00 กลับมาถึงประเทศไทยโดยสวัสดิภาพเมื่อกลางดึกวันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน ที่ผ่านมา สำหรับ “หนุ่มมาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี หลังจากได้ขึ้นไปบนเวทีผู้นำโลก ไปปาถกฐาโชว์สำนวนโวหาร ถ่ายรูปคู่กับผู้นำคนสำคัญ นั่นก็ว่ากันไป แต่เมื่อกลับมาถึงบ้านแล้วนี่ซิของจริง เพราะจะต้องเจอกับสารพัดปัญหาที่รออยู่เพียบ
00 ที่เห็นกันอยู่เฉพาะหน้าก็คือ การแต่งตั้งเบอร์หนึ่งของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าจะเอาใคร ระหว่าง พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ กับ พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย หรือว่าจะมีบุคคลที่ 3 อย่าง พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ หรือ จะมีม้ามืดรายอื่นๆ แซงโค้งเข้าป้ายตามแรงผลักดัน “พิเศษ” หรือไม่
00 แต่ปัญหาก็คือ หากผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนใหม่ไม่ใช่คนชื่อ ปทีป ตันประเสริฐ แล้วละก็คนที่เสียหายแบบหมดสภาพก็จะเป็นนายกฯอภิสิทธิ์ นั่นเอง เพราะตัวเองได้ถลำลึกทุ่มเทสนับสนุนไปสุดตัว แต่เมื่อไม่มีใครเอาด้วย นั่นก็หมายความว่านายกฯคนนี้ไร้ภาวะผู้นำอย่างสิ้นเชิง
00 การที่นายกฯ พยายามสื่อให้เห็นว่ายังมีปัญหาอื่นๆ มากมายที่หมุนรอบตัว ผบ.ตร.ทำนองว่าให้ไปสนใจเรื่องอื่นดูบ้าง แม้ว่าจะเห็นด้วย แต่ขณะเดียวกันมันก็สะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า แค่ตำแหน่งนี้ตำแหน่งเดียวยังไม่อาจแก้ปัญหาให้สะเด็ดน้ำได้ ดังนั้นก็ไม่ควรไปสนใจเรื่องอื่นเหมือนกัน เพราะคงจะไม่เอาไหน หรือไม่เป็นชิ้นเป็นอันเช่นเดียวกัน และหากจะใช้วิธีการตั้งรักษาราชการไปเรื่อยๆ มันคงไม่สวยแน่
00 ปมร้อนอีกเรื่องก็คือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่พอแตะเรื่องนี้ทีไร มันก็ต้องกระเพื่อมทุกครั้งไป และยิ่งคราวนี้อยู่ในสภาพที่แบ่งฝักฝ่าย ต้องการรวบรัดแบบทันใจ โอกาสที่จะดำดิ่งสู่วิกฤต มันก็ยิ่งทับทวีมากขึ้นเรื่อยๆ
00 ข้อเสนอทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญทีละประเด็นก็น่าเป็นห่วงว่าจะเป็นไปได้แค่ไหน เพราะแม้แต่พรรคร่วมรัฐบาลที่เจ้าของพรรคตัวจริงล้วนอยู่ในบ้านเลขที่ 111 ต้องการความรวดเร็วทันใจ แต่ถ้าขืนไปถามคนโน้น คนนี้ มันก็ต้องใช้เวลานานหลายเดือน และยิ่งขืนปล่อยให้ทอดนานออกไปคนยิ่งรู้ข้อมูลมากขึ้นว่าแท้จริงแล้วเป็นการแก้ไขเพื่อนักการเมืองขี้ฉ้อเท่านั้น ชาวบ้านไม่เอาด้วยมันก็ยิ่งยุ่งไปกันใหญ่
00 เอาเป็นว่า แค่สองเรื่องคือ ตั้ง ผบ.ตร.คนใหม่ กับ แก้ไขรัฐธรรมนูญ มันก็รากเลือดแล้ว และนี่แหละถึงมีกลิ่นยุบสภาโชยมาแตะจมูก และในช่วงนี้เห็นแผ่นโปสเตอร์ บิลบอร์ดโชว์ผลงานของนายกฯ ตามสองข้างทางทั่วเมืองหลวงประเภท “ผมไม่ลืมสัญญา” มันก็อาจส่อนัยบางอย่างเหมือนกัน อย่างน้อยเมื่อดันต่อไม่ไหวก็อาจกัดฟันยุบสภาแล้วกันฟะ ถึงไม่เชื่อก็อย่านอนใจ !!
