การออกหมายจับ 2 ผู้ต้องหาในคดีลอบสังหาร สนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งเอเอสทีวี ผู้จัดการ และแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อวานนี้ (14 กรกฎาคม) ซึ่งมีทั้ง ตำรวจ และทหาร ก่อให้เกิดเสียงวิจารณ์กันไปต่างๆ นานา
โดยเฉพาะความรับผิดชอบของระดับผู้บังคับบัญชา
แต่นาทีนี้จะแยกโฟกัสเฉพาะผู้ต้องหาที่เป็นทหารชั้นประทวนจาก หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ หรือหน่วยรบพิเศษ หรือที่เมื่อก่อนหน้านั้นรู้จักกันในนาม “พลร่มป่าหวาย ลพบุรี” ยิ่งทำให้โยงใยอีกหงายแง่หลายมุม
เมื่อเอ่ยถึงหน่วยงานในกองทัพบกดังกล่าว หลายคนคงรับรู้ถึงกิตติศัพท์และขีดความสามารถกันดีว่า “ขนาดไหน” เพราะถูกฝึกมาสำหรับปฏิบัติการในภารกิจ“พิเศษ” ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการชิงตัวประกัน ต่อต้านการก่อการร้าย หรืออารักขาบุคคลสำคัญ ฯลฯ
ที่ผ่านมาก็เคยฝากผลงานไว้เป็นที่จดจำเมื่อครั้งจู่โจมบุกช่วยเหลือตัวประกันที่โรงพยาบาลราชบุรี พ้นจากเงื้อมมือกลุ่ม “ก็อตอาร์มี” เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2543
เป็นภารกิจที่สำเร็จลุล่วง
แต่อาจมีข้อยกเว้นสำหรับภารกิจในความพยายามลอบสังหาร สนธิ ลิ้มทองกุล เมื่อตอนเช้าตรู่วันที่ 17 เมษายน ที่หน้าวัดเอี่ยมวรนุช ใกล้แยกบางขุนพรหม ซึ่งในวันนั้นคนร้ายได้ระดมยิงด้วยอาวุธสงครามนานาชนิดนับร้อยนัด แต่เป้าหมายก็รอดตายราวปาฎิหาริย์
อย่างไรก็ดี ถ้าพิจารณาในแง่ของการปฏิบัติการล่าสังหาร เมื่อฟังจากคำบอกเล่าของ สนธิ เองที่ระบุว่า มือสังหารที่ลงมือต้องเป็นมืออาชีพ เนื่องจากเห็นท่าประทับยิงบนรถกระบะแล้วน่าจะผ่านการฝึกมาอย่างดี
ขณะเดียวกัน ในช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงที่กำลังมีการประกาศใช้พระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน มีทหาร ตำรวจเต็มเมือง และจุดเกิดเหตุก็อยู่กลางกรุง คนลงมือย่อมไม่ธรรมดาแน่
และที่สำคัญไปกว่านั้น “คนที่สั่งการ” ก็ย่อมไม่ธรรมดายิ่งกว่า !!
