“คุณสนธิจะเป็นอะไรไหม ทำไมต้องเป็นแบบนี้...”
บ่ายวันศุกร์ที่ 11 กันยายน 2552 มีโทรศัพท์จากผู้ใหญ่ที่สนับสนุนการต่อสู้ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอย่างเงียบ ๆ มาโดยตลอดมาถึงผมหลายสาย ส่วนใหญ่จะแสดงความห่วงใยคุณสนธิ ลิ้มทองกุลที่ต้องคำพิพากษาศาลอาญาและศาลอุทธรณ์ให้จำคุก 2 วันติดต่อกัน หนึ่งในผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเสียงสั่นเครือตลอด
“ถ้าเป็นคนดีแล้วต้องโดนอย่างนี้ ต่อไปอย่าเป็นคนดีมันเลยดีไหม...”
ท่านคงไม่ได้หมายความอย่างนั้น แต่บางครั้งความเจ็บปวดที่พบเห็นอยุติธรรมในบ้านนี้เมืองนี้มาโดยตลอดทำให้ต้องระบายออกมาบ้าง
ในอารมณ์ขณะนั้น ผมเองก็อึดอัดไม่แพ้กัน ก็ได้แต่บอกท่านไปว่าอย่าได้เป็นห่วงคุณสนธิเลย คน ๆ นี้กระทั่งห่ากระสุนยังทำอะไรไม่ได้ นับประสาอะไรกับการจ่อจะติดคุกติดตาราง ขอให้ท่านยืนหยัดอยู่กับความเชื่อมั่นศรัทธาในการต่อสู้ของคุณสนธิต่อไปดีกว่า ว่าแล้วก็เล่าถึงตัวเองว่าครั้งหนึ่งก็เคยท้อถอยสุด ๆ เหมือนกัน แต่ก็เป็นคุณสนธิคนนี้แหละที่มองเห็นและรีบส่ง SMS เข้ามาเตือนสติผมในเกือบจะทันทีว่า...
“Relax, Things are not as simple as they appeared. Have faith.”
การณ์ครั้งนั้นเกิดขึ้นเมื่อบ่ายวันศุกร์ที่ 21 กรกฎาคม 2549 เป็นวันที่ผมได้ตระหนักชัดในพลังแห่งความศรัทธา พลังแห่งความเชื่อมั่น และพลานุภาพในการเป็นผู้นำมวลชน ของผู้ชายที่ชื่อสนธิ ลิ้มทองกุลคนที่ยืนจ่อประตูคุกตารางอยู่วันนี้ ขออนุญาตไม่เล่ารายละเอียด เพราะไม่ใช่สาระสำคัญที่จะสื่อ ณ ที่นี้ และผมได้เขียนไว้หมดแล้วในหนังสือ “ปรากฏการณ์สนธิ : จากเสื้อสีเหลืองถึงผ้าพันคอสีฟ้า” บทที่ 2
คำพิพากษาทยอยออกมาช่วงนี้พิสูจน์ให้เห็นว่ากระบวนการยุติธรรมของบ้านเราไม่ได้เป็น 2 มาตรฐานอย่างที่นักโทษหนีคำพิพากษาบางคนและลิ่วล้อชอบกล่าวอ้าง
คำพิพากษาเหล่านี้ โดยเฉพาะคดีที่เป็นคำตัดสินของศาลอุทธรณ์ เป็นคดีที่เกิดขึ้นเมื่อปลายปี 2548 ช่วงที่คุณสนธิลุกขึ้นสู้หมาด ๆ ไม่ใช่ว่าไม่รู้ว่าจะเจออย่างนี้ รู้ และรู้มากกว่าที่ปรากฏเสียด้วยว่ากระบวนการฟ้องคดี บริหารจัดการคดี ถูกวางไว้เพื่อปิดปากเขาไว้ในคุกตาราง ความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณานั้นเป็นของแสลงของคนทำงานสื่อมวลชนที่มุ่งเปิดโปงความชั่วร้ายฉ้อฉลในสังคมอย่างชาวเราต้องเผชิญมาโดยตลอดอยู่แล้ว