นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง กล่าวถึงการประชุม ครม.เมื่อวันที่ 22 ก.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งพรรคร่วมรัฐบาล ต่างชมเป็นเสียงเดียวกันว่า ท่านทำหน้าที่ประธานได้ดี ทำให้พรรคร่วมสบายใจ ว่า ไม่เห็นมีใครมาชมตนเลย ความจริงถ้าชมก็มาชมตรงๆ ก็ได้ ไม่มีอะไร ตนทำหน้าที่ไปตามปกติ "เขากระแนะกระแหนผมซิ ไม่ว่า "
ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการอนุมัติงบประมาณให้กระทรวงกลาโหม กว่า หมื่นล้านทั้งที่ภาวะเศรษฐกิจไม่ดี นั้น นายสุเทพ กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของการขออนุมัติงบประมาณใหม่ แต่เป็นเรื่องของงบประมาณที่ได้อนุมัติมาก่อนหน้านี้แล้ว บางโครงการอนุมัติไว้ ตั้งแต่ก่อนรัฐบาลนี้ด้วยซ้ำ โดยให้ก่อหนี้ผูกพันได้ 4 ปี เป็นต้น ซึ่งแต่ละปีก็จะค่อยๆ ตั้งงบประมาณไป เพราะบางโครงการเป็นโครงการใหญ่ งบประมาณปีเดียวไม่พอ ต้องใช้หลายปี และครั้งนี้ที่ต้องเสนอเข้าครม. เพราะกำลังจะต้องไปทำสัญญาจัดซื้อจัดจ้างในงวดนี้ของปี 2552 ซึ่งจะหมดปีงบประมาณในวันที่ 30 ก.ย.นี้ ดังนั้นก็ต้องรีบไปดำเนินการเรื่องการจัดซื้อ จัดจ้างให้เรียบร้อย จึงมาขออนุมัติ ครม. และได้มีกำหนดว่า การไปทำสัญญาหนี้ผูกพันที่มีวงเงินเกินพันล้านบาท ต้องขออนุมัติ ครม. ก็เท่านั้นเอง ไม่ได้หมายความว่า พอตนเป็นประธานประชุมครม. แล้วอนุมัติงบประมาณเป็นหมื่นล้าน
"เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของการมัดมือชก แต่ข้าราชการจะต้องปฏิบัติหน้าที่ตามที่รัฐบาลได้มอบหมายไป ซึ่งการจัดซื้อ จัดจ้าง บางอย่างเขาทำไม่ทันในเวลาปกติ ก็ต้องเร่งรัด ด้วยการจัดซื้อวิธีพิเศษ ไม่ใช่ว่าเขาต้องการจะหลีกหนี แต่บังเอิญมันใช้เวลามาก จึงมาขออนุมัติครม." นายสุเทพ กล่าว และว่าสำหรับเรื่องจำเป็นนั้นก็จำเป็น แต่จะให้มากน้อยแค่ไหน ก็เป็นดุลพินิจของรัฐบาลในแต่ละยุคสมัย ซึ่งการจัดซื้ออาวุธครั้งนี้ รัฐบาลก็พิจารณากันมาแล้วก็เห็นว่า จำเป็น
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงอนุมัติงบประมาณให้กับกองทัพ นับหมื่นล้าน ในช่วงนายกฯไม่อยู่ และใกล้สิ้นปีงบประมาณ ว่า ถ้าจำไม่ผิด เป็นเรื่องกรณีงบผูกพัน ซึ่งความจริงแล้วสิ่งที่เราขอไว้คือ ทุกปีก่อนหน้านี้ มักจะเข้ามาเป็นวาระจร แต่ปีนี้ตนขอให้ส่งมาก่อน ฉะนั้นจำได้ว่า สัปดาห์ที่แล้วได้ดูแล้วว่าส่งมาไม่ทัน กระทรวงอื่นส่งมาก่อน ก็เลยเข้าไปเป็นวาระปกติได้ กระทรวงกลาโหมเข้าไม่ทัน จึงเซ็นต์ให้เข้าสัปดาห์นี้ เมื่อถามว่าจะถูกมองว่าเป็นการตอบแทนกองทัพที่ดูแลรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมาหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เป็นโครงการที่อนุมัติมาก่อนแล้ว เป็นการผูกพันข้ามปี เท่าที่จำไม่ผิดมี 2 เรื่อง
ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการอนุมัติงบประมาณให้กระทรวงกลาโหม กว่า หมื่นล้านทั้งที่ภาวะเศรษฐกิจไม่ดี นั้น นายสุเทพ กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของการขออนุมัติงบประมาณใหม่ แต่เป็นเรื่องของงบประมาณที่ได้อนุมัติมาก่อนหน้านี้แล้ว บางโครงการอนุมัติไว้ ตั้งแต่ก่อนรัฐบาลนี้ด้วยซ้ำ โดยให้ก่อหนี้ผูกพันได้ 4 ปี เป็นต้น ซึ่งแต่ละปีก็จะค่อยๆ ตั้งงบประมาณไป เพราะบางโครงการเป็นโครงการใหญ่ งบประมาณปีเดียวไม่พอ ต้องใช้หลายปี และครั้งนี้ที่ต้องเสนอเข้าครม. เพราะกำลังจะต้องไปทำสัญญาจัดซื้อจัดจ้างในงวดนี้ของปี 2552 ซึ่งจะหมดปีงบประมาณในวันที่ 30 ก.ย.นี้ ดังนั้นก็ต้องรีบไปดำเนินการเรื่องการจัดซื้อ จัดจ้างให้เรียบร้อย จึงมาขออนุมัติ ครม. และได้มีกำหนดว่า การไปทำสัญญาหนี้ผูกพันที่มีวงเงินเกินพันล้านบาท ต้องขออนุมัติ ครม. ก็เท่านั้นเอง ไม่ได้หมายความว่า พอตนเป็นประธานประชุมครม. แล้วอนุมัติงบประมาณเป็นหมื่นล้าน
"เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของการมัดมือชก แต่ข้าราชการจะต้องปฏิบัติหน้าที่ตามที่รัฐบาลได้มอบหมายไป ซึ่งการจัดซื้อ จัดจ้าง บางอย่างเขาทำไม่ทันในเวลาปกติ ก็ต้องเร่งรัด ด้วยการจัดซื้อวิธีพิเศษ ไม่ใช่ว่าเขาต้องการจะหลีกหนี แต่บังเอิญมันใช้เวลามาก จึงมาขออนุมัติครม." นายสุเทพ กล่าว และว่าสำหรับเรื่องจำเป็นนั้นก็จำเป็น แต่จะให้มากน้อยแค่ไหน ก็เป็นดุลพินิจของรัฐบาลในแต่ละยุคสมัย ซึ่งการจัดซื้ออาวุธครั้งนี้ รัฐบาลก็พิจารณากันมาแล้วก็เห็นว่า จำเป็น
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงอนุมัติงบประมาณให้กับกองทัพ นับหมื่นล้าน ในช่วงนายกฯไม่อยู่ และใกล้สิ้นปีงบประมาณ ว่า ถ้าจำไม่ผิด เป็นเรื่องกรณีงบผูกพัน ซึ่งความจริงแล้วสิ่งที่เราขอไว้คือ ทุกปีก่อนหน้านี้ มักจะเข้ามาเป็นวาระจร แต่ปีนี้ตนขอให้ส่งมาก่อน ฉะนั้นจำได้ว่า สัปดาห์ที่แล้วได้ดูแล้วว่าส่งมาไม่ทัน กระทรวงอื่นส่งมาก่อน ก็เลยเข้าไปเป็นวาระปกติได้ กระทรวงกลาโหมเข้าไม่ทัน จึงเซ็นต์ให้เข้าสัปดาห์นี้ เมื่อถามว่าจะถูกมองว่าเป็นการตอบแทนกองทัพที่ดูแลรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมาหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เป็นโครงการที่อนุมัติมาก่อนแล้ว เป็นการผูกพันข้ามปี เท่าที่จำไม่ผิดมี 2 เรื่อง