ซึ่งกรณีที่เกิดขึ้นไม่ว่าใครก็ตาม หากพิจารณาด้วยความรู้สึกทั่วไปก็ย่อมรับรู้ในลักษณะเดียวกัน ว่า ต้องเป็นคนที่มี“อำนาจ” ในระดับที่น่าพรั่นพรึง
และช่วยไม่ได้ที่จะต้องเพ่งเล็งไปที่คนมีสี ระดับ “ซุปเปอร์บิ๊ก” แน่นอน เพราะหากย้อนกลับไปดูเส้นทางการสะกดรายตามมาจนถึงจุดลงมือในที่เกิดเหตุหน้าวัดเอี่ยมวรนุช ต้องผ่านธนาคารแห่งประเทศไทย ผ่านสี่แยกบางขุนพรหม ถือเป็นจุดสำคัญ
แน่นอนว่าต้องมีกล้องวงจรปิด เพื่อบันทึกเหตุการณ์ แต่ก็ประจวบเหมาะอย่างเหลือเชื่อก็คือ ในวันนั้นกล้องบันทึกภาพในจุดดังกล่าวเกิดเสีย ใช้การไม่ได้กะทันหัน จนต้องตั้งข้อสังเกตว่าเกิดจากความจงใจหรือไม่ และคนที่สั่งการก็ต้องไม่ธรรมดาอีกเช่นเดียวกัน
ก่อนหน้านี้ แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงหัวหน้าพนักงานสอบสวนมาเป็น พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รองผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และนายตำรวจอีกหลายนายเข้ามาทำคดี ทำให้เกิดความเชื่อมั่น มีความหวังมากขึ้นว่า น่าจะสาวไปได้ไกลพอสมควร
แม้ว่าลึกๆ แล้วอาจจะไม่หวังถึงขั้นได้ตัวผู้บงการที่แท้จริงมากนักก็ตาม อย่างไรก็ดี อย่างที่บอกตั้งแต่แรกแล้วว่า มันไม่ธรรมดา เพราะแค่การออกหมายจับทหาร และตำรวจมือสังหาร 2 คน ยังต้องใช้เวลาถึง 4 เดือนเต็ม
ที่ผ่านมามีข่าวความเคลื่อนไหวในการขัดขวางการทำคดีของพนักงานสอบสวนมาโดยตลอด ถึงขั้น “บิ๊กมีสี” เรียกไปข่มขู่อยู่หลายครั้งให้ยุติ ไม่เช่นนั้นจะกระทบกับความก้าวหน้าในชีวิตราชการ ทำให้หลายคนต้อง “หัวหด” พลิกกลับ หรือต้องแสดงท่าทีวางเฉยอย่างกะทันหัน
เปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังมือ !!
แม้กระทั่ง พล.ต.อ.ธานี ถึงกับยอมรับอย่างเปิดเผยว่า “เจอตอ”
อย่างที่บอกตั้งแต่ตอนต้น หลายคนมองว่าเบื้องหลังของ “คำสั่งลงมือ” ไม่ธรรมดา เพราะมันโยงใย เดิมพันถึงอำนาจ จึงต้อง “สั่งตาย” สนธิ ลิ้มทองกุล เพื่อหวังเป้าหมายสองต่อ นั่นคือ เพื่อให้เกิดความวุ่นวายถึงขั้นจลาจล เพื่ออ้างความชอบธรรมในการเข้ามาควบคุมสถานการณ์ในภาวะฉุกเฉิน และกำจัดสื่อมวลชนที่ชอบเปิดโปงความไม่ชอบมาพากลไปในคราวเดียวกัน
หลังจากก่อนหน้านั้นไม่นาน มีคนตั้งข้อสังเกตว่าเกิดความล้มเหลวในการล่อให้ นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มา “ติดกับ” ที่กระทรวงมหาดไทย มาแล้วครั้งหนึ่ง
แต่ทั้งสองครั้งสองครา เป้าหมายก็รอดมาได้อย่างเหลือเชื่อ “เหมือนคนคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิต” ไม่มีผิด
อย่างไรก็ดี เมื่อประมวลเหตุการณ์ พิจารณาที่มาที่ไป และเป้าหมายเพื่ออำนาจเบ็ดเสร็จในวันข้างหน้า ก็น่าจะมองออกไม่ยากว่า ใครคือ “ไอ้โม่ง” บงการ เพราะทุกสายตาล้วนจับจ้องไปที่บิ๊กมีสีที่อยู่ในกลุ่ม “อำนาจใหม่” ที่แพ็กกันแน่นนั่นแหละ
ส่วนการออกหมายจับสองผู้ต้องหา แม้ว่าอีกด้านหนึ่งจะเริ่มมีแนวโน้มที่ดี แต่ถ้าถามว่าจะสาวไปถึงผู้บงการใหญ่ ได้หรือไม่ หากให้ตอบแบบตรงไปตรงมา ก็ต้องบอกว่ายาก เพราะงานนี้กำลังเล่นกับระดับ “ซุปเปอร์บิ๊ก” คงไม่ยอมจำนนง่ายๆ หรอก !!
