เอเอฟพี/เอเจนซี- ตำรวจอินโดนีเซียฟันธง มือระเบิดถล่ม 2 โรงแรมดังใจกลางกรุงจาการ์ตา เป็นสมาชิกกลุ่มหัวรุนแรง "ญะมาอะห์อิสลามิยะห์" (เจไอ) ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับเครือข่ายก่อการร้ายอัลกออิดะห์ ขณะที่ทีมสืบสวนเตรียมใช้เทคโนโลยีสร้างภาพใบหน้าคนร้าย จากศีรษะของผู้ต้องสงสัยที่เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ หวังรู้ตัวมือระเบิดโดยเร็ว ด้านทางการออสเตรเลียออกโรงเตือน อินโดนีเซียยังมีความเสี่ยงที่จะเผชิญการก่อเหตุร้ายระลอกใหม่
นานัน โซการ์นา โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติของอินโดนีเซีย ออกมายืนยันต่อผู้สื่อข่าวที่กรุงจาการ์ตาวานนี้(19) โดยระบุว่า มือระเบิดฆ่าตัวตายที่โรงแรมหรู 2 แห่งกลางกรุงจาการ์ตา เป็นสมาชิกของกลุ่มญะมาอะห์ อิสลามิยะห์ (เจไอ) ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับเครือข่ายอัลกออิดะห์
โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติอินโดนีเซียระบุว่า ขณะนี้ทีมสืบสวนสามารถยืนยันได้ว่ามือระเบิดที่ก่อเหตุสะเทือนขวัญครั้งนี้เกี่ยวข้องกับกลุ่มเจไออย่างแน่นอน เพราะรูปแบบของการก่อเหตุ และลักษณะของการใช้ระเบิดมีความคล้ายคลึงกับการโจมตีในครั้งที่ผ่าน ๆ มา
นอกจากนี้ นานันยังระบุว่า ทางตำรวจสามารถระบุชื่อของมือระเบิด 1 ใน 2 คน ที่ลงมือก่อเหตุครั้งนี้ได้แล้ว แต่ยังไม่เปิดเผยชื่อเต็มในเวลานี้ โดยบอกแต่เพียงอักษรย่อว่า ชื่อของมือระเบิดคนดังกล่าวใช้อักษร "เอ็น" ขณะที่ศพของมือระเบิดอีกคนหนึ่งกำลังอยู่ระหว่างขั้นตอนการพิสูจน์หลักฐาน
ขณะเดียวกันมีรายงานว่า ตำรวจอินโดนีเซียกำลังใช้เทคโนโลยีในการสร้างภาพใบหน้าของมือระเบิดฆ่าตัวตายจากศีรษะของผู้เสียชีวิตรายหนึ่งที่พบในที่เกิดเหตุ เพื่อความคืบหน้าในการสอบสวน หลังจากแรงระเบิดทำให้ร่างผู้เสียชีวิตแหลกเหลวจนจำสภาพเดิมไม่ได้ซึ่งยากต่อการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล
โดยทางตำรวจระบุว่า จะพยายามสรุปให้ได้ว่าใบหน้าของศีรษะปริศนาที่กำลังตรวจสอบอยู่มีลักษณะคล้ายคลึงกับแขกที่เข้าพักเป็นเวลา 2 คืนที่ห้องหมายเลข 1808 ของโรงแรมเจดับบลิว แมริออต ซึ่งถูกระบุว่าเป็นสถานที่ประกอบระเบิดในปฏิบัติการครั้งนี้หรือไม่ โดยจะเชิญพยานและพนักงานต้อนรับมายืนยันอีกครั้ง
ก่อนหน้านี้ อันสยาด เอ็มบาอิ หัวหน้าฝ่ายต่อต้านการก่อการร้าย ของกระทรวงความมั่นคงอินโดนีเซีย ระบุเมื่อวันเสาร์ (18) ว่าการโจมตีโรงแรมทั้ง 2 แห่ง อาจเกี่ยวข้องกับนูร์ดิน โมฮัมเหม็ด ทอป อดีตสมาชิกของกลุ่มเจไอชาวมาเลเซีย ซึ่งได้แยกตัวออกมาตั้งกลุ่มหัวรุนแรงของตัวเองและถูกระบุว่าอยู่เบื้องหลังการวางระเบิดโรงแรมเจ ดับบลิว แมริออต ในกรุงจาการ์ตาเมื่อปี 2003 การวางระเบิดสถานทูตออสเตรเลียในปี 2004 และการก่อวินาศกรรมที่ร้านอาหารบนเกาะบาหลีในปี 2005 ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 40 คน
