ASTVผู้จัดการรายวัน- บล.เอเซีย พลัส ชี้ คาดผลสรุปค่าคอมมิชชั่นขั้นบันไดออกมาดีกว่าคาดไว้ตอนแรก ชี้หากตลาดหลักทรัพย์ฯ เห็นชอบค่าคอมมิชชั่นตามสมาคมโบรกเกอร์เสนอหนุนผลประกอบการโบรกเกอร์ดีขึ้นจากเดิมที่คาดปรับตัวลดลง 14% หุ้นหลักทรัพย์ได้รับความสนใจลงทุนมากขึ้น
บริษัทหลักทรัพย์(บล.)เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน)หรือ ASP ออกบทวิเคราะห์หุ้นกลุ่มหลักทรัพย์ จากการที่สมาคมบริษัทหลักทรัพย์จะมีการประชุมสมาชิกบริษัทหลักทรัพย์เพื่อที่จะเสนอให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพิ่มเพดานมูลค่าการค่าการซื้อขายในการคิดอัตราค่านายหน้าแบบขั้นบันไดใหม่นั้น ซึ่งหากสรุปผลเป็นไปตามข้อเสนอใหม่ คาดว่าผลประกอบการในปี 2553 ของบริษัทจะดีกว่าที่ฝ่ายวิจัยคาดไว้เดิมที่จะปรับตัวลดลง 14% จากปีก่อนจากสมมติฐานปัจจุบันฝ่ายวิจัยอิงกรณีเลวร้ายสุด โดยคิดอัตราค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์ขั้นบันไดเดิม ซึ่งส่งผลให้คาดการณ์อัตราค่านายหน้าในปี 2553 มีแนวโน้มปรับตัวลดลงเหลือเพียง 0.145% จาก 0.196% ในปี 2552
ทั้งนี้ ราคาหุ้นกลุ่มหลักทรัพย์คาดว่าได้ผ่านจุดเลวร้ายไปแล้ว และเชื่อว่าข้อสรุปการคิดอัตราค่าคอมมิชชั่นขั้นบันไดน่าจะออกมาดีกว่าที่เคยคาดไว้ในตอนแรก ซึ่งทำให้หุ้นหลักทรัพย์จะกลับมาเป็นที่สนใจของนักลงทุนอีกครั้ง โดยบล.ที่น่าจะกลับมีผลประกอบการดีกว่าคาด คือ บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน)หรือ PHATRA และ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด เพราะ ราคาหุ้นถูกกดดันมาตลอดจากการที่2 บล.มีฐานลูกค้าสถาบันในสัดส่วนที่สูงและภายใต้ภาวะตลาดที่คึกคักมูลค่าการซื้อขายสูงใกล้เคียงวันละ 2.5-3 หมื่นล้านบาท
ดั้งนั้น จึงทำให้หุ้น 2 บริษัทมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อีก ส่วนบล.อื่นๆน่าจะซื้อลงทุนระยะสั้น ได้ เช่นกันภายใต้สมมุติฐานมูลค่าการซื้อขายที่สูงเช่นกัน แต่บริษัทยังคงประมาณการกำไรเดิมก่อน จนกว่าที่จะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนเกี่ยวกับการคิดอัตราค่าคอมมิชชั่นขั้นบันได บริษัทประเมินราคาหุ้นมูลค่าเหมาะสมปีหน้าของPHATRA อยู่ที่ 21.27-24.86 บาทต่อหุ้น และมูลค่าเหมาะสมหุ้น BLS ปีหน้าอยู่ที่ 19.36-24.89 บาทภายใต้มูลค่าการซื้อขายที่สูงประมาณ 25,000-30,000 ล้านบาท โดยบริษัทคาดบริษัทหลักทรัพย์ปีนี้จะมีกำไรสุทธิ 1,662 ล้านบาท และคาดปีหน้าจะมีกำไรสุทธิ 1,425 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม สมาคมโบรกเกอร์ได้มีการเสนอให้ตลาดหลักทรัพย์พิจารณาปรับเพิ่มเพดานมูลค่าการซื้อขายในการคิดค่าคอมมิชชั่นขั้นบันได โดยเฉพาะการซื้อขายของลูกค้ารายย่อยที่มีมูลค่าซื้อขายเป็นไม่เกิน 5 ล้านบาทต่อวัน ให้คิดค่าคอมมิชชั่น 0.25% จากเดิมที่กำหนดไว้ไม่เกิน 1 ล้านบาทต่อวัน ให้คิดค่าคอมมิชชั่น 0.25% ส่วนการเก็บค่าคอมมิชชั่นสำหรับนักลงทุนสถาบันนั้นจะคิดอัตราเดียว ซึ่งสมาคมโบรกเกอร์เสนอ 0.25% ซึ่งสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ต่างประเทศเสนอให้คิด 0.22% ส่วนสมาคมบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.)เสนอให้กับ 0.15%
