ที่รัฐสภา วานนี้ (30 ก.ค.) นายเจะอามิง โตะตาหยง ส.ส.นราธิวาส พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ(กมธ.)ความมั่นคงแห่งรัฐ สภาผู้แทนราษฎร แถลงผลการพิจารณาเรื่องการติดตั้งระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด หรือซีซีทีวี ในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่า กรณีการติดตั้งซีซีทีวี ดำเนินการในสมัยรัฐบาล พล.อ. สุรยุทธ์ จุลานนท์ มีนายอารีย์ วงศ์อารยะ เป็นรมว.มหาดไทย งบประมาณ 965 ล้านบาท ซึ่งเริ่มทำสัญญากับบริษัท ดิจิตอล รีเสิร์จ แอนด์คอนสตรัคติ้ง จำกัด วันที่ 7 ก.ย. 2550 กำหนดส่งมอบงานภายใน 420 วันคือวันที่ 7 พ.ย.2551 แต่ปรากฏว่า ที่ผ่านมา มีการติดตั้งในบางพื้นที่คือ สงขลา หาดใหญ่ แต่ติดตั้งไม่เสร็จ และใช้การไม่ได้ คณะกรรมาธิการฯ ได้เชิญสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย และบริษัทดังกล่าว มาชี้แจงในการประชุมวันที่ 30 ก.ค. แต่บริษัทไม่มา โดยทำหนังสือแจ้งว่า บริษัทได้ทำหนังสือบอกเลิกสัญญายื่นต่อสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทยแล้ว โดยอ้างว่า สำนักปลัดกระทรวงมหาดไทยไม่ให้ความร่วมมือในการตรวจรับงานของบริษัท
จุดนี้จึงผิดปกติ เพราะการบอกเลิกสัญญาที่เอกชนทำกับรัฐ เพราะปกติฝ่ายรัฐมักเป็นผู้บอกเลิกสัญญา แต่กรณีที่เกิดขึ้นเหตุใดบริษัทจึงเป็นผู้แจ้งบอกเลิกสัญญา ซึ่งถือเป็นการผิดหลักตามระเบียบว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้าง คณะกรรมาธิการฯ จึงขอให้สำนักปลัดกระทรวงมหาดไทยกลับไปตรวจสอบว่า การบอกเลิกสัญญาจะมีผลหรือไม่ เพราะในสัญญาการบอกเลิกสัญญาฝ่ายเดียวทำไม่ได้ เรื่องนี้ยังมีเลศนัยในการเปลี่ยนจากการจัดซื้อจัดจ้างแบบอีอ๊อคชั่นมาเป็นวิธีพิเศษด้วย
นายเจะอามิง กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ ในวันที่ 23 ก.ค. 2552 บริษัทนี้ เคยมาร่วมประชุมกับคณะกรรมาธิการฯ ขณะที่หนังสือบอกเลิกสัญญากลับลงวันที่ 22 ก.ค. 2552 กรรมาธิการฯ จึงตั้งขอสังเกตว่า หากบริษัทบอกเลิกสัญญาแล้วเหตุใด จึงไม่แจ้ง แต่กลับมาประชุมกับกรรมาธิการฯอีก
นายเจะอามิง กล่าวว่า สำหรับการพิจาณาโครงการ คณะกรรมาธิการฯ เห็นตรงกันว่า โครงการดังกล่าวเป็นโครงการใหญ่คอบคลุม 3 จังหวัดภาคใต้ และ 4 อำเภอในจ.สงขลา จำเป็นต้องมีบริษัทที่เคยมีผลงานวางระบบ ซีซีทีวีมาก่อน อีกทั้งความคืบหน้าของงวดงานแต่ละงวดไม่เป็นไปตามสัญญาจนทำให้บริษัทถูกปรับเงินวันละ 193,000 บาท นับตั้งแต่วันที่ 7 พ.ย. 2551 ถึงวันนี้เป็นจำนวน 40 กว่าล้านบาท เมื่อพิจารณาจากความตั้งใจของบริษัททำให้มองเห็นว่ายังขาดความตั้งใจอย่างแท้จริง ทั้งที่สำนักปลัดกระทรวงมหาดไทยได้จ่ายค่ามัดจำร้อยละ 10 ของโครงการหรือคิดเป็นเงิน 145 ล้านบาทไปแล้ว จึงเห็นว่า สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้รัฐเสียผลประโยชน์ทั้งที่โครงการต้องเดินหน้าต่อไปทุกจังหวัดตามกำหนด จึงฝากสำนักปลัดกระทรวงมหาดไทยหาทางแก้ไขเรื่องนี้