อย่างไรก็ตาม หนังสือพิมพ์นิว ซันเดย์ ไทม์สของมาเลเซียฉบับวานนี้ (19) รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวระดับสูงซึ่งไม่เปิดเผยชื่อในสำนักงานตำรวจแห่งชาติของอินโดนีเซียที่ระบุว่า ทางตำรวจเพิ่งได้รับข้อมูลจากหน่วยข่าวกรองอินโดนีเซียที่ระบุว่า นูร์ดิน ทอป ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดโรงแรมริตซ์-คาร์ลตันและเจดับบลิว แมริออต ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต 9 คนและบาดเจ็บ 53 คนในครั้งนี้
ด้านสตีเฟน ฟรานซิส สมิธ รัฐมนตรีต่างประเทศออสเตรเลีย ออกมาเตือนวานนี้ (19)ว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเกิดการก่อการร้ายครั้งใหม่ในกรุงจาการ์ตา และสถานที่อื่น ๆ ของอินโดนีเซีย รวมทั้งเกาะบาหลี โดยสมิธได้เตือนเจ้าหน้าที่ทางการทูตของออสเตรเลียและครอบครัวในสถานทูตที่จาการ์ตาและสถานกงสุลออสเตรเลียบนเกาะบาหลี ให้เพิ่มความระมัดระวังในการเดินทางไปและกลับจากที่ทำงาน
สมิธกล่าวว่า "ช่วงเวลาแห่งความสงบสุขของอินโดนีเซียตลอดหลายปีที่ผ่านมานั้น ได้ผ่านพ้นไปแล้วและจากนี้ความหวาดกลัวของชาวอินโดนีเซียและชาวต่างชาติในประเทศนี้จะเข้ามาแทนที่"
ทั้งนี้ เหตุระเบิดโรงแรมในจาการ์ตาเมื่อวันศุกร์ (17) ทำให้มีชาวออสเตรเลียเสียชีวิต 3 คน นายกรัฐมนตรีเควิน รัดด์ ของออสเตรเลียกล่าววานนี้(19)ว่า เหยื่อรายล่าสุดคือ การ์ธ แม็คอีวอย ซึ่งเป็นผู้บริหารบริษัทเหมืองแร่แห่งหนึ่ง
นานัน โซการ์นา โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติของอินโดนีเซีย ออกมายืนยันต่อผู้สื่อข่าวที่กรุงจาการ์ตาวานนี้(19) โดยระบุว่า มือระเบิดฆ่าตัวตายที่โรงแรมหรู 2 แห่งกลางกรุงจาการ์ตา เป็นสมาชิกของกลุ่มญะมาอะห์ อิสลามิยะห์ (เจไอ) ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับเครือข่ายอัลกออิดะห์
โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติอินโดนีเซียระบุว่า ขณะนี้ทีมสืบสวนสามารถยืนยันได้ว่ามือระเบิดที่ก่อเหตุสะเทือนขวัญครั้งนี้เกี่ยวข้องกับกลุ่มเจไออย่างแน่นอน เพราะรูปแบบของการก่อเหตุ และลักษณะของการใช้ระเบิดมีความคล้ายคลึงกับการโจมตีในครั้งที่ผ่าน ๆ มา
นอกจากนี้ นานันยังระบุว่า ทางตำรวจสามารถระบุชื่อของมือระเบิด 1 ใน 2 คน ที่ลงมือก่อเหตุครั้งนี้ได้แล้ว แต่ยังไม่เปิดเผยชื่อเต็มในเวลานี้ โดยบอกแต่เพียงอักษรย่อว่า ชื่อของมือระเบิดคนดังกล่าวใช้อักษร "เอ็น" ขณะที่ศพของมือระเบิดอีกคนหนึ่งกำลังอยู่ระหว่างขั้นตอนการพิสูจน์หลักฐาน