ในสถานการณ์ใหม่เมื่อปี 2548 ที่สื่อมวลชนคนหนึ่งลุกขึ้นวิ่งชนกำแพงระบอบทักษิณประกาศตายเป็นตายเจ๊งเป็นเจ๊งแล้วเริ่มนำมวลชน การเปิดโปงภยันตรายต่อสถาบันกษัตริย์และชาติบ้านเมืองจึงยกระดับไปสู้สถานการณ์สู้รบ จะระแวดระวังคำพูดข้อเขียนอ้อมไปอ้อมมาเหมือนในสถานการณ์ปกติจึงเป็นไปไม่ได้ ช่องโหว่ช่องว่างให้จับผิดฟ้องคดีจึงเกิดขึ้น
ความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณานี้ ยิ่งพูดจริง ยิ่งผิด เพราะความเป็นคดีอาญาในศาลอาญาที่ใช้กระบวนการพิจารณาในระบบกล่าวหาภาระในการหาหลักฐานมาพิสูจน์ความจริงนั้นตกอยู่กับฝ่ายผู้พูดที่ถูกฟ้อง ขณะที่คนชั่วช้าสารเลวที่กุมอำนาจรัฐอำนาจเงินไม่ได้โง่ที่จะทิ้งหลักฐานไว้ให้ตามได้ง่าย ๆ
คอมมิวนิสต์หงฉีที่ไหนมันจะโง่ทิ้งหลักฐานว่าเป็นผู้สนับสนุนเงินการทำเว็บไซต์หมิ่นพ่อหลวงที่มีฐานอยู่ในสวีเดนเล่า แต่คนทำงานความมั่นคงที่ไม่ขายชาติขายจิตวิญญาณทุกคนก็รู้ว่าสวีเดนเป็นฐานใหญ่ของคนไทยหัวใจสีแดงบางคนบางกลุ่มที่ต่อต้านสถาบันมานานแล้ว
ถ้าเป็นคนอย่างผมก็คงพูดแค่นี้ ปล่อยให้คิดกันเอง ตามกันเอง แล้วก็อาจจะงงกันเองต่อไป
แต่คุณสนธิไม่ใช่คนอย่างผม คุณสนธิที่พร้อมจะตายเป็นตายเจ๊งเป็นเจ๊ง เผาแบงก์ 500 มองหาเหรียญบาท แอ่นอกรับมีดแทนเพื่อน และ ฯลฯ ย่อมจะต้องพูดตรงไปตรงมา ไม่เกรงอ้ายอีหน้าไหน ไม่ว่าอ้ายอีหน้านั้นจะเป็นคอมมิวนิสต์เก่าที่ได้ดิบได้ดีมานั่งเก้าอี้รัฐมนตรีในฐานะคนสนิทของหัวหน้าพรรคที่พวกเขาฝันหนักฝันหนาว่านี่เป็นการผนึกกำลังครั้งประวัติศาสตร์อันจะนำไปสู่การแก้ตัวครั้งสำคัญจากที่แพ้ป่าราบป่าแตกมาเมื่อ 30 ปีก่อน
การเปิดโปงพันธมิตรทุนสามานย์สันถวะกับคอมมิวนิสต์อารมณ์ค้างของคุณสนธิที่เปิดศักราชเมื่อปลายปี 2548 เป็นของใหม่ หลายคนเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่วันนี้เหตุการณ์คลี่คลายมาจอนล่อนจ้อนกันหมดแล้ว แม้ในขบวนของคนเสื้อแดงก็แฉกันเอง
นั่นคือที่มาของคดีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำคุก 6 เดือนโดยไม่รอลงอาญา
แต่ก็ไม่ต้องห่วงมากเกินไป ไม่ใช่เพียงเพราะกว่าคดีจะถึงที่สุดก็อีกนานนับหลายเดือน หรืออาจเป็นปี แต่เพราะต่อให้ศาลฎีกาพิพากษาจำคุกในที่สุดไม่ว่าในคดีนี้หรือคดีอื่น ๆ ที่อาจจะมานับโทษรวมกัน ก็ไม่อาจบั่นทอนหัวใจสู้รบของจำเลยคนนี้ได้
การให้สัมภาษณ์ที่เชิงบันไดศาลหลังรับทราบคำพิพากษาคือความองอาจอีกครั้งหนึ่งของผู้ชายแห่งยุคที่ชื่อสนธิ ลิ้มทองกุลคนนี้