โดยเฉพาะความรับผิดชอบของระดับผู้บังคับบัญชา
แต่นาทีนี้จะแยกโฟกัสเฉพาะผู้ต้องหาที่เป็นทหารชั้นประทวนจาก หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ หรือหน่วยรบพิเศษ หรือที่เมื่อก่อนหน้านั้นรู้จักกันในนาม “พลร่มป่าหวาย ลพบุรี” ยิ่งทำให้โยงใยอีกหงายแง่หลายมุม
เมื่อเอ่ยถึงหน่วยงานในกองทัพบกดังกล่าว หลายคนคงรับรู้ถึงกิตติศัพท์และขีดความสามารถกันดีว่า “ขนาดไหน” เพราะถูกฝึกมาสำหรับปฏิบัติการในภารกิจ“พิเศษ” ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการชิงตัวประกัน ต่อต้านการก่อการร้าย หรืออารักขาบุคคลสำคัญ ฯลฯ
ที่ผ่านมาก็เคยฝากผลงานไว้เป็นที่จดจำเมื่อครั้งจู่โจมบุกช่วยเหลือตัวประกันที่โรงพยาบาลราชบุรี พ้นจากเงื้อมมือกลุ่ม “ก็อตอาร์มี” เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2543
เป็นภารกิจที่สำเร็จลุล่วง
แต่อาจมีข้อยกเว้นสำหรับภารกิจในความพยายามลอบสังหาร สนธิ ลิ้มทองกุล เมื่อตอนเช้าตรู่วันที่ 17 เมษายน ที่หน้าวัดเอี่ยมวรนุช ใกล้แยกบางขุนพรหม ซึ่งในวันนั้นคนร้ายได้ระดมยิงด้วยอาวุธสงครามนานาชนิดนับร้อยนัด แต่เป้าหมายก็รอดตายราวปาฎิหาริย์
อย่างไรก็ดี ถ้าพิจารณาในแง่ของการปฏิบัติการล่าสังหาร เมื่อฟังจากคำบอกเล่าของ สนธิ เองที่ระบุว่า มือสังหารที่ลงมือต้องเป็นมืออาชีพ เนื่องจากเห็นท่าประทับยิงบนรถกระบะแล้วน่าจะผ่านการฝึกมาอย่างดี
ขณะเดียวกัน ในช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงที่กำลังมีการประกาศใช้พระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน มีทหาร ตำรวจเต็มเมือง และจุดเกิดเหตุก็อยู่กลางกรุง คนลงมือย่อมไม่ธรรมดาแน่
และที่สำคัญไปกว่านั้น “คนที่สั่งการ” ก็ย่อมไม่ธรรมดายิ่งกว่า !!
