ASTVผู้จัดการรายวัน – แอตต้าเชื่อผลชี้ขาดกฤษฎีกาที่ตีความนักท่องเที่ยวต่างชาติ ต้องผ่านพิธีตรวจคนเข้าเมืองทุกกรณี ไม่กระทบโครงการทรานซิต พาสเซนเจอร์ ระบุ สมาคมฯได้จัดเจ้าหน้าที่คอยให้ความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว คุย 3 เดือนที่เปิดให้บริการยอดโตต่อเนื่อง
รายงานข่าวจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า จากกรณีที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติและกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้ส่งหนังสือถึงคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อขอให้ตีความ กรณีที่ คณะรัฐมนตรีมีมติ เห็นชอบและอนุมัติในหลักการให้ดำเนินโครงการสร้างรายได้จากนักท่องเที่ยวที่เดินทางระหว่างประเทศ โดยแวะเปลี่ยนเครื่องบินโดยสารที่ประเทศไทย หรือโครงการ”ทรานซิต พาสเซนเจอร์” เมื่อวันที่ 3 ก.พ. 52 โดยอนุญาตให้นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ประสงค์จะออกมาเดินทางท่องเที่ยวประเทศไทยช่วงระหว่างรอเปลี่ยนเครื่องบิน ให้สามารถทำได้โดยไม่ต้องผ่านพิธีตรวจคนเข้าเมือง แต่เป็นระบบคล้าย ฟาสแทรก นั้น สามารถทำได้หรือไม่อย่างไร
ล่าสุดกฤษฎีกาได้ตีความตามข้อกฎหมาย พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 17 ระบุว่า นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ประสงค์จะเข้ามาเดินทางท่องเที่ยวประเทศไทยในโครงการ ทรานซิต พาสเซนเจอร์ ไม่สามารถได้สิทธิพิเศษใดๆ ทั้งสิ้น โดยทุกคนจำเป็นต้องผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมือง อีกทั้งต้องยื่นรายการบุคคล ไม่สามารถยกเว้นได้
แต่เรื่องยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่าให้สามารถทำได้ตามมติคณะรัฐมนตรี
จากคำตีความดังกล่าว นายสุรพล ศรีตระกูล นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว(แอตต้า) ผู้รับมอบให้ดำเนินการในโครงการทรานซิต พาสเซนเจอร์ กล่าวว่า แม้ผลการตีความของคณะกรรมการกฤษฎีกาจะระบุไว้ดังกล่าวข้างต้น เชื่อว่าจะไม่กระทบต่อการตัดสินใจเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวประเทศไทยในโครงการทรานซิตพาสเซนเจอร์นี้
เพราะแอตต้าได้จัดเจ้าหน้าที่คอยให้ความช่วยเหลือนักท่องเที่ยวในจุดสำคัญๆที่สนามบินอยู่แล้วเพื่อให้นักท่องเที่ยวสามารถออกจากสนามบินได้รวดเร็วที่สุด จะได้ใช้เวลาท่องเที่ยวในประเทศไทยได้คุ้มค่า ซึ่งที่ผ่านมา จำนวนนักท่องเที่ยวแวะเปลี่ยนเครื่อง ที่สนใจใช้เวลาที่รอเปลี่ยนเครื่องเข้า มาเที่ยวประเทศไทยจำนวนมากขึ้นทุกเดือน
ทั้งนี้เฉพาะเดือนสิงหาคม 52 มีชาวต่างชาติที่รอเปลี่ยนเครื่องบินสนามบินสุวรรณภูมิ แล้วเข้ามาเที่ยวประเทศไทย จำนวน 586 คน เพิ่มขึ้น 10.77% จากเดือนกรกฎาคม 52 หากคิดรวม 3 เดือนที่เริ่มดำเนินการ มีชาวต่างชาติเข้ามาใช้บริการแล้ว 1,414 คน
รายงานข่าวจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า จากกรณีที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติและกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้ส่งหนังสือถึงคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อขอให้ตีความ กรณีที่ คณะรัฐมนตรีมีมติ เห็นชอบและอนุมัติในหลักการให้ดำเนินโครงการสร้างรายได้จากนักท่องเที่ยวที่เดินทางระหว่างประเทศ โดยแวะเปลี่ยนเครื่องบินโดยสารที่ประเทศไทย หรือโครงการ”ทรานซิต พาสเซนเจอร์” เมื่อวันที่ 3 ก.พ. 52 โดยอนุญาตให้นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ประสงค์จะออกมาเดินทางท่องเที่ยวประเทศไทยช่วงระหว่างรอเปลี่ยนเครื่องบิน ให้สามารถทำได้โดยไม่ต้องผ่านพิธีตรวจคนเข้าเมือง แต่เป็นระบบคล้าย ฟาสแทรก นั้น สามารถทำได้หรือไม่อย่างไร
ล่าสุดกฤษฎีกาได้ตีความตามข้อกฎหมาย พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 17 ระบุว่า นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ประสงค์จะเข้ามาเดินทางท่องเที่ยวประเทศไทยในโครงการ ทรานซิต พาสเซนเจอร์ ไม่สามารถได้สิทธิพิเศษใดๆ ทั้งสิ้น โดยทุกคนจำเป็นต้องผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมือง อีกทั้งต้องยื่นรายการบุคคล ไม่สามารถยกเว้นได้
แต่เรื่องยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่าให้สามารถทำได้ตามมติคณะรัฐมนตรี
จากคำตีความดังกล่าว นายสุรพล ศรีตระกูล นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว(แอตต้า) ผู้รับมอบให้ดำเนินการในโครงการทรานซิต พาสเซนเจอร์ กล่าวว่า แม้ผลการตีความของคณะกรรมการกฤษฎีกาจะระบุไว้ดังกล่าวข้างต้น เชื่อว่าจะไม่กระทบต่อการตัดสินใจเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวประเทศไทยในโครงการทรานซิตพาสเซนเจอร์นี้
เพราะแอตต้าได้จัดเจ้าหน้าที่คอยให้ความช่วยเหลือนักท่องเที่ยวในจุดสำคัญๆที่สนามบินอยู่แล้วเพื่อให้นักท่องเที่ยวสามารถออกจากสนามบินได้รวดเร็วที่สุด จะได้ใช้เวลาท่องเที่ยวในประเทศไทยได้คุ้มค่า ซึ่งที่ผ่านมา จำนวนนักท่องเที่ยวแวะเปลี่ยนเครื่อง ที่สนใจใช้เวลาที่รอเปลี่ยนเครื่องเข้า มาเที่ยวประเทศไทยจำนวนมากขึ้นทุกเดือน
ทั้งนี้เฉพาะเดือนสิงหาคม 52 มีชาวต่างชาติที่รอเปลี่ยนเครื่องบินสนามบินสุวรรณภูมิ แล้วเข้ามาเที่ยวประเทศไทย จำนวน 586 คน เพิ่มขึ้น 10.77% จากเดือนกรกฎาคม 52 หากคิดรวม 3 เดือนที่เริ่มดำเนินการ มีชาวต่างชาติเข้ามาใช้บริการแล้ว 1,414 คน