ขณะเดียวกันมีรายงานว่า ตำรวจอินโดนีเซียกำลังใช้เทคโนโลยีในการสร้างภาพใบหน้าของมือระเบิดฆ่าตัวตายจากศีรษะของผู้เสียชีวิตรายหนึ่งที่พบในที่เกิดเหตุ เพื่อความคืบหน้าในการสอบสวน หลังจากแรงระเบิดทำให้ร่างผู้เสียชีวิตแหลกเหลวจนจำสภาพเดิมไม่ได้ซึ่งยากต่อการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล
โดยทางตำรวจระบุว่า จะพยายามสรุปให้ได้ว่าใบหน้าของศีรษะปริศนาที่กำลังตรวจสอบอยู่มีลักษณะคล้ายคลึงกับแขกที่เข้าพักเป็นเวลา 2 คืนที่ห้องหมายเลข 1808 ของโรงแรมเจดับบลิว แมริออต ซึ่งถูกระบุว่าเป็นสถานที่ประกอบระเบิดในปฏิบัติการครั้งนี้หรือไม่ โดยจะเชิญพยานและพนักงานต้อนรับมายืนยันอีกครั้ง
ก่อนหน้านี้ อันสยาด เอ็มบาอิ หัวหน้าฝ่ายต่อต้านการก่อการร้าย ของกระทรวงความมั่นคงอินโดนีเซีย ระบุเมื่อวันเสาร์ (18) ว่าการโจมตีโรงแรมทั้ง 2 แห่ง อาจเกี่ยวข้องกับนูร์ดิน โมฮัมเหม็ด ทอป อดีตสมาชิกของกลุ่มเจไอชาวมาเลเซีย ซึ่งได้แยกตัวออกมาตั้งกลุ่มหัวรุนแรงของตัวเองและถูกระบุว่าอยู่เบื้องหลังการวางระเบิดโรงแรมเจ ดับบลิว แมริออต ในกรุงจาการ์ตาเมื่อปี 2003 การวางระเบิดสถานทูตออสเตรเลียในปี 2004 และการก่อวินาศกรรมที่ร้านอาหารบนเกาะบาหลีในปี 2005 ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 40 คน
อย่างไรก็ตาม หนังสือพิมพ์นิว ซันเดย์ ไทม์สของมาเลเซียฉบับวานนี้ (19) รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวระดับสูงซึ่งไม่เปิดเผยชื่อในสำนักงานตำรวจแห่งชาติของอินโดนีเซียที่ระบุว่า ทางตำรวจเพิ่งได้รับข้อมูลจากหน่วยข่าวกรองอินโดนีเซียที่ระบุว่า นูร์ดิน ทอป ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดโรงแรมริตซ์-คาร์ลตันและเจดับบลิว แมริออต ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต 9 คนและบาดเจ็บ 53 คนในครั้งนี้
ด้านสตีเฟน ฟรานซิส สมิธ รัฐมนตรีต่างประเทศออสเตรเลีย ออกมาเตือนวานนี้ (19)ว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเกิดการก่อการร้ายครั้งใหม่ในกรุงจาการ์ตา และสถานที่อื่น ๆ ของอินโดนีเซีย รวมทั้งเกาะบาหลี โดยสมิธได้เตือนเจ้าหน้าที่ทางการทูตของออสเตรเลียและครอบครัวในสถานทูตที่จาการ์ตาและสถานกงสุลออสเตรเลียบนเกาะบาหลี ให้เพิ่มความระมัดระวังในการเดินทางไปและกลับจากที่ทำงาน
สมิธกล่าวว่า "ช่วงเวลาแห่งความสงบสุขของอินโดนีเซียตลอดหลายปีที่ผ่านมานั้น ได้ผ่านพ้นไปแล้วและจากนี้ความหวาดกลัวของชาวอินโดนีเซียและชาวต่างชาติในประเทศนี้จะเข้ามาแทนที่"
ทั้งนี้ เหตุระเบิดโรงแรมในจาการ์ตาเมื่อวันศุกร์ (17) ทำให้มีชาวออสเตรเลียเสียชีวิต 3 คน นายกรัฐมนตรีเควิน รัดด์ ของออสเตรเลียกล่าววานนี้(19)ว่า เหยื่อรายล่าสุดคือ การ์ธ แม็คอีวอย ซึ่งเป็นผู้บริหารบริษัทเหมืองแร่แห่งหนึ่ง