ASTVผู้จัดการรายวัน-อาเซียนกล่อมอินเดียสำเร็จ ยอมลงนามเปิดเสรีการค้าสินค้าระหว่างกันแล้ว เตรียมลดภาษีสินค้ากว่า 5,000 รายการ เหลือ 0% เริ่มตั้งแต่ปีหน้า หลังการเจรจายืดเยื้อมากว่า 6 ปี “พรทิวา”มั่นใจช่วยเพิ่มมูลค่าการค้า และยังส่งสัญญาณต่อประชาคมโลกในการผลักดันการค้าเสรี เผยมีสินค้าไทยจำนวนมากได้ประโยชน์ส่งออกเพิ่มขึ้นด้านรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนเร่งรัดสมาชิกเปิดเสรีสินค้าตามเป้าหมายที่กำหนด
นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน-อินเดีย วานนี้ (13 ส.ค.) ว่า ได้บรรลุข้อตกลงจนสามารถลงนามในความตกลงการค้าเสรี (FTA) อาเซียน-อินเดียได้แล้ว หลังจากเจรจากันมานานกว่า 6 ปี โดยจะเริ่มลดภาษีตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2553 และถือเป็นความสำเร็จของอาเซียนในการรวมกลุ่มการค้ากับอินเดียที่เป็นตลาดใหญ่มีประชากรถึง 1,100 ล้านคน และมีขนาดเศรษฐกิจใกล้เคียงกับจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ที่อาเซียนได้ทำ FTA ไปก่อนหน้านี้แล้ว และมั่นใจหลังข้อตกลงมีผลบังคับใช้ จะช่วยส่งเสริมการค้าและการลงทุนของอาเซียน-อินเดียให้ขยายตัวได้มากขึ้น
“การเปิดเสรีระหว่างอาเซียน-อินเดียในด้านการค้าสินค้า เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เหมาะสมในภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวในขณะนี้ ถือเป็นการส่งสัญญาณเชิงบวกต่อประชาคมโลกถึงความมุ่งมั่นของอาเซียนและอินเดียการสานต่อระบบการค้าเสรี”
ทั้งนี้ คาดว่าการทำ FTA อาเซียน-อินเดีย จะผลักดันให้การค้าระหว่างอาเซียนกับอินเดียเพิ่มเป็น 60,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในปี 2559 หรือในอีก 7 ปีข้างหน้า จากปีที่ผ่านมาการค้าอินเดียกับอาเซียนมีมูลค่าประมาณ 47,000 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยไทยมีส่วนแบ่งตลาดนำเข้าในอินเดียเป็นอันดับ 4 จากกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน รองจากสิงคโปร์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย
ภายใต้ความตกลงดังกล่าว อาเซียนและอินเดียจะลดภาษีนำเข้าสินค้ากว่า 80% ของสินค้าที่นำเข้าทั้งหมดให้เป็น 0% โดยเริ่มตั้งแต่ปี 2553-59 ครอบคลุมสินค้ากว่า 5,000 รายการ ส่วนสินค้าอ่อนไหวจะลดภาษีเหลือ 5% ในปี 2559 และมีสินค้าที่ไม่ลดภาษีไม่เกิน 489 รายการ ซึ่งจากความตกลงนี้ทำให้ไทยมีโอกาสส่งออกสินค้าไปอินเดียมากขึ้นในกลุ่มอัญมณี เครื่องประดับ ชิ้นส่วนยานยนต์อุปกรณ์สื่อสาร เครื่องใช้ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ สินค้าเกษตร และสินค้าเกษตรแปรรูป ส่วนสินค้าที่ไทยจะไม่ลดภาษีให้ ได้แก่ หอม กระเทียม นม และผลิตภัณฑ์นม เนื้อโคกระบือ เป็นต้น
นอกจากนี้ ไทยยังได้รับประโยชน์ในเรื่องกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้าที่จะเอื้อประโยชน์ต่อผู้ประกอบการมาก เนื่องจากสามารถใช้วัตถุดิบทั้งจากภายในอาเซียนและอินเดีย โดยเอฟทีเออาเซียน-อินเดีย จะต่อยอดให้การค้าการส่งออกของไทยไปอินเดีย และช่วยเอื้อประโยชน์ให้ผู้ประกอบการไทยเข้าสู่ตลาดอินเดียได้หลากหลายสินค้ามากขึ้น ซึ่งคาดว่ายอดการค้าไทยกับอินเดียจะสูงถึง 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หลังจากความตกลงมีผลบังคับใช้ในปีหน้า
