เดลิเมล์ - ผู้เชี่ยวชาญแย้มเคล็ดลับชีวิตแต่งงานสุขสม แยกเตียงกันนอน เพราะไม่เพียงหลีกเลี่ยงการเถียงกันเรื่องไม่เป็นเรื่องอย่างการนอนดิ้นหรือนอนกรน แต่ยังทำให้นอนหลับได้เต็มอิ่ม ส่งผลดีต่อสุขภาพทั้งกายและใจ ไล่ไปถึงความสัมพันธ์
ดร.นีล สแตนลีย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนจากมหาวิทยาลัยเซอร์เรย์ อังกฤษ สำทับว่าในทางกลับกัน การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอส่งผลลบต่อสุขภาพร่างกาย จิตใจและอารมณ์ เพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจ หลอดเลือดสมอง และการหย่าร้าง
"ถ้าคุณทั้งคู่นอนหลับสนิทก็ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงอะไร"
แต่หากสามีหรือภรรยานอนกรน ลำพังการแยกเตียงไม่ใช่ทางออก แต่ควรแยกห้องกันนอนโดยเด็ดขาด ดร.สแตนลีย์ที่ในชีวิตจริงก็แยกห้องนอนกับภรรยา แนะนำและเท้าความว่า การนอนร่วมเตียงระหว่างสามีภรรยาเริ่มต้นขึ้นในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม เมื่อคนจำนวนมากย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองและพบว่าพื้นที่อาศัยแคบลง
ก่อนยุควิกตอเรีย เป็นเรื่องปกติที่สามีภรรยาจะแยกกันนอน ปัจจุบันคู่แต่งงานอังกฤษนอนเตียงเดี่ยวขนาด 4 ฟุต 6 นิ้ว หรือ 3 ฟุต หรือมีพื้นที่การนอนน้อยกว่าลูก 9 นิ้ว
"แล้วคุณยังมีใครอีกคนนอนข้างๆ คนที่กรนสนั่น หรือไม่ก็นอนดิ้น ชอบลุกไปเข้าห้องน้ำกลางดึก ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคุณจะนอนได้ไม่เต็มอิ่ม
"และการนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอเพิ่มความเสี่ยงของโรคซึมเศร้า โรคหัวใจ หลอดเลือดสมอง ระบบหายใจล้มเหลว รวมถึงความเสี่ยงในการหย่าร้างและฆ่าตัวตาย"
การศึกษากลุ่มตัวอย่างขนาดใหญ่โดยนักวิจัยญี่ปุ่นเมื่อเร็วๆ นี้พบว่าการนอนหลับคืนละ 7 ชั่วโมงครึ่งดีต่อสุขภาพมากที่สุด ขณะที่การศึกษาของดร.สแตนลีย์พบว่า เมื่อคนใดคนหนึ่งขยับตัว มีแนวโน้ม 50% ที่อีกคนบนเตียงจะเปลี่ยนท่านอนตามไปด้วย
อย่างไรก็ตาม คู่สามีภรรยาในการทดลองยังลังเลที่จะแยกกันนอน โดยมีเพียง 8% ของกลุ่มอายุ 40-59 ปีเท่านั้นที่นอนกันคนละห้องกับคู่ครอง
กระนั้น การแยกห้องนอนเป็นเรื่องปกติของผู้สูงวัย การศึกษานี้พบว่ากว่า 40% ของคนอายุ 70 ปีขึ้นไปนอนแยกกับคู่ครอง ซึ่งอาจเนื่องมาจากมั่นใจในความสัมพันธ์ และยังรู้สึกว่าเป็นการดีที่จะไม่นำเรื่องจุกจิกกวนใจมารบกวนเวลานอน
"การนอนเป็นเรื่องเห็นแก่ตัวที่สุดเท่าที่คนเราจะสามารถทำได้ คนชอบพูดว่ารู้สึกดีที่มีคนรักนอนหลับอยู่ข้างๆ แต่จะรู้สึกอย่างนั้นได้หมายความว่าเราต้องตื่นอยู่
"เราต่างรู้ดีว่าการนอนบนเตียงโดยมีคนข้างๆ และอ้อมกอดของคนรักเป็นอย่างไร แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งคุณจะต้องเอ่ยปากว่า 'ฉันจะนอนแล้วนะ'