ซึ่งกรณีที่เกิดขึ้นไม่ว่าใครก็ตาม หากพิจารณาด้วยความรู้สึกทั่วไปก็ย่อมรับรู้ในลักษณะเดียวกัน ว่า ต้องเป็นคนที่มี“อำนาจ” ในระดับที่น่าพรั่นพรึง
และช่วยไม่ได้ที่จะต้องเพ่งเล็งไปที่คนมีสี ระดับ “ซุปเปอร์บิ๊ก” แน่นอน เพราะหากย้อนกลับไปดูเส้นทางการสะกดรายตามมาจนถึงจุดลงมือในที่เกิดเหตุหน้าวัดเอี่ยมวรนุช ต้องผ่านธนาคารแห่งประเทศไทย ผ่านสี่แยกบางขุนพรหม ถือเป็นจุดสำคัญ
แน่นอนว่าต้องมีกล้องวงจรปิด เพื่อบันทึกเหตุการณ์ แต่ก็ประจวบเหมาะอย่างเหลือเชื่อก็คือ ในวันนั้นกล้องบันทึกภาพในจุดดังกล่าวเกิดเสีย ใช้การไม่ได้กะทันหัน จนต้องตั้งข้อสังเกตว่าเกิดจากความจงใจหรือไม่ และคนที่สั่งการก็ต้องไม่ธรรมดาอีกเช่นเดียวกัน
ก่อนหน้านี้ แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงหัวหน้าพนักงานสอบสวนมาเป็น พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รองผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และนายตำรวจอีกหลายนายเข้ามาทำคดี ทำให้เกิดความเชื่อมั่น มีความหวังมากขึ้นว่า น่าจะสาวไปได้ไกลพอสมควร
แม้ว่าลึกๆ แล้วอาจจะไม่หวังถึงขั้นได้ตัวผู้บงการที่แท้จริงมากนักก็ตาม อย่างไรก็ดี อย่างที่บอกตั้งแต่แรกแล้วว่า มันไม่ธรรมดา เพราะแค่การออกหมายจับทหาร และตำรวจมือสังหาร 2 คน ยังต้องใช้เวลาถึง 4 เดือนเต็ม
ที่ผ่านมามีข่าวความเคลื่อนไหวในการขัดขวางการทำคดีของพนักงานสอบสวนมาโดยตลอด ถึงขั้น “บิ๊กมีสี” เรียกไปข่มขู่อยู่หลายครั้งให้ยุติ ไม่เช่นนั้นจะกระทบกับความก้าวหน้าในชีวิตราชการ ทำให้หลายคนต้อง “หัวหด” พลิกกลับ หรือต้องแสดงท่าทีวางเฉยอย่างกะทันหัน
เปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังมือ !!
แม้กระทั่ง พล.ต.อ.ธานี ถึงกับยอมรับอย่างเปิดเผยว่า “เจอตอ”
อย่างที่บอกตั้งแต่ตอนต้น หลายคนมองว่าเบื้องหลังของ “คำสั่งลงมือ” ไม่ธรรมดา เพราะมันโยงใย เดิมพันถึงอำนาจ จึงต้อง “สั่งตาย” สนธิ ลิ้มทองกุล เพื่อหวังเป้าหมายสองต่อ นั่นคือ เพื่อให้เกิดความวุ่นวายถึงขั้นจลาจล เพื่ออ้างความชอบธรรมในการเข้ามาควบคุมสถานการณ์ในภาวะฉุกเฉิน และกำจัดสื่อมวลชนที่ชอบเปิดโปงความไม่ชอบมาพากลไปในคราวเดียวกัน
หลังจากก่อนหน้านั้นไม่นาน มีคนตั้งข้อสังเกตว่าเกิดความล้มเหลวในการล่อให้ นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มา “ติดกับ” ที่กระทรวงมหาดไทย มาแล้วครั้งหนึ่ง
แต่ทั้งสองครั้งสองครา เป้าหมายก็รอดมาได้อย่างเหลือเชื่อ “เหมือนคนคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิต” ไม่มีผิด
อย่างไรก็ดี เมื่อประมวลเหตุการณ์ พิจารณาที่มาที่ไป และเป้าหมายเพื่ออำนาจเบ็ดเสร็จในวันข้างหน้า ก็น่าจะมองออกไม่ยากว่า ใครคือ “ไอ้โม่ง” บงการ เพราะทุกสายตาล้วนจับจ้องไปที่บิ๊กมีสีที่อยู่ในกลุ่ม “อำนาจใหม่” ที่แพ็กกันแน่นนั่นแหละ
ส่วนการออกหมายจับสองผู้ต้องหา แม้ว่าอีกด้านหนึ่งจะเริ่มมีแนวโน้มที่ดี แต่ถ้าถามว่าจะสาวไปถึงผู้บงการใหญ่ ได้หรือไม่ หากให้ตอบแบบตรงไปตรงมา ก็ต้องบอกว่ายาก เพราะงานนี้กำลังเล่นกับระดับ “ซุปเปอร์บิ๊ก” คงไม่ยอมจำนนง่ายๆ หรอก !!