00 ถ้าใครได้มีโอกาสไปเลียบๆเคียงๆ แถว “พรรคแม่ธรณี” ในเวลานี้ก็จะเห็นหลายคนเริ่มมีอาการแปลกๆ เช่นบางคนนั่งไม่ติด ถูมือไปมา เหมือนกับลุ้นอะไรบางอย่าง หรือเมื่อเดินไปตามซอกตึก ในมุมอับก็จะได้ยินเสียงนินทาคนโน้นคนนี้ให้ได้ยิน โดยเฉพาะยามนี้พวกที่โดนหนักก็จะหนีไม่พ้นพวกฯพณฯ หัวเจ้าท่านรัฐมนตรีของพรรคทั้งหลายแหล่
00 ผ่านมากว่า 6 เดือน ถ้าเป็นบริษัทเอกชนก็ถือว่า“พ้นโปร” มานานแล้ว แต่ถ้าให้พูดกันแบบตรงไปตรงมาถือว่า ผลงานแต่ละคนไม่เอาอ่าว ไม่เป็นโล้เป็นพาย ยิ่งในสภาวะบ้านเมืองเจอภาวะวิกฤตรุมเร้ารอบด้านแบบนี้ แต่ขอโทษลองไล่เรียงดูวิธีการทำงานของรัฐมนตรีแต่ละคนดูเอาเองว่าพึ่งพาได้แค่ไหน
00 ไม่ต้องถึงกับเอ่ยชื่อให้หมางใจกันเปล่าๆ แต่ไม่เชื่อลองถามคนทั่วๆไปว่า รัฐมนตรีแต่ละคนมีผลงานในทางสร้างสรรค์ เป็นที่จดจำอะไรได้บ้าง นี่แหละถึงเป็นที่มาของคำพูดที่หลุดออกมาทำนองว่า “ ถ้าทำงานกันแบบนี้ ใครก็เป็นรัฐมนตรีได้ (วะ)” !!
00 ด้วยการทำงานที่ดูแล้วขัดหูขัดตาหรือเปล่าไม่ทราบ แต่เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาเห็น “นายหัวชวน” อุตส่าห์ลงมานั่งหัวโต๊ะ เรียกประชุมผู้เชี่ยวชาญทุกฝ่ายแบบ “ระดมสมอง” เพื่อหาทางรับมือ และควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อ“หวัดมรณะ” เพราะถ้ายังขืนปล่อยให้ “เสี่ยน้อย” วิทยา แก้วภราดัย ลุยถั่วแบบนี้ต่อไปเห็นทีจะแย่แน่ เพราะเมื่อเห็นตัวเลขคนตาย คนติดเชื้อเพิ่มกระฉูดเป็นรายวันก็ยิ่งใจแป้ว
00 เมื่อระดับปรมาจารย์ลงมือเองแบบนี้ มองในแง่ดีก็อาจมองได้ว่า ทุกคนไม่นิ่งดูดาย ต้องช่วยกันคนละมือ แต่อีกมุมหนึ่งน่าจะเห็นสัญญาณไม่ดี จึงต้องลงมือเอง ขืนปล่อยไว้มีสิทธิ์ตายหมู่แน่
00 และเช่นเดียวกัน ไม่ว่าใครก็พอเดาได้ว่า “กษิต ภิรมย์” คงจะอยู่ในเก้าอี้ลำบาก เพราะมีแรงบีบมาทุกด้าน แต่ที่น่าเจ็บใจก็น่าจะเป็น “คนกันเอง” เสียมากกว่า จะด้วยเป็นเพราะ “อำนาจ” เฉพาะหน้า หากต้อง “เขี่ย” ใครสักคนให้พ้นทาง ก็ไม่ต้องรีรอ อะไร“เทือก”นั้นแหละ !!
