xs
xsm
sm
md
lg

SECCขาดทุนยับ‘สมพงษ์’ทำพิษ1.8พันล.แถมวิกฤตศก.ฉุดยอดขาย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTV ผู้จัดการรายวัน – พิษ”สมพงษ์”ทำ“เอส.อี.ซี. ออโต้เซลส์ฯ”กระอัก! ผลดำเนินงานปี2551 ขาดทุนยับ 1,858 ล้านบาท หรือ 3.88บาท/หุ้น รายได้ทรุดเหลือ1,486 ล้าน ลดลงร้อยละ 36 จากปี2550 ที่มีถึง2,345 ล้านบาท เหตุยอดขายรถยนต์ชะงักจากปัญหาผู้บริหารชุดเก่าหนี หนำซ้ำโดนวิกฤตเศรษฐกิจซ้ำเติม ค่าใช้จ่ายพุ่ง ด้านตลาดหุ้นยังแขวนป้าย “SP” ต่อ หลังส่วนผู้ถือหุ้นติดลบ 573 ล้าน อีกทั้งไร้ผู้สอบบัญชีให้ความเห็นต่องบการเงิน

นายสรรพพล รัตนรุ่งโรจน์ ประธานกรรมการ บริษัท เอส.อี.ซี. ออโต้เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส จากัด (มหาชน) หรือ SECC เปิดเผยว่า บริษัทได้ส่งผลดำเนินงานสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2551 ให้แก่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)แล้ว วานนี้ (13ต.ค.) โดยในปี 2551 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายรถยนต์ จำนวน 1,486 ล้านบาทคิดเป็นอัตราที่ลดลงร้อยละ 36.6 จากยอดขายในปี 2550 จำนวน 2,345 ล้านบาท ขณะเดียวกัน บริษัทฯยังมีรายได้จากการให้บริการ จำนวน 129 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 2.3 จากยอดรายได้ให้บริการปี 2550 จำนวน 132 ล้านบาท
โดยจากผลกระทบที่เกิดขึ้นส่งผลให้ SECC ขาดทุนสุทธิทั้งสิ้น จำนวน 1,858.7 ล้านบาท คิดเป็นการลดลงร้อยละ 5,906 เทียบกับปี 2550 ที่มีผลกำไรสุทธิ จำนวน 32 ล้านบาท และคิดเป็นขาดทุนสุทธิต่อหุ้น 3.88 บาท จากปี 2550 ซึ่งมีกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.08 บาท อันเนื่องมาจาก การลดลงของยอดขายรถยนต์ตามภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา และการหยุดชะงักของการขายรถยนต์ในช่วงปลายปีเพราะปัญหาผู้บริหารชุดเก่าที่หนีไป รวมทั้งการตั้งสำรองค่าใช้จ่ายหนี้สงสัยจะสูญ, สำรองการด้อยค่าเงินลงทุนในบริษัทย่อย และสำรองค่าเผื่อมูลค่าสินค้าคงเหลือลดลง จึงให้ให้ผลการดำเนินงานของบริษัทฯในปี 2551 ลดลงเกินกว่าร้อยละ 20 เทียบกับปีก่อน
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีต้นทุนขายรถยนต์ จำนวน 1,184 ล้านบาทคิดเป็นอัตราร้อยละ 79.7 เมื่อเทียบกับยอดขาย ในขณะที่ปี 2550 ซึ่งมีต้นทุนขายรถยนต์ จำนวน 1,939 ล้านบาทคิดเป็นอัตราร้อยละ82.7 เทียบกับยอดขาย ทำให้บริษัทฯมีอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 17.3 ในปี 2550 เป็นร้อยละ 20.3
อีกทั้ง บริษัทฯ มีต้นทุนการให้บริการ จำนวน 99 ล้านบาทคิดเป็นอัตราร้อยละ 76.7เทียบกับรายได้บริการ ในขณะที่ปี 2550 มีต้นทุนการให้บริการ จำนวน 107 ล้านบาทคิดเป็นอัตราร้อยละ 81 เทียบกับรายได้บริการ ทำให้บริษัทฯมีอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 19 ในปี 2550 เป็นร้อยละ 23.3
