป็นการพูดสะกิดใจให้ได้ตั้งสติแล้วพิจารณาไตร่ตรองดูโดยแยบคาย ก็อาจเห็นคล้อยตามความที่ว่าก็เป็นได้
จะตรองดูง่ายเข้าถ้าได้กล่าวเสียตรงนี้ว่า วันนี้เป็นวันที่ 16 ตุลาคม 2552 แล้ว เหลือเวลาเพียงไม่ถึงเดือน รัฐสภาก็จะปิดสมัยประชุมแล้ว หากจะนับเวลานัดประชุมรัฐสภาก็เหลือเวลาเพียง 5-6 ครั้งเท่านั้น
การแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องพิจารณาโดยรัฐสภา ต้องพิจารณาเป็น 3 วาระ คือวาระแรกเป็นวาระรับหลักการ จากนั้นก็ตั้งคณะกรรมาธิการเพื่อทำการแปรญัตติ เสร็จแล้วก็นัดประชุมพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญที่ผ่านการแปรญัตติแล้วเป็นรายมาตรา เป็นวาระที่สอง จากนั้นก็ต้องลงมติในวาระที่สาม และอาจจะถูกส่งไปตีความที่ศาลรัฐธรรมนูญอีก
ยังไม่รวมถึงระยะเวลาที่จะต้องใช้ในการลงประชามติ ซึ่งหากปกติก็ต้องใช้เวลาราว 7-9 เดือน แต่ขณะนี้ใครจะร่างรัฐธรรมนูญที่จะแก้ไขกันก็ยังไม่แน่ชัด และจะร่างเสร็จเมื่อใดก็ไม่มีใครรู้
นั่นคือรู้ๆ กันอยู่แล้วว่าถึงอย่างไรก็ไม่มีทางที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ภายในปีนี้ แล้วที่มาโหมกระแสแก้รัฐธรรมนูญกันครืนๆ นั้นประสงค์สิ่งใดเล่า? หากมิใช่ต้องการเบี่ยงเบนความสนใจจากการขับเคลื่อนผลักดันใช้เงินงบประมาณจำนวนมหาศาลดังที่ว่ามาข้างต้น
นี่ก็คือกลยุทธ์ “ทำทีจะตีเหนือ แต่เข้าตีใต้” นั่นเอง แล้วประชาชนเราจะยอมให้เขาหลอกกระนั้นหรือ?