ASTVผู้จัดการรายวัน – ผู้ประกอบไทย รับอาฟต้าเป็นโอกาสการทำตลาด แต่แบรนด์ไทยยังมีกำแพงกีดกั้นอีกเพียบ เหตุรัฐบาลไม่ช่วย ด้านไทยเบฟ ฯ ลั่นอาฟต้าไม่ช่วยน้ำเมาฉ อดเจอกำแพงศาสนา กลุ่มอาหาร มาตรฐานอาหารและยาไม่ได้ จวกท่องเที่ยวขาดการร่วมมือบูรณาการ แนะภาครัฐสร้างกระแสนิยมไทย สกัดแบรนด์ตีตลาด
วานนี้(24 กันยายน 52) คณะกรรมการส่งเสริมตราสินค้าไทย หอการค้าไทย ได้จัดสัมมนาเรื่อง “อาฟต้า โอกาสและความท้าทายของแบรนด์ไทย” เพื่อรองรับกับการเปิดเขตการค้าเสรีอาเซียนหรืออาฟต้า ในปีหน้านี้ ซึ่งมีผลทำให้ภาษี 0% ส่งผลให้การแข่งขันทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศมีความรุนแรงมากขึ้น เพื่อช่วงชิงรายได้จากประชากรในภูมิภาคนี้ร่วม 550 ล้านคน
นายสมชัย สุทธิกุลพาณิช ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัทไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การเปิดเขตการค้าเสรีอาเซียนหรืออาฟต้า นับว่าเป็นโอกาสของผู้ประกอบการไทยในการขยายตลาดไปยังภูมิภาคนี้ แต่ขณะเดียวกันภาครัฐไม่ได้ให้ข้อมูลในเรื่องกฎระเบียบที่อยู่หลังม่านประตู เพราะทุกประเทศที่ผู้ประกอบการไทยจะเข้าไปทำตลาดโดยมากจะมีอุปสรรคทางด้านการค้าแทบทั้งสิ้น อาทิ การเข้าไปทำตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของเบียร์ช้าง ในประเทศมาเลเซีย สิงคโปร์ และฟิลิปปินส์ ล้วนแต่มีกำแพงภาษีเหมือนเดิมเพราะเป็นกลุ่มประเทศที่เคร่งเรื่องศาสนา
“สิ่งสำคัญที่แบรนด์ไทยจะเข้าไปทำตลาดต่างประเทศ คือ การสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักก่อน อย่างเบียร์ช้าง เราทำซีเอสอาร์แจกผ้าห่ม เพื่อสร้างแบรนด์ให้ถึงระดับรากหญ้า ในตลาดต่างประเทศเข้าไปเป็นสปอนเซอร์เสื้อทีมฟุตบอลเอฟเวอร์ตันในพรีเมียร์ลีก อย่างไรก็ตามสำหรับการเปิดเขตการค้าเสรีอาเซียนในปีหน้านี้ ไม่ได้มีผลต่อธุรกิจน้ำเมมามากนัก เพราะประเทศในอาเซียนอย่างมาเลเซียเคร่งครัดทางด้านศาสนา”
ชี้อาหารลุยตปท.เจอกำแพงเพียบ
นายธรรมศักดิ์ จิตติมาพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท กรีนสปอต จำกัด กล่าวว่า พฤติกรรมของผู้บริโภคอาเซียนนิยมดื่มนมถั่วเหลือง จึงมีโอกาสที่จะสร้างตลาดได้อีกมาก แต่ทว่าในตลาดกลับมีสินค้ามาก 20 แบรนด์ ซึ่งสำหรับปัญหาของสินค้าไทย คือ มาตรการอาหารและยาที่มีมาตรฐานแตกต่างกันระหว่างตลาดในกรุงเทพมหานครกับตลาดต่างจังหวัด รวมทั้งมาตรฐานทางด้านฮาลาล
ที่ต้องไปขอใหม่หากจะไปเปิดตลาดยังประเทศใหม่ๆ เพราะในส่วนของบริษัทได้ไปเปิดโรงงานในภูมิภาคนี้ หรือกระทั่งการจดทะเบียนสินค้าในตลาดต่างต้องใช้เวลา 6 เดือน ถึง 1 ปี และปัญหาการขนสินค้าเข้าประเทศ