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ค่าใช้จ่ายในการขาย และบริหาร จำนวน 316 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ11.7 ของค่าใช้จ่ายในการขาย และบริหาร ปี 2550 ที่มีจำนวน 283 ล้านบาท เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของค่าใช่จ่ายการโฆษณา, การส่งเสริมการขาย และการจัดการเปิดตัวรถยนต์ใหม่อย่างต่อเนื่อง ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาในปี 2551 ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ในปี 2551 บริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายทางการเงิน จำนวน 62 ล้านบาท ลดลงเป็นอัตราร้อยละ
17 เทียบกับค่าใช้จ่ายทางการเงิน ปี 2550 ที่มีจำนวน 74.4 ล้านบาท เนื่องจากในระหว่างปี 2551บริษัทฯ ได้นำเงินเพิ่มทุนไปจ่ายชำระคืนหนี้เงินกู้ยืมระยะสั้นบางส่วน
ขณะเดียวกัน ในปี 2551 บริษัทได้มีการตั้งสำรองค่าใช้จ่าย โดยแบ่งเป็น 1 สำรองหนี้สงสัยจะสูญ จำนวน 128.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2550 ที่มีจำนวน 30.5 ล้านบาท เนื่องจากลูกหนี้มีการค้างชำระนานเกินกว่าเครดิตเทอมที่ได้รับเป็นเวลานาน 2 สำรองการด้อยค่าเงินลงทุนในบริษัทย่อย จำนวน 300 ล้านบาท เนื่องจากการลงทุนในบริษัท เอสอีซีซี โฮลดิ้ง จำกัด มีความเสี่ยงในการไม่ได้รับเงินที่ให้บุคคลอื่นกู้ยืมคืน และ 3 สำรองค่าเผื่อมูลค่าสินค้าคงเหลือลดลง จำนวน 1,389 ล้านบาท จากการสรุปผลของคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินของบริษัทฯ เป็นเหตุให้เชื่อว่ามีการยักยอกถ่ายเทรถยนต์โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ตลท.คงSPต่อหลังงบฯไร้ผู้สอบบัญชี
ล่าสุดวานนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ออกมารายงานต่อผู้ลงทุนว่า ตามที่ตลาดหลักทรัพย์ฯประกาศให้หลักทรัพย์ของSECCเข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน และคงเครื่องหมาย SP (Suspension) ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2552 พร้อมทั้งขึ้นเครื่องหมาย NC (Non-Compliance) ตั้งแต่วันที่ 2 กันยายน 2552 เนื่องจาก SECC ยังมิได้นำส่งงบการเงินปี สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2551 ต่อตลาดหลักทรัพย์ซึ่งล่าช้าเกินกว่า 180 วันนั้น
บัดนี้ SECC ได้นำส่งงบการเงินประจำปี สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2551 ฉบับที่ผ่านการตรวจสอบจากผู้สอบบัญชีมายังตลาดหลักทรัพย์แล้ว ปรากฏข้อมูลดังนี้1. มีส่วนของผู้ถือหุ้นต่ำกว่าศูนย์ กล่าวคือ ติดลบ 573,962,783 บาท และ 2. ผู้สอบบัญชีไม่แสดงความเห็นต่องบการเงินประจำปี 2551
ทั้งนี้ จากข้อมูลดังกล่าวทำให้ตัวเลขผลการดำเนินงานและฐานะการเงินของ SECC ที่ปรากฏในงบการเงินอาจไม่ได้แสดงค่าที่แท้จริงของกิจการ ประกอบกับงบการเงินดังกล่าวปรากฏส่วนของผู้ถือหุ้นต่ำกว่าศูนย์ ซึ่งตลาดหลักทรัพย์อยู่ระหว่างการพิจารณาเพิ่มเหตุเข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน รวมทั้ง SECC ยังไม่ได้นำส่งงบการเงินไตรมาสที่ 1 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2552 และงบการเงินไตรมาสที่ 2 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2552 ต่อตลาดหลักทรัพย์
ดังนั้น ตลาดหลักทรัพย์จึงคงเครื่องหมาย SP หลักทรัพย์ของ SECC โดยตลาดหลักทรัพย์จะพิจารณาเพิ่มเหตุเข้าข่ายอาจถูกเพิกถอนของ SECC ต่อไป
กำลังโหลดความคิดเห็น