เดลิเมล์ – สการ์เล็ต โจฮันสัน เคยสารภาพเมื่อครั้งยังอายุ 20 ปีว่า “ฉันใช้ผลิตภัณฑ์ชะลอวัยแล้ว จากความกดดันที่หนีไม่พ้น เพราะทุกคนในฮอลลีวูดสวยเด้งกันไปหมด”
ไม่ใช่เฉพาะคนดังเท่านั้นที่รู้สึกกดดันและต้องสรรหาผลิตภัณฑ์กำจัดริ้วรอย จากงานวิจัยเมื่อเร็วๆ นี้พบว่าผู้หญิงอายุไม่ถึง 25 ปีถึง 1 ใน 3 ใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับคนวัย 40 ปีขึ้นไป
ผู้เชี่ยวชาญบางคนบอกว่าการกระทำดังกล่าวไม่ได้เพียงแค่เสียเงินโดยใช่เหตุเท่านั้น แต่ยังอาจทำให้ผิวพรรณของสาวน้อยเสียหายถาวร
ดร.ซูซาน มายู ผู้เชี่ยวชาญโรคผิวหนังของคาโดแกนคลินิกในลอนดอน อธิบายว่าครีมที่พัฒนาขึ้นมาสำหรับผู้มีอายุอาจเข้มข้นและเมื่อนำมาใช้กับหญิงสาวหรือสาวรุ่นอาจก่อให้เกิดปัญหาได้
“ผู้ป่วยโรคผิวหนังอักเสบที่ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีความมันเกินไปมักมีปัญหาจากภาวะที่เรียกว่า occlusive folliculitis หรือการที่เหงื่อไม่สามารถซึมออกจากรูขุมขนที่อุดตันได้ ซึ่งทำให้เกิดตุ่มแดงคัน และวัยรุ่นที่ใช้ผลิตภัณฑ์ชะลอริ้วรอยสำหรับสาวใหญ่อาจมีอาการเดียวกันนี้”
ดร.นิก โลว์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคผิวหนังอีกคน เสริมว่าแม้อาการติดเชื้ออ่อนๆ แบบนี้เป็นอาการชั่วคราวและสามารถรักษาได้ด้วยยาปฏิชีวนะเฉพาะที่ที่มีขายตามร้านขายยาทั่วไป แต่เมื่อสาวๆ ใช้ครีมที่มีส่วนผสม อาทิ เรตินอล, เอเอชเอ (กรดอัลฟาไฮด็อกซี) ซึ่งมักมีอยู่ในผลิตภัณฑ์สำหรับผู้หญิงอายุเลข 4 นำหน้า เท่ากับว่าปัญหาเริ่มก่อตัวขึ้นแล้ว
เนื่องจากส่วนผสมเหล่านั้นจะไปทำลายผิวหนังชั้นนอกและเร่งอัตราความเร็วในการผลิตชั้นผิวหนังขึ้นมาใหม่ ซึ่งกระบวนการนี้ดีสำหรับผู้ที่เริ่มอายุมาก แต่กับผิวหนังของหญิงสาว กลับบั่นทอนกลไกในการปกป้องการเก็บรักษาความชุ่มชื้นตามธรรมชาติ ทำให้เกิดอาการระคายเคือง คัน ผิวหนังลอก และอื่นๆ ตามมา เช่น โรคแพ้แสงที่จะทำให้ผิวหนังอ่อนไหวต่อการถูกแสงแดดทำร้ายมากขึ้น หากใช้เป็นระยะเวลานาน
“หากวัยรุ่นเหล่านั้นโชคดี เมื่อหยุดใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าว อาการก็จะหายไปเอง แต่ถ้าโชคร้ายก็คงต้องเสียเงินเพิ่มเพื่อซื้อครีมมารักษาสภาพผิวหนังให้กลับเป็นปกติ”