บริษัทหลักทรัพย์(บล.)เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน)หรือ ASP ออกบทวิเคราะห์หุ้นกลุ่มหลักทรัพย์ จากการที่สมาคมบริษัทหลักทรัพย์จะมีการประชุมสมาชิกบริษัทหลักทรัพย์เพื่อที่จะเสนอให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพิ่มเพดานมูลค่าการค่าการซื้อขายในการคิดอัตราค่านายหน้าแบบขั้นบันไดใหม่นั้น ซึ่งหากสรุปผลเป็นไปตามข้อเสนอใหม่ คาดว่าผลประกอบการในปี 2553 ของบริษัทจะดีกว่าที่ฝ่ายวิจัยคาดไว้เดิมที่จะปรับตัวลดลง 14% จากปีก่อนจากสมมติฐานปัจจุบันฝ่ายวิจัยอิงกรณีเลวร้ายสุด โดยคิดอัตราค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์ขั้นบันไดเดิม ซึ่งส่งผลให้คาดการณ์อัตราค่านายหน้าในปี 2553 มีแนวโน้มปรับตัวลดลงเหลือเพียง 0.145% จาก 0.196% ในปี 2552
ทั้งนี้ ราคาหุ้นกลุ่มหลักทรัพย์คาดว่าได้ผ่านจุดเลวร้ายไปแล้ว และเชื่อว่าข้อสรุปการคิดอัตราค่าคอมมิชชั่นขั้นบันไดน่าจะออกมาดีกว่าที่เคยคาดไว้ในตอนแรก ซึ่งทำให้หุ้นหลักทรัพย์จะกลับมาเป็นที่สนใจของนักลงทุนอีกครั้ง โดยบล.ที่น่าจะกลับมีผลประกอบการดีกว่าคาด คือ บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน)หรือ PHATRA และ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด เพราะ ราคาหุ้นถูกกดดันมาตลอดจากการที่2 บล.มีฐานลูกค้าสถาบันในสัดส่วนที่สูงและภายใต้ภาวะตลาดที่คึกคักมูลค่าการซื้อขายสูงใกล้เคียงวันละ 2.5-3 หมื่นล้านบาท
ดั้งนั้น จึงทำให้หุ้น 2 บริษัทมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อีก ส่วนบล.อื่นๆน่าจะซื้อลงทุนระยะสั้น ได้ เช่นกันภายใต้สมมุติฐานมูลค่าการซื้อขายที่สูงเช่นกัน แต่บริษัทยังคงประมาณการกำไรเดิมก่อน จนกว่าที่จะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนเกี่ยวกับการคิดอัตราค่าคอมมิชชั่นขั้นบันได บริษัทประเมินราคาหุ้นมูลค่าเหมาะสมปีหน้าของPHATRA อยู่ที่ 21.27-24.86 บาทต่อหุ้น และมูลค่าเหมาะสมหุ้น BLS ปีหน้าอยู่ที่ 19.36-24.89 บาทภายใต้มูลค่าการซื้อขายที่สูงประมาณ 25,000-30,000 ล้านบาท โดยบริษัทคาดบริษัทหลักทรัพย์ปีนี้จะมีกำไรสุทธิ 1,662 ล้านบาท และคาดปีหน้าจะมีกำไรสุทธิ 1,425 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม สมาคมโบรกเกอร์ได้มีการเสนอให้ตลาดหลักทรัพย์พิจารณาปรับเพิ่มเพดานมูลค่าการซื้อขายในการคิดค่าคอมมิชชั่นขั้นบันได โดยเฉพาะการซื้อขายของลูกค้ารายย่อยที่มีมูลค่าซื้อขายเป็นไม่เกิน 5 ล้านบาทต่อวัน ให้คิดค่าคอมมิชชั่น 0.25% จากเดิมที่กำหนดไว้ไม่เกิน 1 ล้านบาทต่อวัน ให้คิดค่าคอมมิชชั่น 0.25% ส่วนการเก็บค่าคอมมิชชั่นสำหรับนักลงทุนสถาบันนั้นจะคิดอัตราเดียว ซึ่งสมาคมโบรกเกอร์เสนอ 0.25% ซึ่งสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ต่างประเทศเสนอให้คิด 0.22% ส่วนสมาคมบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.)เสนอให้กับ 0.15%