ถ้าจะต้องคิดคุก ก็จะเดินเชิดหน้าเข้าสู่คุกอย่างไม่ประหวั่น ไม่หนี ไม่ตีโพยตีพาย ไม่โทษศาล ไม่โทษระบบกฎหมาย แต่จะน้อมรับคำพิพากษาเพื่อแสดงให้เห็นว่าศาลยุติธรรมและกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทยเป็นที่พึ่งสุดท้ายของประชาชนเสมอ ขอให้ผู้คนร่วมขบวนร่วมแนวความคิดจงยืนหยัดต่อไป จงเชื่อมั่น จงศรัทธา และอย่าท้อถอย ขอให้ได้ตระหนักว่านับตั้งแต่ปี 2548 พวกเราเดินมาไกลมากแล้ว ไกลจนศัตรูไม่รู้จะหยุดอย่างไร ฟ้องก็ไม่กลัว ตายหนึ่งลุกขึ้นมาอีกสิบ สนธิกำลังเข้ารุมสังหารหัวขบวนก็ไม่อาจฝ่ากำแพงลิขิตฟ้าปาฎิหาริย์แผ่นดิน
การให้สัมภาษณ์ครั้งนี้ผมฟังแล้วยังน้ำตาซึม พลังชีวิตในตัวฟื้นขึ้นมาทันที
นี่คือพลานุภาพในการเข้าถึงหัวใจมวลชนของผู้นำมวลชนคนนี้ที่ไม่ได้ถดถอยไปตามกาลเวลาเลยแม้แต่น้อย
นี่คือการพิสูจน์อีกครั้งใน “ขนาดของหัวใจ” ของผู้ชายคนนี้ที่ยากจะหาใครเทียบ
ผู้ชายคนนี้ที่ผมนับถือว่าเป็นทั้งพี่ ครู และนาย แม้ชะตาชีวิตจะลิขิตให้ผมต้องมาทำงานในระบบ แต่ก็ไม่เคยละทิ้งความเชื่อมั่นความศรัทธาที่มีให้ เรามีเป้าหมายสูงสุดเดียวกัน ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ปฏิรูปการเมือง และปฏิรูปทิศทางการพัฒนาประเทศ ถ้าต้องคดีใหม่อีก ผมก็จะไปใช้ตำแหน่งประกันให้อีก แม้วงเงินประกันในตำแหน่งจะหมด ก็เชื่อว่าจะมีเพื่อนตำแหน่งเดียวกับผมหลายคนเข้าคิวขอน้อมรับเกียรติในการได้ใช้ตำแหน่งประกันตัวให้ เพราะพูดจากหัวใจแล้ว เหรียญตราและสายสะพายที่ผมมีไม่อาจเปรียบเทียบได้กับรางวัลเกียรติยศในความเป็นนักสู้ในเสื้อสีเหลืองผ้าพันคอสีฟ้าของผู้ชายคนนี้ได้
และถ้าคุณสนธิต้องติดคุกในวันข้างหน้า ผมเชื่อโดยบริสุทธิ์ว่าจะเกิด “ปรากฏการณ์สนธิ” อีกครั้ง
ไม่ใช่ปรากฏการณ์ของคนไร้สติที่จะไปทำลายใคร แต่จะเป็นปรากฏการณ์ของมวลชนมีสติที่รักผู้นำของเขาไปรวมตัวกันเยี่ยม ให้กำลังใจ ตั้งแคมป์ผลัดเปลี่ยนกันประจำการหน้าประตูคุกตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้ายที่ผู้นำของเขาโดนทัณฑ์ ขณะที่ผู้หลักผู้ใหญ่ที่มีตำแหน่งหน้าที่จะกระทำทุกทางเพื่อปกป้องภยันตรายในคุก
นี่จะเป็นปรากฏการณ์แรกที่จะจุดชนวนเป็นปฏิกิริยาต่อเนื่องไปสู่การเกิดต่อกันไปของปรากฏการณ์อื่น
“Relax, Things are not as simple as they appeared. Have faith.”