ดร.โลว์แนะนำเคล็ดลับง่ายๆ สำหรับวัยรุ่นที่ต้องการปกป้องความอ่อนเยาว์ ด้วยการงดนอนอาบแดด ไม่สูบบุหรี่ และใช้ครีมกันแดด SPF15 ที่มีฤทธิ์ปกป้องรังสียูวีทุกวัน
ไม่ใช่เฉพาะคนดังเท่านั้นที่รู้สึกกดดันและต้องสรรหาผลิตภัณฑ์กำจัดริ้วรอย จากงานวิจัยเมื่อเร็วๆ นี้พบว่าผู้หญิงอายุไม่ถึง 25 ปีถึง 1 ใน 3 ใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับคนวัย 40 ปีขึ้นไป
ผู้เชี่ยวชาญบางคนบอกว่าการกระทำดังกล่าวไม่ได้เพียงแค่เสียเงินโดยใช่เหตุเท่านั้น แต่ยังอาจทำให้ผิวพรรณของสาวน้อยเสียหายถาวร
ดร.ซูซาน มายู ผู้เชี่ยวชาญโรคผิวหนังของคาโดแกนคลินิกในลอนดอน อธิบายว่าครีมที่พัฒนาขึ้นมาสำหรับผู้มีอายุอาจเข้มข้นและเมื่อนำมาใช้กับหญิงสาวหรือสาวรุ่นอาจก่อให้เกิดปัญหาได้
“ผู้ป่วยโรคผิวหนังอักเสบที่ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีความมันเกินไปมักมีปัญหาจากภาวะที่เรียกว่า occlusive folliculitis หรือการที่เหงื่อไม่สามารถซึมออกจากรูขุมขนที่อุดตันได้ ซึ่งทำให้เกิดตุ่มแดงคัน และวัยรุ่นที่ใช้ผลิตภัณฑ์ชะลอริ้วรอยสำหรับสาวใหญ่อาจมีอาการเดียวกันนี้”
ดร.นิก โลว์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคผิวหนังอีกคน เสริมว่าแม้อาการติดเชื้ออ่อนๆ แบบนี้เป็นอาการชั่วคราวและสามารถรักษาได้ด้วยยาปฏิชีวนะเฉพาะที่ที่มีขายตามร้านขายยาทั่วไป แต่เมื่อสาวๆ ใช้ครีมที่มีส่วนผสม อาทิ เรตินอล, เอเอชเอ (กรดอัลฟาไฮด็อกซี) ซึ่งมักมีอยู่ในผลิตภัณฑ์สำหรับผู้หญิงอายุเลข 4 นำหน้า เท่ากับว่าปัญหาเริ่มก่อตัวขึ้นแล้ว
เนื่องจากส่วนผสมเหล่านั้นจะไปทำลายผิวหนังชั้นนอกและเร่งอัตราความเร็วในการผลิตชั้นผิวหนังขึ้นมาใหม่ ซึ่งกระบวนการนี้ดีสำหรับผู้ที่เริ่มอายุมาก แต่กับผิวหนังของหญิงสาว กลับบั่นทอนกลไกในการปกป้องการเก็บรักษาความชุ่มชื้นตามธรรมชาติ ทำให้เกิดอาการระคายเคือง คัน ผิวหนังลอก และอื่นๆ ตามมา เช่น โรคแพ้แสงที่จะทำให้ผิวหนังอ่อนไหวต่อการถูกแสงแดดทำร้ายมากขึ้น หากใช้เป็นระยะเวลานาน
“หากวัยรุ่นเหล่านั้นโชคดี เมื่อหยุดใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าว อาการก็จะหายไปเอง แต่ถ้าโชคร้ายก็คงต้องเสียเงินเพิ่มเพื่อซื้อครีมมารักษาสภาพผิวหนังให้กลับเป็นปกติ”
ดร.โลว์แนะนำเคล็ดลับง่ายๆ สำหรับวัยรุ่นที่ต้องการปกป้องความอ่อนเยาว์ ด้วยการงดนอนอาบแดด ไม่สูบบุหรี่ และใช้ครีมกันแดด SPF15 ที่มีฤทธิ์ปกป้องรังสียูวีทุกวัน
