เรียลิตี้โชว์จะไปได้ ต้องไม่จำเจ “แฮฟเอกู๊ดดรีม” ลงศึกเรียลิตี้โชว์ ปีแรกผุด 3 รายการ หวังต่อยอดธุรกิจ อาร์ทติสเมนเนจเม้นท์ เชื่อการเติบโต 3 ปีแรกไม่ต่ำกว่า 20% ทุกปี
นายกิติกร เพ็ญโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แฮฟเอกู๊ดดรีม จำกัด ดำเนินธุรกิจด้านอาร์ททิส เมนเนจเม้นท์ เปิดเผยกับ “ASTVผู้จัดการรายวัน” ว่า แฮฟเอกู๊ดดรีม ได้ก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่ช่วงต้นปี 2552 ด้วยทุนจดทะเบียนกว่า 10 ล้านบาท โดยตนถือหุ้นอยู่กว่า 50% ซึ่งแนวทางการดำเนินธุรกิจของบริษัท จะมุ่งไปในเรื่องของการบริหารจัดการศิลปิน หรืออาร์ททิสเมนเนจเม้นท์
อย่างไรก็ตามการที่จะทำธุรกิจการบริหารจัดการศิลปินได้ จะต้องมีศิลปินในสังกัดเสียก่อน ดังนั้นเบื้องต้นของการดำเนินธุรกิจ คือ 1.การหาศิลปิน โดยทางบริษัทได้วางแนวทางผ่านรายการโทรทัศน์ ในรูปแบบของเรียลิตี้โชว์ และมิวสิกคอนเท้นท์เป็นหลัก เพราะถือเป็นเรียลิตี้โชว์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดของไทย ซึ่งตามแผนการดำเนินงานบริษัทเตรียมรายการเรียลิตี้ไว้ 4 รายการ
โดยในปีนี้จะเห็นเพียง 3 รายการ คือ 1.เดอะ เทรนเนอร์ เฟ้นหาศิลปินอายุ 6-12 ปี ออกอากาศทางโมเดิร์นไนน์ ซึ่งจบไปแล้ว 2. สุภาพบุรุษบอยแบนด์ เฟ้นหาศิลปินผู้ชาย อายุ 18-25ปี ออกอากาศทางช่อง 3 จบไปแล้วเช่นกัน และล่าสุดกับรายการ “LG Entertainer ล้านฝันสนั่นโลก” เฟ้นหาศิลปินอายุระหว่าง 13-40 ปี จะออกอากาศทางช่อง 9 เร็วๆนี้ ขณะที่รายการที่4 จะเห็นในช่วงต้นปีหน้า
หลังจากบริษัทมีศิลปินอยู่ในสังกัดแล้ว แผนการดำเนินธุรกิจขั้นต่อไป คือการต่อยอดศิลปินและบริหารจัดการศิลปินอย่างเต็มตัว ซึ่งจากทั้ง 3 รายการที่มีขึ้นในปีนี้เชื่อว่า บริษัทจะมีศิลปินในสังกัดรวมแล้วไม่น่าจะต่ำกว่า 30-40 คน โดยจะมีการเซ็นสัญญาเป็นศิลปินในสังกัดคนละ 3-5ปี โดยบริษัทจะเริ่มบริหารจัดการศิลปิน โดยร่วมกับพันธมิตรแบบไม่จำกัดค่ายในกลุ่มธุรกิจเอนเตอร์เทนเม้นท์ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นค่ายหนัง ค่ายเพลง ละคร หรือโฆษณากับการเป็นพรีเซนเตอร์
ล่าสุดสำหรับศิลปินที่มาจากรายการ เดอะ เทรนเนอร์ อีก 1 เดือนหลังจากนี้ จะมีอัลบั้มเพลงออกมา ส่วนศิลปินที่มาจากรายการ สุภาพบุรุษบอยแบนด์ ก็จะมีอัลบั้มเพลงออกมาเช่นกันในช่วงสิ้นเดือนนี้ ขณะที่ศิลปินที่กำลังจะเฟ้นหาผ่านรายการ LG Entertainer ล้านฝันสนั่นโลก จะได้ร่วมงานทำเพลงพิเศษ กับ ค่ายเพลง JYP Entertainment ซึ่งเป็นค่ายเพลงดังในประเทศเกาหลี