00 อีกอารมณ์หนึ่งที่เริ่มรับรู้มาจากภายในพรรคประชาธิปัตย์เห็นจะมาจากระดับ “ขาใหญ่” อาวุโสหลายคน ที่เห็นตรงกันว่า สถานการณ์มีแต่เป็นลบ ไม่มีบวก ขืนปล่อยไว้ต่อไป เลือกตั้งคราวหน้ารับรองยุ่งแน่ จุดเด่นไม่มี แต่ถ้าถามหาจุดด้อยนั้นบอกได้คำเดียวว่ามี“เพียบ” เมื่อรู้ชะตากรรมล่วงหน้า มันจึงช่วยไม่ได้ที่จะต้องมีคนขอร่วมขบวนเป็นรัฐมนตรีเที่ยวสุดท้ายบ้าง เพราะถ้าพลาดการเป็นรัฐบาลเที่ยวนี้ ก็ไม่รู้จะต้องรออีกเมื่อไหร่
00 ดังนั้นฟันธงไว้ล่วงหน้าเลยว่า ถ้าปรับ กษิต ออกไป จะต้องมีแรงกระเพื่อมในพรรคหนักกว่าทุกครั้ง เพราะถ้าดูอาการแล้ว มีความต้องการให้เปลี่ยนตัวรัฐมนตรีอีกหลายกระทรวง พร้อมกันไปด้วย
00 ตบท้ายด้วยเสียงโอดครวญน่าเห็นใจจากเจ้าหน้าที่กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ถูกสังคมตำหนิว่า ปิดบังข้อมูลผู้เสียชีวิต ผู้ติดเชื้อไข้หวัดมรณะ โดยยืนยันหนักแน่นว่าไม่เป็นความจริง พร้อมทั้งอธิบายว่า สาเหตุที่เห็นจำนวนมากในปัจจุบันก็เป็นมาจากการเปิดเผยหมดเปลือกนั่นแหละ
00 พร้อมทั้งฝากบอกมาอีกว่า คนไทยน่าจะพลิกวิกฤตปรับเปลี่ยนพฤติกรรมใหม่ มีความตื่นตัว รณรงค์ใส่หน้ากากอนามัยป้องกันแพร่กระจายอย่างจริงจัง หรือเมื่อรู้ว่าตัวเองหรือลูกหลานเป็นไข้ ก็ต้องรู้จักดูแลตัวเองหรือพบแพทย์ ไม่ให้แพร่เชื้อ ทำได้กันแบบนี้ รับรองไม่ตายเป็นใบไม้ร่วงหรอก !!
00 ผ่านมากว่า 6 เดือน ถ้าเป็นบริษัทเอกชนก็ถือว่า“พ้นโปร” มานานแล้ว แต่ถ้าให้พูดกันแบบตรงไปตรงมาถือว่า ผลงานแต่ละคนไม่เอาอ่าว ไม่เป็นโล้เป็นพาย ยิ่งในสภาวะบ้านเมืองเจอภาวะวิกฤตรุมเร้ารอบด้านแบบนี้ แต่ขอโทษลองไล่เรียงดูวิธีการทำงานของรัฐมนตรีแต่ละคนดูเอาเองว่าพึ่งพาได้แค่ไหน
00 ไม่ต้องถึงกับเอ่ยชื่อให้หมางใจกันเปล่าๆ แต่ไม่เชื่อลองถามคนทั่วๆไปว่า รัฐมนตรีแต่ละคนมีผลงานในทางสร้างสรรค์ เป็นที่จดจำอะไรได้บ้าง นี่แหละถึงเป็นที่มาของคำพูดที่หลุดออกมาทำนองว่า “ ถ้าทำงานกันแบบนี้ ใครก็เป็นรัฐมนตรีได้ (วะ)” !!