บ่ายวันศุกร์ที่ 11 กันยายน 2552 มีโทรศัพท์จากผู้ใหญ่ที่สนับสนุนการต่อสู้ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอย่างเงียบ ๆ มาโดยตลอดมาถึงผมหลายสาย ส่วนใหญ่จะแสดงความห่วงใยคุณสนธิ ลิ้มทองกุลที่ต้องคำพิพากษาศาลอาญาและศาลอุทธรณ์ให้จำคุก 2 วันติดต่อกัน หนึ่งในผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเสียงสั่นเครือตลอด
“ถ้าเป็นคนดีแล้วต้องโดนอย่างนี้ ต่อไปอย่าเป็นคนดีมันเลยดีไหม...”
ท่านคงไม่ได้หมายความอย่างนั้น แต่บางครั้งความเจ็บปวดที่พบเห็นอยุติธรรมในบ้านนี้เมืองนี้มาโดยตลอดทำให้ต้องระบายออกมาบ้าง
ในอารมณ์ขณะนั้น ผมเองก็อึดอัดไม่แพ้กัน ก็ได้แต่บอกท่านไปว่าอย่าได้เป็นห่วงคุณสนธิเลย คน ๆ นี้กระทั่งห่ากระสุนยังทำอะไรไม่ได้ นับประสาอะไรกับการจ่อจะติดคุกติดตาราง ขอให้ท่านยืนหยัดอยู่กับความเชื่อมั่นศรัทธาในการต่อสู้ของคุณสนธิต่อไปดีกว่า ว่าแล้วก็เล่าถึงตัวเองว่าครั้งหนึ่งก็เคยท้อถอยสุด ๆ เหมือนกัน แต่ก็เป็นคุณสนธิคนนี้แหละที่มองเห็นและรีบส่ง SMS เข้ามาเตือนสติผมในเกือบจะทันทีว่า...
“Relax, Things are not as simple as they appeared. Have faith.”
การณ์ครั้งนั้นเกิดขึ้นเมื่อบ่ายวันศุกร์ที่ 21 กรกฎาคม 2549 เป็นวันที่ผมได้ตระหนักชัดในพลังแห่งความศรัทธา พลังแห่งความเชื่อมั่น และพลานุภาพในการเป็นผู้นำมวลชน ของผู้ชายที่ชื่อสนธิ ลิ้มทองกุลคนที่ยืนจ่อประตูคุกตารางอยู่วันนี้ ขออนุญาตไม่เล่ารายละเอียด เพราะไม่ใช่สาระสำคัญที่จะสื่อ ณ ที่นี้ และผมได้เขียนไว้หมดแล้วในหนังสือ “ปรากฏการณ์สนธิ : จากเสื้อสีเหลืองถึงผ้าพันคอสีฟ้า” บทที่ 2
คำพิพากษาทยอยออกมาช่วงนี้พิสูจน์ให้เห็นว่ากระบวนการยุติธรรมของบ้านเราไม่ได้เป็น 2 มาตรฐานอย่างที่นักโทษหนีคำพิพากษาบางคนและลิ่วล้อชอบกล่าวอ้าง
คำพิพากษาเหล่านี้ โดยเฉพาะคดีที่เป็นคำตัดสินของศาลอุทธรณ์ เป็นคดีที่เกิดขึ้นเมื่อปลายปี 2548 ช่วงที่คุณสนธิลุกขึ้นสู้หมาด ๆ ไม่ใช่ว่าไม่รู้ว่าจะเจออย่างนี้ รู้ และรู้มากกว่าที่ปรากฏเสียด้วยว่ากระบวนการฟ้องคดี บริหารจัดการคดี ถูกวางไว้เพื่อปิดปากเขาไว้ในคุกตาราง ความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณานั้นเป็นของแสลงของคนทำงานสื่อมวลชนที่มุ่งเปิดโปงความชั่วร้ายฉ้อฉลในสังคมอย่างชาวเราต้องเผชิญมาโดยตลอดอยู่แล้ว ในสถานการณ์ใหม่เมื่อปี 2548 ที่สื่อมวลชนคนหนึ่งลุกขึ้นวิ่งชนกำแพงระบอบทักษิณประกาศตายเป็นตายเจ๊งเป็นเจ๊งแล้วเริ่มนำมวลชน การเปิดโปงภยันตรายต่อสถาบันกษัตริย์และชาติบ้านเมืองจึงยกระดับไปสู้สถานการณ์สู้รบ จะระแวดระวังคำพูดข้อเขียนอ้อมไปอ้อมมาเหมือนในสถานการณ์ปกติจึงเป็นไปไม่ได้ ช่องโหว่ช่องว่างให้จับผิดฟ้องคดีจึงเกิดขึ้น
ความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณานี้ ยิ่งพูดจริง ยิ่งผิด เพราะความเป็นคดีอาญาในศาลอาญาที่ใช้กระบวนการพิจารณาในระบบกล่าวหาภาระในการหาหลักฐานมาพิสูจน์ความจริงนั้นตกอยู่กับฝ่ายผู้พูดที่ถูกฟ้อง ขณะที่คนชั่วช้าสารเลวที่กุมอำนาจรัฐอำนาจเงินไม่ได้โง่ที่จะทิ้งหลักฐานไว้ให้ตามได้ง่าย ๆ
คอมมิวนิสต์หงฉีที่ไหนมันจะโง่ทิ้งหลักฐานว่าเป็นผู้สนับสนุนเงินการทำเว็บไซต์หมิ่นพ่อหลวงที่มีฐานอยู่ในสวีเดนเล่า แต่คนทำงานความมั่นคงที่ไม่ขายชาติขายจิตวิญญาณทุกคนก็รู้ว่าสวีเดนเป็นฐานใหญ่ของคนไทยหัวใจสีแดงบางคนบางกลุ่มที่ต่อต้านสถาบันมานานแล้ว
ถ้าเป็นคนอย่างผมก็คงพูดแค่นี้ ปล่อยให้คิดกันเอง ตามกันเอง แล้วก็อาจจะงงกันเองต่อไป
แต่คุณสนธิไม่ใช่คนอย่างผม คุณสนธิที่พร้อมจะตายเป็นตายเจ๊งเป็นเจ๊ง เผาแบงก์ 500 มองหาเหรียญบาท แอ่นอกรับมีดแทนเพื่อน และ ฯลฯ ย่อมจะต้องพูดตรงไปตรงมา ไม่เกรงอ้ายอีหน้าไหน ไม่ว่าอ้ายอีหน้านั้นจะเป็นคอมมิวนิสต์เก่าที่ได้ดิบได้ดีมานั่งเก้าอี้รัฐมนตรีในฐานะคนสนิทของหัวหน้าพรรคที่พวกเขาฝันหนักฝันหนาว่านี่เป็นการผนึกกำลังครั้งประวัติศาสตร์อันจะนำไปสู่การแก้ตัวครั้งสำคัญจากที่แพ้ป่าราบป่าแตกมาเมื่อ 30 ปีก่อน
การเปิดโปงพันธมิตรทุนสามานย์สันถวะกับคอมมิวนิสต์อารมณ์ค้างของคุณสนธิที่เปิดศักราชเมื่อปลายปี 2548 เป็นของใหม่ หลายคนเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่วันนี้เหตุการณ์คลี่คลายมาจอนล่อนจ้อนกันหมดแล้ว แม้ในขบวนของคนเสื้อแดงก็แฉกันเอง
นั่นคือที่มาของคดีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำคุก 6 เดือนโดยไม่รอลงอาญา
แต่ก็ไม่ต้องห่วงมากเกินไป ไม่ใช่เพียงเพราะกว่าคดีจะถึงที่สุดก็อีกนานนับหลายเดือน หรืออาจเป็นปี แต่เพราะต่อให้ศาลฎีกาพิพากษาจำคุกในที่สุดไม่ว่าในคดีนี้หรือคดีอื่น ๆ ที่อาจจะมานับโทษรวมกัน ก็ไม่อาจบั่นทอนหัวใจสู้รบของจำเลยคนนี้ได้
การให้สัมภาษณ์ที่เชิงบันไดศาลหลังรับทราบคำพิพากษาคือความองอาจอีกครั้งหนึ่งของผู้ชายแห่งยุคที่ชื่อสนธิ ลิ้มทองกุลคนนี้