นางพรทิวากล่าวอีกว่า วันเดียวกันนี้ ยังได้นำคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนร่วมเปิดงาน ASEAN Fashion Plus Trade Fair ซึ่งจัดขึ้นในงานแสดงสินค้าแฟชั่นและงานแสดงสินค้าเครื่องหนัง 2009 ที่อิมแพคเมืองทองธานี โดยได้เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการสินค้าแฟชั่นของอาเซียนนำสินค้ามาร่วมจัดแสดง ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้มีการเชื่อมโยงฐานการผลิตสินค้าแฟชั่นในอาเซียนเข้าด้วยกันและยังได้จัดเดินแฟชั่นโชว์ชุดแต่งกายประจำชาติของอาเซียนด้วย โดยมั่นใจว่าการจัดงานครั้งนี้ จะกระตุ้นอุตสาหกรรมแฟชั่น เครื่องหนังสิ่งทอไทยให้เติบโตได้มากขึ้น คาดว่าปีนี้จะส่งออกได้ไม่ต่ำกว่า 620,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3%
รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ แจ้งว่า สำหรับการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (AEM) และคณะมนตรีเขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) นั้น ที่ประชุมได้มีการติดตามความคืบหน้าการเปิดเสรีการค้าสินค้าให้เป็นไปตามเป้าหมาย โดยเฉพาะอาเซียนเดิม 6 ประเทศจะต้องลดภาษีสินค้าทุกรายการในบัญชีลดภาษีเป็น 0% ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2553
รวมทั้งได้มีการหารือถึงการรับรองแหล่งกำเนิดสินค้าด้วยตนเอง ที่จะเปิดโอกาสให้เอกชนของอาเซียนที่มีคุณสมบัติครบตามเกณฑ์ที่กำหนดสามารถให้การรับรองแหล่งกำเนิดสินค้าได้ เพื่อให้การค้าสินค้าภายในอาเซียนมีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น
สำหรับบรรยากาศบริเวณโรงแรมมิลเลนเนียม ฮิลตัน ซึ่งใช้เป็นสถานที่การประชุม ได้มีการวางการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดจากเจ้าหน้าที่ร่วมกว่า 1,000 นาย จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ศรภ.กองทัพเรือ และหน่วยงานรักษาความปลอดภัยจากอีกหลายหน่วย ทั้งทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ ชุดประดาน้ำ และสุนัขตำรวจ ที่จะให้การสนับสนุนตลอด 24 ชม.พร้อมติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัยแบบอาร์เอฟไอดี เพื่อตรวจสอบสถานภาพของผู้เข้าร่วมประชุม
นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน-อินเดีย วานนี้ (13 ส.ค.) ว่า ได้บรรลุข้อตกลงจนสามารถลงนามในความตกลงการค้าเสรี (FTA) อาเซียน-อินเดียได้แล้ว หลังจากเจรจากันมานานกว่า 6 ปี โดยจะเริ่มลดภาษีตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2553 และถือเป็นความสำเร็จของอาเซียนในการรวมกลุ่มการค้ากับอินเดียที่เป็นตลาดใหญ่มีประชากรถึง 1,100 ล้านคน และมีขนาดเศรษฐกิจใกล้เคียงกับจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ที่อาเซียนได้ทำ FTA ไปก่อนหน้านี้แล้ว และมั่นใจหลังข้อตกลงมีผลบังคับใช้ จะช่วยส่งเสริมการค้าและการลงทุนของอาเซียน-อินเดียให้ขยายตัวได้มากขึ้น
“การเปิดเสรีระหว่างอาเซียน-อินเดียในด้านการค้าสินค้า เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เหมาะสมในภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวในขณะนี้ ถือเป็นการส่งสัญญาณเชิงบวกต่อประชาคมโลกถึงความมุ่งมั่นของอาเซียนและอินเดียการสานต่อระบบการค้าเสรี”
ทั้งนี้ คาดว่าการทำ FTA อาเซียน-อินเดีย จะผลักดันให้การค้าระหว่างอาเซียนกับอินเดียเพิ่มเป็น 60,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในปี 2559 หรือในอีก 7 ปีข้างหน้า จากปีที่ผ่านมาการค้าอินเดียกับอาเซียนมีมูลค่าประมาณ 47,000 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยไทยมีส่วนแบ่งตลาดนำเข้าในอินเดียเป็นอันดับ 4 จากกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน รองจากสิงคโปร์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย
ภายใต้ความตกลงดังกล่าว อาเซียนและอินเดียจะลดภาษีนำเข้าสินค้ากว่า 80% ของสินค้าที่นำเข้าทั้งหมดให้เป็น 0% โดยเริ่มตั้งแต่ปี 2553-59 ครอบคลุมสินค้ากว่า 5,000 รายการ ส่วนสินค้าอ่อนไหวจะลดภาษีเหลือ 5% ในปี 2559 และมีสินค้าที่ไม่ลดภาษีไม่เกิน 489 รายการ ซึ่งจากความตกลงนี้ทำให้ไทยมีโอกาสส่งออกสินค้าไปอินเดียมากขึ้นในกลุ่มอัญมณี เครื่องประดับ ชิ้นส่วนยานยนต์อุปกรณ์สื่อสาร เครื่องใช้ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ สินค้าเกษตร และสินค้าเกษตรแปรรูป ส่วนสินค้าที่ไทยจะไม่ลดภาษีให้ ได้แก่ หอม กระเทียม นม และผลิตภัณฑ์นม เนื้อโคกระบือ เป็นต้น
นอกจากนี้ ไทยยังได้รับประโยชน์ในเรื่องกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้าที่จะเอื้อประโยชน์ต่อผู้ประกอบการมาก เนื่องจากสามารถใช้วัตถุดิบทั้งจากภายในอาเซียนและอินเดีย โดยเอฟทีเออาเซียน-อินเดีย จะต่อยอดให้การค้าการส่งออกของไทยไปอินเดีย และช่วยเอื้อประโยชน์ให้ผู้ประกอบการไทยเข้าสู่ตลาดอินเดียได้หลากหลายสินค้ามากขึ้น ซึ่งคาดว่ายอดการค้าไทยกับอินเดียจะสูงถึง 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หลังจากความตกลงมีผลบังคับใช้ในปีหน้า
นางพรทิวากล่าวอีกว่า วันเดียวกันนี้ ยังได้นำคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนร่วมเปิดงาน ASEAN Fashion Plus Trade Fair ซึ่งจัดขึ้นในงานแสดงสินค้าแฟชั่นและงานแสดงสินค้าเครื่องหนัง 2009 ที่อิมแพคเมืองทองธานี โดยได้เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการสินค้าแฟชั่นของอาเซียนนำสินค้ามาร่วมจัดแสดง ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้มีการเชื่อมโยงฐานการผลิตสินค้าแฟชั่นในอาเซียนเข้าด้วยกันและยังได้จัดเดินแฟชั่นโชว์ชุดแต่งกายประจำชาติของอาเซียนด้วย โดยมั่นใจว่าการจัดงานครั้งนี้ จะกระตุ้นอุตสาหกรรมแฟชั่น เครื่องหนังสิ่งทอไทยให้เติบโตได้มากขึ้น คาดว่าปีนี้จะส่งออกได้ไม่ต่ำกว่า 620,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3%
รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ แจ้งว่า สำหรับการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (AEM) และคณะมนตรีเขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) นั้น ที่ประชุมได้มีการติดตามความคืบหน้าการเปิดเสรีการค้าสินค้าให้เป็นไปตามเป้าหมาย โดยเฉพาะอาเซียนเดิม 6 ประเทศจะต้องลดภาษีสินค้าทุกรายการในบัญชีลดภาษีเป็น 0% ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2553
รวมทั้งได้มีการหารือถึงการรับรองแหล่งกำเนิดสินค้าด้วยตนเอง ที่จะเปิดโอกาสให้เอกชนของอาเซียนที่มีคุณสมบัติครบตามเกณฑ์ที่กำหนดสามารถให้การรับรองแหล่งกำเนิดสินค้าได้ เพื่อให้การค้าสินค้าภายในอาเซียนมีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น
สำหรับบรรยากาศบริเวณโรงแรมมิลเลนเนียม ฮิลตัน ซึ่งใช้เป็นสถานที่การประชุม ได้มีการวางการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดจากเจ้าหน้าที่ร่วมกว่า 1,000 นาย จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ศรภ.กองทัพเรือ และหน่วยงานรักษาความปลอดภัยจากอีกหลายหน่วย ทั้งทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ ชุดประดาน้ำ และสุนัขตำรวจ ที่จะให้การสนับสนุนตลอด 24 ชม.พร้อมติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัยแบบอาร์เอฟไอดี เพื่อตรวจสอบสถานภาพของผู้เข้าร่วมประชุม