“ผู้บริโภคไทยนิยมสินค้าที่มาจากต่างประเทศ ผมว่าสิ่งที่ภาครัฐควรดำเนินการ คือ ปลุกกระแสความนิยมสินค้าไทย ซื้อสินค้าไทย เพื่อสกัดสินค้าจากต่างประเทศที่จะเข้ามาทำตลาด ส่วนทำตลาดในต่างประเทศสำหรับสินค้าไทย ต้องเข้าใจพฤติกรรมของผู้บริโภคในประเทศนั้นๆ อย่างแท้จริง โดยวางโพซิชันนิ่งสินค้าที่สอดคล้องกับผู้บริโภค”
จวกท่องเที่ยวขาดการร่วมมือบูรณาการ
นายจุลจิตต์ บุณยเกตุ รองประธานกรรมการกลุ่มบริษัทคิงเพาเวอร์ กล่าวว่า กลุ่มคิงเพาเวอร์ เป็นผู้ประกอบการค้าปลอดภาษีที่ได้รับความเชื่อถือและมีเชื่อเสียงอยู่ในกลุ่ม 10 อันดับต้นๆ ของโลก แต่ที่ผ่านมาเป็นที่น่าเสียดาย ที่ธุรกิจโรงแรม และท่องเที่ยว ในช่วง 3 ปีทีผ่านมาเจอเหตุการณ์วุ่นวายมาตลอด ทั้งการปฏิวัติ ปิดสนามบิน เสื้อเหลือง เสื้อแดง
และการแพร่ระบาดของไข้หวัด 2009 อีกทั้งไม่ได้รับความช่วยเหลือจากภาครัฐตามที่สัญญาไว้ การทำงานของหน่วยที่เกี่ยวข้องกับภาคการท่องเที่ยว ทั้งสายการบิน และภาครัฐที่ดูแลการท่องเที่ยว ไม่ได้ทำงานร่วมกับในลักษณะบูรณาการ ซึ่งการที่ผู้ประกอบการจะอยู่รอดได้ต้องช่วยเหลือตัวเองเป็นหลัก
ทั้งนี้มองว่า การบินไทยและการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ควรร่วมมือกันแบบบูรณาการ แบบเดียวกับฮ่องกงและสิงคโปร์ แต่สำหรับบ้านเราทำได้ยากมาก การแก้ไขปัญหาภาคท่องเที่ยว จึงต้องผลักดันเป็นวาระแห่งชาติ โดยให้นายกรัฐมนตรี เข้ามามีบทบาทในการแก้ไขปัญหา
ด้านนายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศรีไทย ซุปเปอร์แวร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การเปิดเขตเสรีการค้าอาเซียน เอื้อประโยชน์อย่างมากสำหรับศรีไทย เนื่องจากบริษัทมีโรงงานที่ ประเทศเวียดนาม จีน อินโดนีเซีย และล่าสุดสร้างโรงงานที่ ประเทศอินเดีย โดยปีนี้จะตั้งระบบธุรกิจขายตรงในอินเดีย อย่างไรก็ตามการทำตลาดต่างประเทศ
สำหรับผู้ประกอบการไทยควรต้องเข้าใจถึงความต้องการของลูกค้า เช่น การทำตลาดศรีไทยบริษัทต้องรู้ว่าลูกค้าในประเทศตะวันตกต้องการที่มีฟังก์ชันการใช้งานอย่างแท้จริง แตกต่างจากในประเทศไทย ซึ่งคนต่างจังหวัดจะซื้อสินค้าตามกันเป็นหลัก
ขณะที่สุธีร์ รัตนนาคินทร์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อังกฤษตรางู (แอล.พี.) จำกัด กล่าวว่า การเข้าไปลงทุนในตลาดต่างประเทศ จะต้องมีการลงทุนอย่างต่อเนื่อง และควรดูถึงความต้องการของตลาดเป็นหลัก เพื่อปกป้องไม่ให้ธุรกิจของตนเองล้มเหลว สำหรับโอกาสในการทำตลาดในขณะนี้ ผมมองว่าประเทศเพื่อนบ้าน อย่าง ลาว เป็นตลาดที่มีศักยภาพ