ถ้าจะต้องคิดคุก ก็จะเดินเชิดหน้าเข้าสู่คุกอย่างไม่ประหวั่น ไม่หนี ไม่ตีโพยตีพาย ไม่โทษศาล ไม่โทษระบบกฎหมาย แต่จะน้อมรับคำพิพากษาเพื่อแสดงให้เห็นว่าศาลยุติธรรมและกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทยเป็นที่พึ่งสุดท้ายของประชาชนเสมอ ขอให้ผู้คนร่วมขบวนร่วมแนวความคิดจงยืนหยัดต่อไป จงเชื่อมั่น จงศรัทธา และอย่าท้อถอย ขอให้ได้ตระหนักว่านับตั้งแต่ปี 2548 พวกเราเดินมาไกลมากแล้ว ไกลจนศัตรูไม่รู้จะหยุดอย่างไร ฟ้องก็ไม่กลัว ตายหนึ่งลุกขึ้นมาอีกสิบ สนธิกำลังเข้ารุมสังหารหัวขบวนก็ไม่อาจฝ่ากำแพงลิขิตฟ้าปาฎิหาริย์แผ่นดิน
การให้สัมภาษณ์ครั้งนี้ผมฟังแล้วยังน้ำตาซึม พลังชีวิตในตัวฟื้นขึ้นมาทันที
นี่คือพลานุภาพในการเข้าถึงหัวใจมวลชนของผู้นำมวลชนคนนี้ที่ไม่ได้ถดถอยไปตามกาลเวลาเลยแม้แต่น้อย
นี่คือการพิสูจน์อีกครั้งใน “ขนาดของหัวใจ” ของผู้ชายคนนี้ที่ยากจะหาใครเทียบ
ผู้ชายคนนี้ที่ผมนับถือว่าเป็นทั้งพี่ ครู และนาย แม้ชะตาชีวิตจะลิขิตให้ผมต้องมาทำงานในระบบ แต่ก็ไม่เคยละทิ้งความเชื่อมั่นความศรัทธาที่มีให้ เรามีเป้าหมายสูงสุดเดียวกัน ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ปฏิรูปการเมือง และปฏิรูปทิศทางการพัฒนาประเทศ ถ้าต้องคดีใหม่อีก ผมก็จะไปใช้ตำแหน่งประกันให้อีก แม้วงเงินประกันในตำแหน่งจะหมด ก็เชื่อว่าจะมีเพื่อนตำแหน่งเดียวกับผมหลายคนเข้าคิวขอน้อมรับเกียรติในการได้ใช้ตำแหน่งประกันตัวให้ เพราะพูดจากหัวใจแล้ว เหรียญตราและสายสะพายที่ผมมีไม่อาจเปรียบเทียบได้กับรางวัลเกียรติยศในความเป็นนักสู้ในเสื้อสีเหลืองผ้าพันคอสีฟ้าของผู้ชายคนนี้ได้
และถ้าคุณสนธิต้องติดคุกในวันข้างหน้า ผมเชื่อโดยบริสุทธิ์ว่าจะเกิด “ปรากฏการณ์สนธิ” อีกครั้ง
ไม่ใช่ปรากฏการณ์ของคนไร้สติที่จะไปทำลายใคร แต่จะเป็นปรากฏการณ์ของมวลชนมีสติที่รักผู้นำของเขาไปรวมตัวกันเยี่ยม ให้กำลังใจ ตั้งแคมป์ผลัดเปลี่ยนกันประจำการหน้าประตูคุกตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้ายที่ผู้นำของเขาโดนทัณฑ์ ขณะที่ผู้หลักผู้ใหญ่ที่มีตำแหน่งหน้าที่จะกระทำทุกทางเพื่อปกป้องภยันตรายในคุก
นี่จะเป็นปรากฏการณ์แรกที่จะจุดชนวนเป็นปฏิกิริยาต่อเนื่องไปสู่การเกิดต่อกันไปของปรากฏการณ์อื่น
“Relax, Things are not as simple as they appeared. Have faith.”