นายเจะอามิง กล่าวอีกว่า คณะกรรมาธิการฯจะทำหนังสือไปถึงนายกรับมนตรี รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรมช.มหาดไทย เพื่อให้นำเรื่องการติดตั้งกล้องซีซีทีวีในพื้นที่จังหวัดภาคใต้มาพิจารณาและหาทางแก้ไข เพราะโครงการดังกล่าวมีความจำเป็นอย่างมากต่อการนำไปใช้เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาความรุนแรง ในพื้นที่ตลาดจนเพื่อรักษาชีวิตทรัพย์สินของประชาชนและเจ้าหน้าที่ของรัฐ
นอกจากนี้จะตามตรวจสอบต่อไป หากพบความไม่โปร่งใสจะยื่นเรื่องต่อป.ป.ช. ดำเนินการรวมถึงข้าราชการที่พ้นตำแหน่งไปแล้ว หากเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
จุดนี้จึงผิดปกติ เพราะการบอกเลิกสัญญาที่เอกชนทำกับรัฐ เพราะปกติฝ่ายรัฐมักเป็นผู้บอกเลิกสัญญา แต่กรณีที่เกิดขึ้นเหตุใดบริษัทจึงเป็นผู้แจ้งบอกเลิกสัญญา ซึ่งถือเป็นการผิดหลักตามระเบียบว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้าง คณะกรรมาธิการฯ จึงขอให้สำนักปลัดกระทรวงมหาดไทยกลับไปตรวจสอบว่า การบอกเลิกสัญญาจะมีผลหรือไม่ เพราะในสัญญาการบอกเลิกสัญญาฝ่ายเดียวทำไม่ได้ เรื่องนี้ยังมีเลศนัยในการเปลี่ยนจากการจัดซื้อจัดจ้างแบบอีอ๊อคชั่นมาเป็นวิธีพิเศษด้วย
นายเจะอามิง กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ ในวันที่ 23 ก.ค. 2552 บริษัทนี้ เคยมาร่วมประชุมกับคณะกรรมาธิการฯ ขณะที่หนังสือบอกเลิกสัญญากลับลงวันที่ 22 ก.ค. 2552 กรรมาธิการฯ จึงตั้งขอสังเกตว่า หากบริษัทบอกเลิกสัญญาแล้วเหตุใด จึงไม่แจ้ง แต่กลับมาประชุมกับกรรมาธิการฯอีก
นายเจะอามิง กล่าวว่า สำหรับการพิจาณาโครงการ คณะกรรมาธิการฯ เห็นตรงกันว่า โครงการดังกล่าวเป็นโครงการใหญ่คอบคลุม 3 จังหวัดภาคใต้ และ 4 อำเภอในจ.สงขลา จำเป็นต้องมีบริษัทที่เคยมีผลงานวางระบบ ซีซีทีวีมาก่อน อีกทั้งความคืบหน้าของงวดงานแต่ละงวดไม่เป็นไปตามสัญญาจนทำให้บริษัทถูกปรับเงินวันละ 193,000 บาท นับตั้งแต่วันที่ 7 พ.ย. 2551 ถึงวันนี้เป็นจำนวน 40 กว่าล้านบาท เมื่อพิจารณาจากความตั้งใจของบริษัททำให้มองเห็นว่ายังขาดความตั้งใจอย่างแท้จริง ทั้งที่สำนักปลัดกระทรวงมหาดไทยได้จ่ายค่ามัดจำร้อยละ 10 ของโครงการหรือคิดเป็นเงิน 145 ล้านบาทไปแล้ว จึงเห็นว่า สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้รัฐเสียผลประโยชน์ทั้งที่โครงการต้องเดินหน้าต่อไปทุกจังหวัดตามกำหนด จึงฝากสำนักปลัดกระทรวงมหาดไทยหาทางแก้ไขเรื่องนี้
นายเจะอามิง กล่าวอีกว่า คณะกรรมาธิการฯจะทำหนังสือไปถึงนายกรับมนตรี รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรมช.มหาดไทย เพื่อให้นำเรื่องการติดตั้งกล้องซีซีทีวีในพื้นที่จังหวัดภาคใต้มาพิจารณาและหาทางแก้ไข เพราะโครงการดังกล่าวมีความจำเป็นอย่างมากต่อการนำไปใช้เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาความรุนแรง ในพื้นที่ตลาดจนเพื่อรักษาชีวิตทรัพย์สินของประชาชนและเจ้าหน้าที่ของรัฐ
นอกจากนี้จะตามตรวจสอบต่อไป หากพบความไม่โปร่งใสจะยื่นเรื่องต่อป.ป.ช. ดำเนินการรวมถึงข้าราชการที่พ้นตำแหน่งไปแล้ว หากเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
