xs
xsm
sm
md
lg

ชงคืนภาษีหนังสือเพิ่ม30% งบ3พันล.กระตุ้นการอ่าน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน –  1 ต.ค. ดีเดย์แผนปฏิบัติการ การอ่านเป็นวาระแห่งชาติ ชง มาตรการภาษีเพิ่มวงเงินการหักเป็น 30% ของกำไร จากเดิม 10% ของการซื้อหนังสือบริจาค เชื่อสัดส่วนหนังสืออ่านในระบบภาครัฐจะสูงขึ้นจาก 30% เป็น 50% ฟากสำนักพิมพ์ยิ้มได้ ไตรมาสสี่ขนหนังสือดีลงแผงอื้อ มั่นใจทั้งปีอุตสาหกรรมหนังสือขยับเพิ่มอีก 2-4% จากมูลค่า 18,900 ล้านบาท

นางริสรวล อร่ามเจริญ นายกสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จัดจำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ภายหลังจากการผลักดัน การอ่านเป็นวาระแห่งชาติได้เป็นที่เรียบร้อย เมื่อวันที่ 5 ส.ค. ที่ผ่านมา กับนโยบายเบื้องต้นใน 4 เรื่องใหญ่ คือ 1.การประกาศให้การอ่านเป็นวาระแห่งชาติ 2. ให้วันที่ 2 เม.ย. ของทุกปีเป็นวันอ่านหนังสือแห่งชาติ 3. ให้ปี 2552-2561 เป็นทศวรรษ แห่งการอ่าน และ4.แต่งตั้งคณะกรรมการส่งเสริมการอ่านเพื่อส่งเสริมให้เกิดการอ่านมากขึ้น
ล่าสุดเมื่อวันที่ 16 ก.ย. ที่ผ่านมา คณะกรรมการส่งเสริมการอ่าน โดยมีนายสุขุม เฉลยทรัพย์ เป็นประธาน ได้มีการประชุมกำหนดเป้าหมายในเรื่องของการอ่าน ให้บรรลุภายในปี 2555 ทั้งหมด 5 เรื่อง คือ ข้อ 1. ประชาชนในกลุ่มแรงงาน จะต้องมีค่าเฉลี่ยในการอ่านเป็นร้อยละ 99 จากปัจจุบันอยู่ที่ ร้อยละ 97.21 ข้อ2. กลุ่มประชาชนอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป ที่อ่านออกเขียนได้จะต้องมีค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 95 จากปัจจุบันอยู่ที่ 92.34 ข้อ3.ค่าเฉลี่ยในการอ่านหนังสือนอกเวลาจะต้องเพิ่มเป็น 10 เล่มต่อคนต่อปี จากปัจจุบันอยู่ที่ 5 เล่มต่อคนต่อปี ข้อ4.แหล่งการอ่านจะต้องได้รับการพัฒนาอย่างทั่วถึง และข้อ5.มุ่งสร้างภาคี เครือข่าย ปลูกฝังการอ่านตลอดชีวิต แบบยั่งยืน
โดยเป้าหมายทั้ง 5 ข้อนี้ จะมีการมอบให้กับนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อลงนามเห็นชอบ พร้อมผลักดันแผนปฏิบัติการ การอ่านเป็นวาระแห่งชาติ ในวันที่ 1 ต.ค.นี้ เป็นต้นไป ซึ่งขณะนี้ภาครัฐได้จัดสรรงบประมาณเพื่อนำมาผลักดันวาระการอ่านบ้างแล้ว โดยผ่านทางโครงการไทยเข้มแข็ง หรือ โครงการห้องสมุด 3D ที่มีมูลค่าถึง 3,000 ล้านบาท
(เฉพาะห้องสมุด 3D)
นางริสรวล กล่าวต่อว่า ในส่วนของสมาคมฯ ได้มีการพูดคุยกันในเรื่องของมาตรการทางภาษี ที่เกี่ยวข้องกับการบริจาคหนังสือด้วย เพราะมองว่าปัจจุบันหนังสือบริจาค ในสถานที่ต่างๆค่อนข้างน้อย ส่วนหนึ่งมาจากมาตรการทางภาษี ที่องค์กรต้องการบริจาคหนังสือ สามารถหักภาษีได้ 2 เท่าของมูลค่าหนังสือที่บริจาค ได้พิจารณาว่าควรเพิ่มเป็น 30% ของมูลค่าหนังสือที่บริจาค ส่วนหนึ่งเพื่อสนับสนุนให้องค์กรต่างๆกว่า 2 แสนราย ที่ประสงค์บริจาคหนังสือให้มีเพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้มีหนังสือเข้าสู่ระบบภาครัฐ ในการที่จะเข้าถึงประชาชนเพื่อให้เกิดการอ่านได้เพิ่มสูงขึ้น
โดยเรื่องนี้จะถูกส่งมอบให้กับนายจุรินทร์ ให้มีการพิจารณาเห็นชอบ พร้อมส่งต่อให้กับสำนักงบประมาณ และกรมสรรพากร ดำเนินการต่อไป คาดว่าจะส่งผลให้สัดส่วนหนังสือในกลุ่มภาครัฐจากเดิมอยู่ที่ 30% เพิ่มเป็น 50% ได้ในอุตสาหกรรมหนังสือมูลค่า 18,900 ล้านบาท มาจากปัจจุบัน 70% เป็นการครอบครองโดยบุคคล และ 30% เป็นของภาครัฐ
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ การอ่านถูก ประกาศให้เป็นวาระแห่งชาติแล้ว มองว่าในส่วนของสำนักพิมพ์ ถือเป็นโอกาสที่ดี ในการที่จะมีการสร้างสรรค์หนังสือดีมีคุณภาพออกสู่ตลาดมากยิ่งขึ้น แนวโน้มสำนักพิมพ์ผลิตหนังสือเชิงสร้างสรรค์ ก็จะมีเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ผู้บริโภคเองก็จะได้ประโยชน์ เพราะมีหนังสือให้เลือกอ่านหลากหลายขึ้น
โดยมั่นใจว่าวาระการอ่านนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่จะผลักดันให้อุตสาหกรรมหนังสือเติบโตได้ไม่ต่ำกว่า 10-15% หรือจากปีนี้ไปถึงปี 2550 น่าจะโตได้กว่า 40-50% ขณะที่ในปีนี้เชื่อว่าอุตสาหกรรมหนังสือจะเติบโตเพียง 2-4%เท่านั้น เพราะช่วงต้นปีที่ผ่านมา ค่อนข้างแย่ จากสภาพเศรษฐกิจเป็นสำคัญ ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายของผู้อ่านต่อปียังอยู่ที่ 300-400 บาท ต่อ คน     
ล่าสุดทางสมาคมฯ เตรียมจัดงาน “มหกรรมหนังสือระดับชาติครั้งที่ 14 (Book Expo Thailand 2009)” ขึ้นระหว่างวันที่ 15-25 ต.ค. 2552 เวลา 10-00-21.00น. ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ภายใต้แนวคิด “Book for Gift คิดถึงของขวัญ คิดถึงหนังสือ” คาดว่าจะมีผู้เข้าชมงานประมาณ 1.5 ล้านคน ใกล้เคียงกับปีก่อน
กำลังโหลดความคิดเห็น