นายกิติกร กล่าวต่อว่า แนวทางธุรกิจหลักของบริษัท คือ การจัดการบริหารศิลปิน แต่ในปีแรกคาดว่ารายได้หลักกว่า 70% จะมาจากการผลิตรายการเรียลิตี้โชว์ทั้ง 3 รายการ ซึ่งมีรายได้จากสปอนเซอร์ ทั้งนี้หลังจากจบไปแล้ว 2 รายการ พบว่า เดอะ เทรนเนอร์ ประสบความสำเร็จดีกว่า สุภาพบุรุษบอยแบนด์ ทั้งในแง่การตอบรับและรายได้ ซึ่งในส่วนของการผลิตรายการนี้ บริษัทใช้งบที่ 20-30ล้านบาทต่อรายการ ทั้งนี้มองว่าจะต้องมีการจัดรายการเหล่านี้ขึ้นทุกๆปี เพื่อต่อยอดธุรกิจและสร้างการรับรู้ต่อไป
ส่วนรายได้อีก 30% มาจากการบริหารศิลปิน โดยในปีหน้าเชื่อว่าสัดส่วนจะเปลี่ยนไป หรืออยู่ที่ 50% เท่ากัน และในปีถัดไปเชื่อว่า รายได้จากรายการเรียลิตี้จะลดลงเหลือ 30% แต่รายได้จากศิลปินจะอยู่ที่ 70% เป็นไปตามโมเดลธุรกิจที่วางไว้ ซึ่งในสถานการณ์แบบนี้ เชื่อว่าการเติบโตปีละประมาณ 20% ถือเป็นสิ่งที่เป็นไปได้
นายกิติกร กล่าวด้วยว่า แนวโน้มรายการเรียลิตี้โชว์ในบ้านเรา กลุ่มรายการเพลงถือเป็นกลุ่มที่ได้รับความนิยมสูงสุด แต่รายการเดิมหากไม่มีการปรับเปลี่ยน ก็จะถูกลดความนิยมลง ดังนั้นจึงเชื่อว่า หากรายการเหล่านี้รู้จักปรับเปลี่ยนวิธีการนำเสนอ ก็จะยังอยู่ในกระแสและได้ความความนิยมอย่างต่อเนื่อง ในขณะนี้รูปแบบรายการเรียลิตี้โชว์กำลังมีให้เห็นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
นายกิติกร เพ็ญโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แฮฟเอกู๊ดดรีม จำกัด ดำเนินธุรกิจด้านอาร์ททิส เมนเนจเม้นท์ เปิดเผยกับ “ASTVผู้จัดการรายวัน” ว่า แฮฟเอกู๊ดดรีม ได้ก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่ช่วงต้นปี 2552 ด้วยทุนจดทะเบียนกว่า 10 ล้านบาท โดยตนถือหุ้นอยู่กว่า 50% ซึ่งแนวทางการดำเนินธุรกิจของบริษัท จะมุ่งไปในเรื่องของการบริหารจัดการศิลปิน หรืออาร์ททิสเมนเนจเม้นท์
อย่างไรก็ตามการที่จะทำธุรกิจการบริหารจัดการศิลปินได้ จะต้องมีศิลปินในสังกัดเสียก่อน ดังนั้นเบื้องต้นของการดำเนินธุรกิจ คือ 1.การหาศิลปิน โดยทางบริษัทได้วางแนวทางผ่านรายการโทรทัศน์ ในรูปแบบของเรียลิตี้โชว์ และมิวสิกคอนเท้นท์เป็นหลัก เพราะถือเป็นเรียลิตี้โชว์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดของไทย ซึ่งตามแผนการดำเนินงานบริษัทเตรียมรายการเรียลิตี้ไว้ 4 รายการ
โดยในปีนี้จะเห็นเพียง 3 รายการ คือ 1.เดอะ เทรนเนอร์ เฟ้นหาศิลปินอายุ 6-12 ปี ออกอากาศทางโมเดิร์นไนน์ ซึ่งจบไปแล้ว 2. สุภาพบุรุษบอยแบนด์ เฟ้นหาศิลปินผู้ชาย อายุ 18-25ปี ออกอากาศทางช่อง 3 จบไปแล้วเช่นกัน และล่าสุดกับรายการ “LG Entertainer ล้านฝันสนั่นโลก” เฟ้นหาศิลปินอายุระหว่าง 13-40 ปี จะออกอากาศทางช่อง 9 เร็วๆนี้ ขณะที่รายการที่4 จะเห็นในช่วงต้นปีหน้า