"จริงอยู่ความใกล้ชิดสำคัญต่อสุขภาพทางอารมณ์ แต่การนอนหลับก็สำคัญต่อทั้งอารมณ์ ร่างกายและจิตใจ เพราะฉะนั้นเราทุกคนควรได้นอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มที่"
ดร.นีล สแตนลีย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนจากมหาวิทยาลัยเซอร์เรย์ อังกฤษ สำทับว่าในทางกลับกัน การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอส่งผลลบต่อสุขภาพร่างกาย จิตใจและอารมณ์ เพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจ หลอดเลือดสมอง และการหย่าร้าง
"ถ้าคุณทั้งคู่นอนหลับสนิทก็ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงอะไร"
แต่หากสามีหรือภรรยานอนกรน ลำพังการแยกเตียงไม่ใช่ทางออก แต่ควรแยกห้องกันนอนโดยเด็ดขาด ดร.สแตนลีย์ที่ในชีวิตจริงก็แยกห้องนอนกับภรรยา แนะนำและเท้าความว่า การนอนร่วมเตียงระหว่างสามีภรรยาเริ่มต้นขึ้นในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม เมื่อคนจำนวนมากย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองและพบว่าพื้นที่อาศัยแคบลง
ก่อนยุควิกตอเรีย เป็นเรื่องปกติที่สามีภรรยาจะแยกกันนอน ปัจจุบันคู่แต่งงานอังกฤษนอนเตียงเดี่ยวขนาด 4 ฟุต 6 นิ้ว หรือ 3 ฟุต หรือมีพื้นที่การนอนน้อยกว่าลูก 9 นิ้ว
"แล้วคุณยังมีใครอีกคนนอนข้างๆ คนที่กรนสนั่น หรือไม่ก็นอนดิ้น ชอบลุกไปเข้าห้องน้ำกลางดึก ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคุณจะนอนได้ไม่เต็มอิ่ม
"และการนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอเพิ่มความเสี่ยงของโรคซึมเศร้า โรคหัวใจ หลอดเลือดสมอง ระบบหายใจล้มเหลว รวมถึงความเสี่ยงในการหย่าร้างและฆ่าตัวตาย"
การศึกษากลุ่มตัวอย่างขนาดใหญ่โดยนักวิจัยญี่ปุ่นเมื่อเร็วๆ นี้พบว่าการนอนหลับคืนละ 7 ชั่วโมงครึ่งดีต่อสุขภาพมากที่สุด ขณะที่การศึกษาของดร.สแตนลีย์พบว่า เมื่อคนใดคนหนึ่งขยับตัว มีแนวโน้ม 50% ที่อีกคนบนเตียงจะเปลี่ยนท่านอนตามไปด้วย
อย่างไรก็ตาม คู่สามีภรรยาในการทดลองยังลังเลที่จะแยกกันนอน โดยมีเพียง 8% ของกลุ่มอายุ 40-59 ปีเท่านั้นที่นอนกันคนละห้องกับคู่ครอง
กระนั้น การแยกห้องนอนเป็นเรื่องปกติของผู้สูงวัย การศึกษานี้พบว่ากว่า 40% ของคนอายุ 70 ปีขึ้นไปนอนแยกกับคู่ครอง ซึ่งอาจเนื่องมาจากมั่นใจในความสัมพันธ์ และยังรู้สึกว่าเป็นการดีที่จะไม่นำเรื่องจุกจิกกวนใจมารบกวนเวลานอน
"การนอนเป็นเรื่องเห็นแก่ตัวที่สุดเท่าที่คนเราจะสามารถทำได้ คนชอบพูดว่ารู้สึกดีที่มีคนรักนอนหลับอยู่ข้างๆ แต่จะรู้สึกอย่างนั้นได้หมายความว่าเราต้องตื่นอยู่
"เราต่างรู้ดีว่าการนอนบนเตียงโดยมีคนข้างๆ และอ้อมกอดของคนรักเป็นอย่างไร แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งคุณจะต้องเอ่ยปากว่า 'ฉันจะนอนแล้วนะ'
"จริงอยู่ความใกล้ชิดสำคัญต่อสุขภาพทางอารมณ์ แต่การนอนหลับก็สำคัญต่อทั้งอารมณ์ ร่างกายและจิตใจ เพราะฉะนั้นเราทุกคนควรได้นอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มที่"