00 ที่เห็นกันอยู่เฉพาะหน้าก็คือ การแต่งตั้งเบอร์หนึ่งของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าจะเอาใคร ระหว่าง พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ กับ พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย หรือว่าจะมีบุคคลที่ 3 อย่าง พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ หรือ จะมีม้ามืดรายอื่นๆ แซงโค้งเข้าป้ายตามแรงผลักดัน “พิเศษ” หรือไม่
00 แต่ปัญหาก็คือ หากผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนใหม่ไม่ใช่คนชื่อ ปทีป ตันประเสริฐ แล้วละก็คนที่เสียหายแบบหมดสภาพก็จะเป็นนายกฯอภิสิทธิ์ นั่นเอง เพราะตัวเองได้ถลำลึกทุ่มเทสนับสนุนไปสุดตัว แต่เมื่อไม่มีใครเอาด้วย นั่นก็หมายความว่านายกฯคนนี้ไร้ภาวะผู้นำอย่างสิ้นเชิง
00 การที่นายกฯ พยายามสื่อให้เห็นว่ายังมีปัญหาอื่นๆ มากมายที่หมุนรอบตัว ผบ.ตร.ทำนองว่าให้ไปสนใจเรื่องอื่นดูบ้าง แม้ว่าจะเห็นด้วย แต่ขณะเดียวกันมันก็สะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า แค่ตำแหน่งนี้ตำแหน่งเดียวยังไม่อาจแก้ปัญหาให้สะเด็ดน้ำได้ ดังนั้นก็ไม่ควรไปสนใจเรื่องอื่นเหมือนกัน เพราะคงจะไม่เอาไหน หรือไม่เป็นชิ้นเป็นอันเช่นเดียวกัน และหากจะใช้วิธีการตั้งรักษาราชการไปเรื่อยๆ มันคงไม่สวยแน่
00 ปมร้อนอีกเรื่องก็คือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่พอแตะเรื่องนี้ทีไร มันก็ต้องกระเพื่อมทุกครั้งไป และยิ่งคราวนี้อยู่ในสภาพที่แบ่งฝักฝ่าย ต้องการรวบรัดแบบทันใจ โอกาสที่จะดำดิ่งสู่วิกฤต มันก็ยิ่งทับทวีมากขึ้นเรื่อยๆ
00 ข้อเสนอทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญทีละประเด็นก็น่าเป็นห่วงว่าจะเป็นไปได้แค่ไหน เพราะแม้แต่พรรคร่วมรัฐบาลที่เจ้าของพรรคตัวจริงล้วนอยู่ในบ้านเลขที่ 111 ต้องการความรวดเร็วทันใจ แต่ถ้าขืนไปถามคนโน้น คนนี้ มันก็ต้องใช้เวลานานหลายเดือน และยิ่งขืนปล่อยให้ทอดนานออกไปคนยิ่งรู้ข้อมูลมากขึ้นว่าแท้จริงแล้วเป็นการแก้ไขเพื่อนักการเมืองขี้ฉ้อเท่านั้น ชาวบ้านไม่เอาด้วยมันก็ยิ่งยุ่งไปกันใหญ่
00 เอาเป็นว่า แค่สองเรื่องคือ ตั้ง ผบ.ตร.คนใหม่ กับ แก้ไขรัฐธรรมนูญ มันก็รากเลือดแล้ว และนี่แหละถึงมีกลิ่นยุบสภาโชยมาแตะจมูก และในช่วงนี้เห็นแผ่นโปสเตอร์ บิลบอร์ดโชว์ผลงานของนายกฯ ตามสองข้างทางทั่วเมืองหลวงประเภท “ผมไม่ลืมสัญญา” มันก็อาจส่อนัยบางอย่างเหมือนกัน อย่างน้อยเมื่อดันต่อไม่ไหวก็อาจกัดฟันยุบสภาแล้วกันฟะ ถึงไม่เชื่อก็อย่านอนใจ !!