เพราะคนเข้าใจภาษาไทยและสินค้าไทยเป็นอย่างดี จากการดูโฆษณาต่างๆ ทางโทรทัศน์
วานนี้(24 กันยายน 52) คณะกรรมการส่งเสริมตราสินค้าไทย หอการค้าไทย ได้จัดสัมมนาเรื่อง “อาฟต้า โอกาสและความท้าทายของแบรนด์ไทย” เพื่อรองรับกับการเปิดเขตการค้าเสรีอาเซียนหรืออาฟต้า ในปีหน้านี้ ซึ่งมีผลทำให้ภาษี 0% ส่งผลให้การแข่งขันทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศมีความรุนแรงมากขึ้น เพื่อช่วงชิงรายได้จากประชากรในภูมิภาคนี้ร่วม 550 ล้านคน
นายสมชัย สุทธิกุลพาณิช ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัทไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การเปิดเขตการค้าเสรีอาเซียนหรืออาฟต้า นับว่าเป็นโอกาสของผู้ประกอบการไทยในการขยายตลาดไปยังภูมิภาคนี้ แต่ขณะเดียวกันภาครัฐไม่ได้ให้ข้อมูลในเรื่องกฎระเบียบที่อยู่หลังม่านประตู เพราะทุกประเทศที่ผู้ประกอบการไทยจะเข้าไปทำตลาดโดยมากจะมีอุปสรรคทางด้านการค้าแทบทั้งสิ้น อาทิ การเข้าไปทำตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของเบียร์ช้าง ในประเทศมาเลเซีย สิงคโปร์ และฟิลิปปินส์ ล้วนแต่มีกำแพงภาษีเหมือนเดิมเพราะเป็นกลุ่มประเทศที่เคร่งเรื่องศาสนา
“สิ่งสำคัญที่แบรนด์ไทยจะเข้าไปทำตลาดต่างประเทศ คือ การสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักก่อน อย่างเบียร์ช้าง เราทำซีเอสอาร์แจกผ้าห่ม เพื่อสร้างแบรนด์ให้ถึงระดับรากหญ้า ในตลาดต่างประเทศเข้าไปเป็นสปอนเซอร์เสื้อทีมฟุตบอลเอฟเวอร์ตันในพรีเมียร์ลีก อย่างไรก็ตามสำหรับการเปิดเขตการค้าเสรีอาเซียนในปีหน้านี้ ไม่ได้มีผลต่อธุรกิจน้ำเมมามากนัก เพราะประเทศในอาเซียนอย่างมาเลเซียเคร่งครัดทางด้านศาสนา”
ชี้อาหารลุยตปท.เจอกำแพงเพียบ
นายธรรมศักดิ์ จิตติมาพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท กรีนสปอต จำกัด กล่าวว่า พฤติกรรมของผู้บริโภคอาเซียนนิยมดื่มนมถั่วเหลือง จึงมีโอกาสที่จะสร้างตลาดได้อีกมาก แต่ทว่าในตลาดกลับมีสินค้ามาก 20 แบรนด์ ซึ่งสำหรับปัญหาของสินค้าไทย คือ มาตรการอาหารและยาที่มีมาตรฐานแตกต่างกันระหว่างตลาดในกรุงเทพมหานครกับตลาดต่างจังหวัด รวมทั้งมาตรฐานทางด้านฮาลาล
ที่ต้องไปขอใหม่หากจะไปเปิดตลาดยังประเทศใหม่ๆ เพราะในส่วนของบริษัทได้ไปเปิดโรงงานในภูมิภาคนี้ หรือกระทั่งการจดทะเบียนสินค้าในตลาดต่างต้องใช้เวลา 6 เดือน ถึง 1 ปี และปัญหาการขนสินค้าเข้าประเทศ