หลังจากบริษัทมีศิลปินอยู่ในสังกัดแล้ว แผนการดำเนินธุรกิจขั้นต่อไป คือการต่อยอดศิลปินและบริหารจัดการศิลปินอย่างเต็มตัว ซึ่งจากทั้ง 3 รายการที่มีขึ้นในปีนี้เชื่อว่า บริษัทจะมีศิลปินในสังกัดรวมแล้วไม่น่าจะต่ำกว่า 30-40 คน โดยจะมีการเซ็นสัญญาเป็นศิลปินในสังกัดคนละ 3-5ปี โดยบริษัทจะเริ่มบริหารจัดการศิลปิน โดยร่วมกับพันธมิตรแบบไม่จำกัดค่ายในกลุ่มธุรกิจเอนเตอร์เทนเม้นท์ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นค่ายหนัง ค่ายเพลง ละคร หรือโฆษณากับการเป็นพรีเซนเตอร์
ล่าสุดสำหรับศิลปินที่มาจากรายการ เดอะ เทรนเนอร์ อีก 1 เดือนหลังจากนี้ จะมีอัลบั้มเพลงออกมา ส่วนศิลปินที่มาจากรายการ สุภาพบุรุษบอยแบนด์ ก็จะมีอัลบั้มเพลงออกมาเช่นกันในช่วงสิ้นเดือนนี้ ขณะที่ศิลปินที่กำลังจะเฟ้นหาผ่านรายการ LG Entertainer ล้านฝันสนั่นโลก จะได้ร่วมงานทำเพลงพิเศษ กับ ค่ายเพลง JYP Entertainment ซึ่งเป็นค่ายเพลงดังในประเทศเกาหลี
นายกิติกร กล่าวต่อว่า แนวทางธุรกิจหลักของบริษัท คือ การจัดการบริหารศิลปิน แต่ในปีแรกคาดว่ารายได้หลักกว่า 70% จะมาจากการผลิตรายการเรียลิตี้โชว์ทั้ง 3 รายการ ซึ่งมีรายได้จากสปอนเซอร์ ทั้งนี้หลังจากจบไปแล้ว 2 รายการ พบว่า เดอะ เทรนเนอร์ ประสบความสำเร็จดีกว่า สุภาพบุรุษบอยแบนด์ ทั้งในแง่การตอบรับและรายได้ ซึ่งในส่วนของการผลิตรายการนี้ บริษัทใช้งบที่ 20-30ล้านบาทต่อรายการ ทั้งนี้มองว่าจะต้องมีการจัดรายการเหล่านี้ขึ้นทุกๆปี เพื่อต่อยอดธุรกิจและสร้างการรับรู้ต่อไป
ส่วนรายได้อีก 30% มาจากการบริหารศิลปิน โดยในปีหน้าเชื่อว่าสัดส่วนจะเปลี่ยนไป หรืออยู่ที่ 50% เท่ากัน และในปีถัดไปเชื่อว่า รายได้จากรายการเรียลิตี้จะลดลงเหลือ 30% แต่รายได้จากศิลปินจะอยู่ที่ 70% เป็นไปตามโมเดลธุรกิจที่วางไว้ ซึ่งในสถานการณ์แบบนี้ เชื่อว่าการเติบโตปีละประมาณ 20% ถือเป็นสิ่งที่เป็นไปได้
นายกิติกร กล่าวด้วยว่า แนวโน้มรายการเรียลิตี้โชว์ในบ้านเรา กลุ่มรายการเพลงถือเป็นกลุ่มที่ได้รับความนิยมสูงสุด แต่รายการเดิมหากไม่มีการปรับเปลี่ยน ก็จะถูกลดความนิยมลง ดังนั้นจึงเชื่อว่า หากรายการเหล่านี้รู้จักปรับเปลี่ยนวิธีการนำเสนอ ก็จะยังอยู่ในกระแสและได้ความความนิยมอย่างต่อเนื่อง ในขณะนี้รูปแบบรายการเรียลิตี้โชว์กำลังมีให้เห็นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