00 ด้วยการทำงานที่ดูแล้วขัดหูขัดตาหรือเปล่าไม่ทราบ แต่เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาเห็น “นายหัวชวน” อุตส่าห์ลงมานั่งหัวโต๊ะ เรียกประชุมผู้เชี่ยวชาญทุกฝ่ายแบบ “ระดมสมอง” เพื่อหาทางรับมือ และควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อ“หวัดมรณะ” เพราะถ้ายังขืนปล่อยให้ “เสี่ยน้อย” วิทยา แก้วภราดัย ลุยถั่วแบบนี้ต่อไปเห็นทีจะแย่แน่ เพราะเมื่อเห็นตัวเลขคนตาย คนติดเชื้อเพิ่มกระฉูดเป็นรายวันก็ยิ่งใจแป้ว
00 เมื่อระดับปรมาจารย์ลงมือเองแบบนี้ มองในแง่ดีก็อาจมองได้ว่า ทุกคนไม่นิ่งดูดาย ต้องช่วยกันคนละมือ แต่อีกมุมหนึ่งน่าจะเห็นสัญญาณไม่ดี จึงต้องลงมือเอง ขืนปล่อยไว้มีสิทธิ์ตายหมู่แน่
00 และเช่นเดียวกัน ไม่ว่าใครก็พอเดาได้ว่า “กษิต ภิรมย์” คงจะอยู่ในเก้าอี้ลำบาก เพราะมีแรงบีบมาทุกด้าน แต่ที่น่าเจ็บใจก็น่าจะเป็น “คนกันเอง” เสียมากกว่า จะด้วยเป็นเพราะ “อำนาจ” เฉพาะหน้า หากต้อง “เขี่ย” ใครสักคนให้พ้นทาง ก็ไม่ต้องรีรอ อะไร“เทือก”นั้นแหละ !!
00 อีกอารมณ์หนึ่งที่เริ่มรับรู้มาจากภายในพรรคประชาธิปัตย์เห็นจะมาจากระดับ “ขาใหญ่” อาวุโสหลายคน ที่เห็นตรงกันว่า สถานการณ์มีแต่เป็นลบ ไม่มีบวก ขืนปล่อยไว้ต่อไป เลือกตั้งคราวหน้ารับรองยุ่งแน่ จุดเด่นไม่มี แต่ถ้าถามหาจุดด้อยนั้นบอกได้คำเดียวว่ามี“เพียบ” เมื่อรู้ชะตากรรมล่วงหน้า มันจึงช่วยไม่ได้ที่จะต้องมีคนขอร่วมขบวนเป็นรัฐมนตรีเที่ยวสุดท้ายบ้าง เพราะถ้าพลาดการเป็นรัฐบาลเที่ยวนี้ ก็ไม่รู้จะต้องรออีกเมื่อไหร่
00 ดังนั้นฟันธงไว้ล่วงหน้าเลยว่า ถ้าปรับ กษิต ออกไป จะต้องมีแรงกระเพื่อมในพรรคหนักกว่าทุกครั้ง เพราะถ้าดูอาการแล้ว มีความต้องการให้เปลี่ยนตัวรัฐมนตรีอีกหลายกระทรวง พร้อมกันไปด้วย
00 ตบท้ายด้วยเสียงโอดครวญน่าเห็นใจจากเจ้าหน้าที่กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ถูกสังคมตำหนิว่า ปิดบังข้อมูลผู้เสียชีวิต ผู้ติดเชื้อไข้หวัดมรณะ โดยยืนยันหนักแน่นว่าไม่เป็นความจริง พร้อมทั้งอธิบายว่า สาเหตุที่เห็นจำนวนมากในปัจจุบันก็เป็นมาจากการเปิดเผยหมดเปลือกนั่นแหละ
00 พร้อมทั้งฝากบอกมาอีกว่า คนไทยน่าจะพลิกวิกฤตปรับเปลี่ยนพฤติกรรมใหม่ มีความตื่นตัว รณรงค์ใส่หน้ากากอนามัยป้องกันแพร่กระจายอย่างจริงจัง หรือเมื่อรู้ว่าตัวเองหรือลูกหลานเป็นไข้ ก็ต้องรู้จักดูแลตัวเองหรือพบแพทย์ ไม่ให้แพร่เชื้อ ทำได้กันแบบนี้ รับรองไม่ตายเป็นใบไม้ร่วงหรอก !!