“ผู้บริโภคไทยนิยมสินค้าที่มาจากต่างประเทศ ผมว่าสิ่งที่ภาครัฐควรดำเนินการ คือ ปลุกกระแสความนิยมสินค้าไทย ซื้อสินค้าไทย เพื่อสกัดสินค้าจากต่างประเทศที่จะเข้ามาทำตลาด ส่วนทำตลาดในต่างประเทศสำหรับสินค้าไทย ต้องเข้าใจพฤติกรรมของผู้บริโภคในประเทศนั้นๆ อย่างแท้จริง โดยวางโพซิชันนิ่งสินค้าที่สอดคล้องกับผู้บริโภค”
จวกท่องเที่ยวขาดการร่วมมือบูรณาการ
นายจุลจิตต์ บุณยเกตุ รองประธานกรรมการกลุ่มบริษัทคิงเพาเวอร์ กล่าวว่า กลุ่มคิงเพาเวอร์ เป็นผู้ประกอบการค้าปลอดภาษีที่ได้รับความเชื่อถือและมีเชื่อเสียงอยู่ในกลุ่ม 10 อันดับต้นๆ ของโลก แต่ที่ผ่านมาเป็นที่น่าเสียดาย ที่ธุรกิจโรงแรม และท่องเที่ยว ในช่วง 3 ปีทีผ่านมาเจอเหตุการณ์วุ่นวายมาตลอด ทั้งการปฏิวัติ ปิดสนามบิน เสื้อเหลือง เสื้อแดง
และการแพร่ระบาดของไข้หวัด 2009 อีกทั้งไม่ได้รับความช่วยเหลือจากภาครัฐตามที่สัญญาไว้ การทำงานของหน่วยที่เกี่ยวข้องกับภาคการท่องเที่ยว ทั้งสายการบิน และภาครัฐที่ดูแลการท่องเที่ยว ไม่ได้ทำงานร่วมกับในลักษณะบูรณาการ ซึ่งการที่ผู้ประกอบการจะอยู่รอดได้ต้องช่วยเหลือตัวเองเป็นหลัก
ทั้งนี้มองว่า การบินไทยและการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ควรร่วมมือกันแบบบูรณาการ แบบเดียวกับฮ่องกงและสิงคโปร์ แต่สำหรับบ้านเราทำได้ยากมาก การแก้ไขปัญหาภาคท่องเที่ยว จึงต้องผลักดันเป็นวาระแห่งชาติ โดยให้นายกรัฐมนตรี เข้ามามีบทบาทในการแก้ไขปัญหา
ด้านนายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศรีไทย ซุปเปอร์แวร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การเปิดเขตเสรีการค้าอาเซียน เอื้อประโยชน์อย่างมากสำหรับศรีไทย เนื่องจากบริษัทมีโรงงานที่ ประเทศเวียดนาม จีน อินโดนีเซีย และล่าสุดสร้างโรงงานที่ ประเทศอินเดีย โดยปีนี้จะตั้งระบบธุรกิจขายตรงในอินเดีย อย่างไรก็ตามการทำตลาดต่างประเทศ
สำหรับผู้ประกอบการไทยควรต้องเข้าใจถึงความต้องการของลูกค้า เช่น การทำตลาดศรีไทยบริษัทต้องรู้ว่าลูกค้าในประเทศตะวันตกต้องการที่มีฟังก์ชันการใช้งานอย่างแท้จริง แตกต่างจากในประเทศไทย ซึ่งคนต่างจังหวัดจะซื้อสินค้าตามกันเป็นหลัก
ขณะที่สุธีร์ รัตนนาคินทร์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อังกฤษตรางู (แอล.พี.) จำกัด กล่าวว่า การเข้าไปลงทุนในตลาดต่างประเทศ จะต้องมีการลงทุนอย่างต่อเนื่อง และควรดูถึงความต้องการของตลาดเป็นหลัก เพื่อปกป้องไม่ให้ธุรกิจของตนเองล้มเหลว สำหรับโอกาสในการทำตลาดในขณะนี้ ผมมองว่าประเทศเพื่อนบ้าน อย่าง ลาว เป็นตลาดที่มีศักยภาพ
เพราะคนเข้าใจภาษาไทยและสินค้าไทยเป็นอย่างดี จากการดูโฆษณาต่างๆ ทางโทรทัศน์